# 2 2 ˇ 2 # ’ 4 1 @ ˚ 7 h - ˚ 1 ˇ 2 ˝ % * 1 ! $ ˘ 4 l c ˇ 2 # @ # 5 ˇ...

58
ผลของกา เพื่อพัฒนาผล นิสิต รายงา รายวิชา 011624 คณะศึกษาศาสตร รายงานการวิจัย เรื่อง ารจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน ลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่1 โดย นางสาวประภาศรี ชวยโอ รหัสนิสิต 5210600343 ตสาขาธุรกิจและคอมพิวเตอรศึกษา านวิจัยนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษา 423 การปฏิบัติการสอนและการวิจัยในชั้น ร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบ ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2556 1 สนเทศ นเรียน บางเขน

Upload: others

Post on 22-Oct-2020

1 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

  • 1

    รายงานการวิจัยเรื่อง

    ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

    ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1

    โดย

    นางสาวประภาศรี ชวยโอรหัสนิสิต 5210600343

    นิสิตสาขาธุรกิจและคอมพิวเตอรศึกษา

    รายงานวิจัยน้ีเปนสวนหน่ึงของการศึกษารายวิชา 01162423 การปฏิบัติการสอนและการวิจัยในช้ันเรียนคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบางเขน

    ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2556

    1

    รายงานการวิจัยเรื่อง

    ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

    ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1

    โดย

    นางสาวประภาศรี ชวยโอรหัสนิสิต 5210600343

    นิสิตสาขาธุรกิจและคอมพิวเตอรศึกษา

    รายงานวิจัยน้ีเปนสวนหน่ึงของการศึกษารายวิชา 01162423 การปฏิบัติการสอนและการวิจัยในช้ันเรียนคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบางเขน

    ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2556

    1

    รายงานการวิจัยเรื่อง

    ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

    ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1

    โดย

    นางสาวประภาศรี ชวยโอรหัสนิสิต 5210600343

    นิสิตสาขาธุรกิจและคอมพิวเตอรศึกษา

    รายงานวิจัยน้ีเปนสวนหน่ึงของการศึกษารายวิชา 01162423 การปฏิบัติการสอนและการวิจัยในช้ันเรียนคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตบางเขน

    ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2556

  • 2

    บทคัดยอการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนระหวางการจัดการเรียนการสอนโดย

    ใชผังมโนทัศน กับการเรียนการสอนแบบปกติ ประชากรท่ีศึกษา เปนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภฯ ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 จํานวน 50 คน

    ดวยการตั้งสมมุติฐานวา นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศน มีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูสูงกวาการเรียนโดยใชการเรียนการสอนแบบปกติ วัตถุประสงคในการวิจัยครั้งนี้เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนระหวางการจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน กับการเรียนการสอนแบบปกติ เครื่องมือท่ีใชในการวิจัยคือ ผังมโนทัศน, แผนการสอน,แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน,แบบประเมินผลงาน เก็บรวบรวมขอมูลในภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 วิเคราะหขอมูลโดยใชสถิติ t-test dependent samples

    ผลการวิจัยปรากฏวา คะแนนจากการใชการสอนแบบปกติมีคา X = 10.27, S.D = 1.262คะแนนจากการใชผังมโนทัศนมีคา X = 13.64 ,S.D = 1.670 คะแนนจากการทดสอบพบวาการใชผังมโนทัศนในการสอนมีคะแนนสูงกวาการสอนแบบปกติอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศนมีความคิดรวบยอดอยูในระดับดีโดยคะแนนเฉลี่ยเทากับ 12.8 และนอกจากนั้นนักเรียนยังไดรับทักษะการคิดวิเคราะหและความคิดสรางสรรค จึงเปนผลพลอยไดจากการใชเครื่องมือผังมโนทัศนท่ีผูวิจัยไดนํามาใชซึ่งนอกเหนือจากวัตถุประสงคขางตน

  • 3

    กิตติกรรมประกาศ

    รายงานวิจัยเลมนี้สําเร็จลุลวงไดอยางสมบูรณดวยความกรุณาใหคําปรึกษาและคําแนะนําอยางดียิ่งจาก อาจารย ดร.อุทุมพร อินทจักร อาจารยนิเทศการสอนสาขาธุรกิจและคอมพิวเตอรศึกษา คณะศึกษาศาสตร.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร อาจารยกรรฐวรรณ จันทรเปรมปรี อาจารยนิเทศประจําโรงเรียนท่ีได สละเวลาในการใหคําปรึกษาในการวิจัยในครั้งนี้ และยังใหคําแนะนําท่ีเปนประโยชนยิ่งในการวิจัยครั้งนี้ซึ่งผูวิจัยซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเปนอยางสูงไว ณ โอกาสนี้

    ขอกราบขอบพระคุณ คณาจารยทุกทานท่ีใหความรูท่ีเปนประโยชนอยางยิ่งในการวิจัยครั้งนี้ และทําใหการวิจัยครั้งนี้สําเร็จลุลวงไปไดดวยดี พรอมท้ังผูเชียวชาญทุกทานท่ีใหความกรุณาใหคําแนะนําและชวยเหลือในทุก ๆ ดาน

    ขอกราบขอบพระคุณ อาจารยพิชัย เหลืองอรุณ หัวหนาหมวดวิชาคอมพิวเตอร โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภฯ ท่ีคอยใหคําปรึกษา ขอกราบขอบพระคุณ อาจารยกรรฐวรรณ จันทรเปรมปรี อาจารยนิเทศกประจําโรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภฯ ท่ีใหความรูในเรื่องการทํางานวิจัยในชั้นเรียนใหสําเร็จลุลวงเปนอยางดี

    ขอขอบคุณ นางสาวอิสรา เพ็ญศรี และนางสาวอทิติยา สวยรูป นิสิตฝกประสบการวิชาชีพศึกษาศาสตร คณะศึกษาศาสตร ท่ีคอยใหคําปรึกษา ชวยเหลือขาพเจาในทุกเรื่อง และใหคําแนะนําในการทําวิจัยเปนอยางดี พรอมท้ังยังคอยใหกําลงัใจในการทําวิจัยในครั้งนี้

    ขอขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1/2 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภฯ ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 ท่ีเปนกลุมประชากรท่ีศึกษาในการเก็บรวบรวมขอมูล

    คุณคาและคุณประโยชนท่ีพึงมีตอวิจัยเลมนี้ ขอมอบใหแดครอบครัวของผูวิจัย พรอมท้ังครูอาจารยทุกทานท่ีไดใหวิชาความรูและอบรมสั่งสอน และ ทุกทานท่ีมีสวนรวมในการจัดทําวิจัยเลมนี้ ท่ีสงผลใหผูวิจัยประสบความสําเร็จในการศึกษาครั้งนี้

    ประภาศรี ชวยโอผูจัดทํา

  • 4

    สารบัญหนา

    บทท่ี 1 บทนํา………………………………………………………………………………………………….. 1ความสําคัญและท่ีมาของปญหา……………………………………………………………….. 1

    คําถามวิจัย……………………..…………………………..............…………………………………2วัตถุประสงคของการวิจัย………………………………………………………………………... 2ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………….... 3นิยามศัพทเฉพาะ………………………………………………………………………………….. 3ประโยชนท่ีคาดวาจะไดรับ…………………………………………………………………….. 4

    บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ……………………………………………………………….. 5หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี……………………………………… 5วิธีการจัดการเรียนรูแบบผังมโนทัศน....................................……………………… 5การจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน………………………………………………. 6ชนิดของผังมโนทัศน……………………………………………………………………………… 8

    หลักการและทฤษฎีท่ีเก่ียวกับผังมโนทัศน………………………………………………… 11งานวิจัยท่ีเก่ียวของ………………………………………………………………………………… 12

    บทท่ี 3 วิธีดําเนินการวิจัย………………………………………………………………………………….... 13การกําหนดประชากรและกลุมตัวอยาง……………………………………………………… 13เครื่องมือท่ีใชในการวิจัย………………………………………………………………………….. 13ระยะเวลาในการทดลอง…………………………………………………………………………..14การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชในการวิจัย………………………………………..14การดําเนินการทดลอง…………………………………………………………………………….. 15การวิเคราะหขอมูลและสถิติท่ีใช………………………………………………………………..18

    บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมูล……………………………………………………………………………… 19การวิเคราะหสมติฐานทางสถิติ......................................................................…. 19การวิเคราะหความคิดรวบยอดจากผลงานการเขียนผังมโนทัศน..………………… 23

    บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอเสนอแนะ………………………………………………………. 24สรุปผลการวิจัย……………………………………………………………………………………. 24อภิปรายผลการวิจัย……………………………………………………………………………… 24ขอเสนอแนะ………………………………………………………………………………………… 26

    บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………… 27

  • 5

    ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………... 28ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรูท่ีใชในการวิจัย……………………………………… 29ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพชิ้นงานของนักเรียน…………………………………… 41ภาคผนวก ค ตัวอยางผลงานนักเรียนจากการจัดการเรียนการสอน………………………… 42ภาคผนวก ง ตัวอยางผลงานนักเรียนจากการจัดการเรียนการสอน………………………… 43

    ประวัติผูทําวิจัย………………………………………………………………………………………………… 47

    สารบัญตาราง

    ตาราง หนาตารางคะแนนนักเรียนกอนใชและหลังใชผังมโนทัศน………….…………………………….………………. 19

    แสดงคาเปรียบเทียบความแตกตางระหวางคะแนนการสอนแบบปกติและการสอนโดยใชผังมโนทัศน..............................................................................................................…………………………………….21

    แสดงพัฒนาการของระดับคะแนนแบบทดสอบท้ังหมด 4 ครั้ง…………………………………................. 22

    ตารางเกณฑระดับคะแนนคุณภาพการเขียนผังมโนทัศน………………............................................... 23

  • 6

    บทที่ 1

    บทนํา

    1. ความเปนมาและความสําคัญของการวิจัยปจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความเปนอยูของมนุษยเปนไปอยางรวดเร็ว ทําให

    เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดําเนินชีวิตประจําวันของมนุษยมีความเปนอยูท่ีสะดวกสบายข้ึน และตอง

    ยอมรับวาในปจจุบัน คอมพิวเตอรไดเขามามีบทบาทในชีวิตประจําวันของคนในสังคมมากยิ่งข้ึนท้ัง

    ทางดานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การแพทย การเงินและธนาคาร ฯลฯ และอีกดานหนึ่งท่ี

    เทคโนโลยีสารสนเทศเขามามีบทบาทท่ีสําคัญคือดานการศึกษาซึ่งจะเปนเครื่องมือในการเรียนการสอน

    ใหมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน และนักเรียนเองก็จะไดนําความรูทางดานคอมพิวเตอรไปใชในการประกอบ

    อาชีพในอนาคตได ซึ่งในปจจุบันการทํางานสวนใหญตองยอมรับวาไดมีการนําคอมพิวเตอรเขามาใช

    เพ่ือใหงานเกิดการทํางานท่ีรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงเปนวิชา

    ท่ีเรียนเก่ียวกับเนื้อหาทางคอมพิวเตอรเบื้องตนเพ่ือใหนักเรียนไดทราบถึงประวัติและความเปนมาของ

    คอมพิวเตอรและความรูตาง ๆ เก่ียวกับคอมพิวเตอรและยังมีในสวนของการปฏิบัติในเรื่องของการใช

    โปรแกรมคอมพิวเตอรเพ่ือฝกใหนักเรียนไดมีความสามารถในการใชโปรแกรมทางดานคอมพิวเตอรได

    การสอนนักเรียนมัธยมศึกษาปท่ี 1 นักเรียนแตละคนก็ยอมมีพ้ืนฐานความรูในเรื่อง

    คอมพิวเตอรท่ีแตกตางกันเนื่องจาก ความรูเดิมท่ีเรียนวิชาคอมพิวเตอรมาจากชั้นประถมปท่ี 6 ของแต

    ละคนตางกัน และการเรียนในสวนของเนื้อหาก็มีสวนท่ีตองใชความจํา ในชวงแรกผูสอนไดมีการ

    ทดสอบความรูเกาเก่ียวกับคอมพิวเตอรของผูเรียนโดยมีการตั้งคําถามหรือใหลองยกตัวอยางซึ่งพบวามี

    นักเรียนสวนใหญท่ียังตอบคําถามความรูพ้ืนฐานเก่ียวกับคอมพิวเตอรไมได หลังจากท่ีผูสอนทําการ

    อธิบายความรูใหกับนักเรียนและมีการสรุปความรูใหนักเรียนอีกครั้งโดยการตั้งคําถามในสิ่งท่ีไดสอนไป

    และทําการทดสอบความรูหลังเรียน ซึ่งปญหาท่ีพบคือนักเรียนยังไมสามารถจดจําเนื้อหาบางสวนท่ีมีการ

    จําแนกหัวขอยอยไดและผลคะแนนจากการทดสอบยอยนักเรียนยังทําคะแนนไดไมดีนัก

    การเรียนคอมพิวเตอรนั้นนอกจากจะใชความเขาใจแลวยังตองมีสวนของความจําเปนสวน

    หนึ่งของการเรียน ถานักเรียนเรียนโดยใชความเขาใจและไดมองเห็นภาพรวมท้ังหมดของการเรียนใน

    สวนเนื้อหาในแตละเรื่องนั้นไดชัดเจน จึงจะทําใหนักเรียนสามารถจดจําเนื้อหาไดดียิ่งข้ึน

  • 7

    ฉะนั้นการใช concept map จะชวยสงเสริมความเขาใจ และการเรียนรูใหกับนักเรียน

    เพราะสามารถเห็นภาพ ความคิดรวบยอดท่ีสําคัญ ซึ่งจะเปนสวนหนึ่งท่ีชวยใหนักเรียนสามารถเห็น

    รายละเอียดของเนื้อหานั้น ๆ ไดชัดเจนโดยการเชื่อมโยงเนื้อหากันเปนหมวดหมู และชวยใหนักเรียน

    มองเห็นภาพความคิดรวบยอดในรูปแบบท่ีจับตองได นักเรียนยังสามารถนํากลับไปทบทวนบทเรียนได

    ทุกครั้งตามท่ีตองการ

    ดังนั้นครูผูสอนจึงมีการนําผังมโนทัศนเขามาใชในการสอนและการสรุปเนื้อหาท่ีเรียนในเรื่อง

    ตาง ๆ ซึ่งนักเรียนสามารถนํากลับมาทบทวนเนื้อหาไดและงายตอการทําความเขาใจ ซึ่งนาจะเปนวิธีท่ี

    ชวยใหนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 สามารถเขาใจและจดจําเนื้อหาตาง ๆ ไดดียิ่งข้ึน

    2. คําถามวิจัยนักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศน มีผลตอการเรียนรูสูงกวาการเรียนโดยใชการสอน

    แบบปกติอยางไร

    3. วัตถุประสงคของการวิจัยเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนระหวางการจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน กับการเรียน

    การสอนแบบปกติ

    4. ขอบเขตของการวิจัย4.1. ประชากรในการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภฯ

    จังหวัดกรุงเทพฯ

    กลุมตัวอยาง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภฯ จังหวัด

    กรุงเทพฯ ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 โดยใชนักเรียนกลุมตัวอยางจํานวน 50 คน

    4.2. ขอบเขตของเนื้อหา ท่ีนํามาใชในการวิจัยนี้ คือ วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่อง

    - ประวัติและความเปนมาของคอมพิวเตอร

    - ประเภทของคอมพิวเตอร

    - องคประกอบของคอมพิวเตอร

  • 8

    - เทคโนโลยีสารสนเทศ

    4.3. ตัวแปรท่ีใชในการวิจัย

    4.3.1. ตัวแปรตน

    คือ การจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน และการเรียนการสอน

    แบบปกติ

    4.3.2 ตัวแปรตาม

    คือ คะแนนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนศรีอยุธยา

    ในพระอุปถัมปฯ จังหวัดกรุงเทพฯ

    5. นิยามศัพท

    ผังมโนทัศน หรือ Concept map ท่ีสรางข้ึนเพ่ือทําความเขาใจ หรือสื่อความหมาย

    แสดงใหเห็นสิ่งท่ีเปนตัวอยางของความหมายนั้นเรียงตามลําดับชั้น จากสิ่งท่ีกินความกวางกวาไปสูสิ่งท่ี

    กินความแคบกวา หรือจากสิ่งท่ีกินความแคบกวาไปสูสิ่งท่ีกินความกวางกวา จากกวางไปแคบเชน

    สิ่งมีชีวิต แยกเปนพืช และสัตว ท้ังแขนงท่ีเปนพืชและแขนงท่ีเปนสัตวก็แยกยอยออกไปไดอีกเปน

    ลําดับชั้น

    ผังมโนทัศน คือแผนภาพแทนความคิดท่ีแสดงใหเห็นถึงความสัมพันธท่ีมี ความหมาย

    ระหวางความคิดรวบยอดตาง ๆ โดยอยูในรูปของขอความ ท้ังนี้ขอความอาจ เปนฉลากความคิดรวบ

    ยอดสองอัน หรือมากกวานั้น ซึ่งมาเชื่อมโยงกันดวยถอยคําท่ีแสดง ใหเห็นถึงความสัมพันธ หรือความ

    เก่ียวของระหวาง ความคิดรวบยอดนั้น ๆ

    การสอนแบบปกติ หมายถึง การสอนท่ีผูเรียนเรียนรู ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนตามท่ี

    ครูผูสอนไดเตรียมการสอนไว และปรากฏอยูในแผนการสอนท่ีผูวิจัยไดสรางข้ึน ซึ่งเปนการสอนแบบ

    บรรยายโดยมีการใชสื่อการสอนอ่ืน ๆ ประกอบ มีการอภิปรายสรุปความรูรวมกันในหองเรียน และให

    ผูเรียนมีการทํากิจกรรมอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม

  • 9

    ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการวัด การเปลี่ยนแปลงและประสบการณการเรียนรู ใน

    เนื้อหาสาระท่ีเรียนมาแลววาเกิดการเรียนรูเทาใดมีความสามารถชนิดใด โดยสามารถวัดไดจาก

    แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ท่ีผูวิจัยสรางข้ึน

    6. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับจากการวิจัย

    6.1. นักเรียนสามารถจดจําเนื้อหาสาระท่ีเรียนไดแมนยําและเปนระบบ

    6.2. เปนการสงเสริมใหนักเรียนมีการทบทวนบทเรียนอยูสมํ่าเสมอ โดยมีการสรุปบทเรียนแบบ

    เปนหมวดหมู ซึ่งจะเปนเครื่องมือท่ีชวยใหนักเรียนจดจําเนื้อหาไดงายมากยิ่งข้ึน

    6.3. นักเรียนสามารถนําวิธีการเขียนผังมโนทัศนไปประยุกตใชกับวิชาอ่ืน ๆ

  • 10

    บทที่ 2

    เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ

    การวิจัยในครั้งนี้ผูวิจัยไดทําการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของดังนี้

    1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี

    สาระท่ี 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาตรฐาน ง 3.1 เขาใจ เห็นคุณคา และใชกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบคนขอมูล

    การเรียนรู การสื่อสาร การแกปญหา การทํางาน และอาชีพอยางมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคุณธรรม

    2. วิธีการจัดการเรียนรูแบบผังมโนทัศน

    2.1 ความหมายของ ผังมโนทัศน

    ผังมโนทัศน หรือ Concept map ท่ีสรางข้ึนเพ่ือทําความเขาใจ หรือสื่อความหมาย แสดใหเห็นสิ่งท่ีเปนตัวอยางของความหมายนั้นเรียงตามลําดับชั้น จากสิ่งท่ีกินความกวางกวาไปสูสิ่งท่ีกินความแคบกวา หรือจากสิ่งท่ีกินความแคบกวาไปสูสิ่งท่ีกินความกวางกวา จากกวางไปแคบเชน สิ่งมีชีวิต แยกเปนพืช และสัตว ท้ังแขนงท่ีเปนพืชและแขนงท่ีเปนสัตวก็แยกยอยออกไปไดอีกเปน ลําดับชั้น

    นักวิชาการหลายทาน ไดใหความหมายของแผนผังมโนทัศนไวดังนี้

    จํานงพรายแยมแข(2534: 52) ทวีปบรรจงเปลี่ยน(2540: 37) และยุวดีเยี่ยมแสง(2542: 31)ไดให ความหมายของแผนผังมโนทัศนไวในทํานองเดียวกันวา หมายถึง ความคิด ความเขาใจของบุคคลท่ีสรุปเก่ียวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดจากการสังเกต หรือเกิดจากสิ่งท่ีเคยเรียนรูมาแลวนํามาประมวลเขาดวยกันใหเปนขอสรุปหรือคําจํากัดความของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องนั้น ๆ

    สุวิทยมูลคํา(2547: 10) กลาวถึงความหมายของแผนผังมโนทัศนไววา หมายถึงความคิดความ เขาใจท่ีสรุปเก่ียวกับการจัดกลุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องหนึ่งท่ีเกิดจากการสังเกตหรือการไดรับประสบการณ เก่ียวกับสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น แลวใชคุณลักษณะหรือคุณสมบัติท่ีมีลักษณะคลายคลึงกัน จัดเขาเปนกลุม เดียวกันซึ่งจะทําใหเกิดความเขาใจสิ่งตางๆไดงายข้ึน

  • 11

    กูด (Good 1973: 170) ไดใหความหมายของแผนผังมโนทัศนไว 3 ลักษณะคือ

    (1) ความคิดหรือ สัญลักษณของสวนประกอบท่ีสามารถจําแนกหรือแยกแยะออกเปนกลุมได

    (2) สัญลักษณเชิงความคิดท่ัวไป เก่ียวกับสถานการณหรือวัตถุ

    (3) ความคิดเห็นหรือภาพของความคิดโดยรวม

    จากความหมายของ Concept map หรือ แผนผังมโนทัศนขางตน สามารถสรุปไดวาแผนผังมโนทัศน หมายถึง ความคิดความเขาใจท่ีไดรับจากการสังเกตหรือประสบการณ และนําความรูนั้นมาสรุปเปนแผนภาพแทนความคิดท่ีแสดงใหเห็นถึงความสัมพันธท่ีมี ความหมายระหวางความคิดรวบยอดตาง ๆ โดยอยูในรูปของขอความ สัญลักษณนั้นเรียงตามลําดับชั้น จากสิ่งท่ีกินความกวางกวาไปสูสิ่งท่ีกินความแคบกวา หรือจากสิ่งท่ีกินความแคบกวาไปสูสิ่งท่ีกินความกวางกวา

    การจําโดยการทําแผนผังความคิดเปนการสรางความจําจากการมองภาพรวม ทําใหรายละเอียดไดงาย เชื่อมโยงความคิดและขอมูลท่ีสําคัญเปนกลุม ๆ สามารถใชงานไดท้ังเรื่องเรียน การวางแผนงาน และการอานตํารา การใชสัญลักษณรูปภาพและการใชสี ทําใหการจํานั้นสนุก ไมลืมงายและฟนความจําไดด(ีจิตรา,2551)

    ปราณี วราสวัสดิ(์2552)พบวา การสอนแบบผสมผสาน และการทดสอบยอย ทําใหนักศึกษามีความตื่นตัว ติดตาม เอาใจใสมากข้ึน ทําใหผลสัมฤทธิ์ในการเรียนดีข้ึน

    นิพัทธา แยมศรี(2551)พบวาการเรียนดวยแบบฝกทักษะการเขียนสรุปความโดยใชผังความคิดทําใหนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน

    3 . การจัดการเรียนการสอนโดยใช ผังมโนทัศน

    3.1 การใช ผังมโนทัศน ในการสอน

    3.1.1. ในการสราง ผังมโนทัศน จะตองมีการอธิบายความคิดรวบยอดท่ียากใหชัดเจน และจะตองมีการเรียงลําดับอยางเปนระบบ ดังนั้นในการใช ผังมโนทัศน ในการสอนจะชวยใหครูมีความเขาใจในความคิดรวบยอดหลักตาง ๆ และความสัมพันธระหวางความคิดรวบยอดเหลานั้นมากข้ึนจากนั้น Concept Map ชวยใหครูสามารถอธิบายใหนักเรียนไดเห็นภาพตามนั้นไดอยางชัดเจนดวย ซึ่งจะทําใหมีโอกาสนอยท่ีจะไมเขาใจ หรือตีความความคิดรวบยอดสําคัญผิด

    3.1.2 การใช ผังมโนทัศน จะชวยเสริมความเขาใจ และการเรียนรูใหกับนักเรียนเพราะสามารถเห็นภาพ ความคิดรวบยอดท่ีสําคัญ ไปพรอม ๆ กับสรุปความสัมพันธระหวางความคิดเหลานั้น

  • 12

    3.1.3. การใช ผังมโนทัศน ยังเปนสวนชวยครูในการตรวจประเมินกระบวนการสอนดวย โดยจะทราบจากการท่ีนักเรียนไมเขาใจ หรือตีความความคิดรวบยอดสําคัญอันไหนผิดบาง

    3.1.4. สามารถใช การทํา ผังมโนทัศน ในการประเมินความสามารถในการเรียนรูของนักเรียนได

    3.2 ข้ันตอนในการสราง ผังมโนทัศน

    3.2.1. เลือก ใหความสนใจกับหัวเรื่องกอน แลวจึงหา Key Word หรือ วลี ท่ีเก่ียวของ

    3.2.2. จัดลําดับความสําคัญ วางตําแหนงความคิดรวบยอด หรือ Key Word จากสิ่งท่ีเปนนามธรรม และท่ัวๆ ไป ท่ีสุด ไวดานบน แลววางสิ่งท่ีชี้เฉพาะ และชัดเจนมากข้ึนไลลงมาเรื่อย ๆ

    3.2.3. จัดกลุม จัดกลุมความคิดรวบยอดท่ีอยูในระดับเดียวกัน และเก่ียวของกันไวดวยกัน

    3.2.4. เรียบเรียง จัดความคิดรวบยอดในรูปของแผนภูมิแสดงความคิดท่ีเปนระบบ

    3.2.5. เชื่อมโยงและเพ่ิมขอความ เชื่อมโยงความคิดรวบยอดเขาดวยกันโดยใชเสนและ ใชขอความในการบรรยายแตละเสนดวย

    สรุปแนวการสอนแบบ ผังมโนทัศน วามีประโยชนมากสําหรับการเรียนการสอนมักจะเปนรูปแบบท่ีเรียงลําดับตามความสําคัญ (Hierarchical organization) ท่ีวางความคิดรวบยอดท่ัวไปและกวางๆ กวาอันอ่ืน ไวดานบน แลวจึงคอยวางความคิดรวบยอดท่ีมีความชัดเจนและชี้เฉพาะมากข้ึน เปนลําดับลงมาท่ีดานลาง

    ขอดีท่ีสําคัญ ของ การใช ผังมโนทัศน คือ ทําใหสามารถเห็นภาพความคิดรวบยอดในรูปแบบท่ีจับตองได ทําใหสามารถใหความสําคัญไดงายดาย จึงสะดวกในการนําไปทบทวนทุกครั้งท่ีตองการ นอกจากนี้ในการรวบรวมความคิดรวบยอดตองใชความเขาใจท่ีชัดเจนและแมนยําท้ังในเรื่องความหมาย และความเชื่อมโยงของความคิดรวบยอดจึงทําใหการเรียนรู กลายเปนกระบวนการท่ีมีปฏิสัมพันธกัน ท้ังนี้ในการนําเสนอความคิดรวบยอดใหแกนักเรียน ครูไมควรใหนักเรียนจํา ผังมโนทัศน ท่ีเตรียมไวแลว เพราะนั่นก็เปนเพียงแคการเรียนแบบทองจําอีกรูปแบบหนึ่งเทานั้น ท่ีไมชวยใหเกิดการกระตุนใหนักเรียนเกิดการเรียนรูท่ีมีความหมายและยั่งยืน

  • 13

    4. ชนิดของผังมโนทัศน

    4.1. Spider Concept Map แบบใยแมงมุม หรือดาวกระจาย

    4.2. Hierarchy Concept Map แบบชวงชั้นของความคิด

  • 14

    4.3. Flowchart Concept Map แบบการ Flow ของงาน กอนหลัง

    4.4. System Concept Map แบบเชิงระบบ เชื่อมโยง

  • 15

    5. Picture Landscape Concept Map แบบแผนภาพ

    6. Multidimensional / 3-D Concept Map แบบสามมิติ

    จากรูปแบบแผนผังมโนทัศนผูสอนไดเปดโอกาสใหนักเรียนไดเลือกใชรูปแบบท่ีนักเรียนสนใจ ซึ่งรูปแบบท่ีนักเรียนคุนเคยและใชเขียนเปนประจําจะเปนแบบ Spider Concept Map แบบใยแมงมุม หรือดาวกระจาย ซึ่งทําใหนักเรียนใชในการสรุปเนื้อหาไดงายและนักเรียนสวนใหญคุนเคยกับรูปแบบนี้ท่ีสุด

  • 16

    5. หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวกับแผนผังมโนทัศน

    การสรางแผนผังมโนทัศนเปนความสามารถทางสมองอยางหนึ่งของมนุษยการสรางแผนผังมโนทัศนมีลักษณะท่ีตรงกันขามกับการเรียนรูแบบทองจํา (Role Learning) ความรูท่ีเกิดจากการรับรูจะเกิดเปน มโนทัศนมีความสอดคลองสัมพันธกันในลักษณะท่ีเปนลําดับข้ันลดหลั่นกันลงมาหลักการและทฤษฎีเก่ียวกับแผนผังมโนทัศนมีนักการศึกษาหลายทานไดกลาวถึง ดังนี้

    5.1 ทฤษฎีการเรียนรูอยางมีความหมาย(Meaningful)ของ Ausubel

    ออซูเบล (Ausubel , David 1963) ออซูเบลใหความหมายการเรียนรูอยางมีความหมาย( Mearningful learning) วา เปนการเรียนท่ีผูเรียนไดรับมาจากการท่ีผูสอน อธิบายสิ่งท่ีจะตองเรียนรูใหทราบและผูเรียนรับฟงดวยความเขาใจ โดยผูเรียนเห็นความสัมพันธของสิ่งท่ีเรียนรูกับโครงสรางพุทธิปญญาท่ีไดเก็บไวในความทรงจํา และจะสามารถนํามาใชในอนาคต

    ออซูเบลกลาวไววาการเรียนรูจะมีความหมายแกผูเรียน หากการเรียนรูนั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งท่ีรูมากอน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ มีการนําเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแกผูเรียนกอนการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆ จะชวยใหผูเรียนไดเรียนเนื้อหาสาระนั้นอยางมีความหมาย

    5.2 ปรัชญาสารัตถนิยม

    ปรัชญาสารนิยมหรือสารัตถนิยมตามแนวจิตนิยม มีความเชื่อวา การศึกษาคือเครื่องมือในการสืบทอดมรดกทางสังคม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมและอุดมการณท้ังหลายอันเปนแกนสาระสําคัญ (essence)ของ สังคมใหดํารงอยูตอ ๆ ไป ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาจึงควรประกอบไปดวย ความรู ทักษะ เจตคติคานิยม และวัฒนธรรม อันเปนแกนสําคัญซึ่งสังคมนั้นเห็นวาเปนสิ่งท่ีถูกตอง ดีงาม สมควรท่ีจะรักษาและสืบทอดใหอนุชนรุนตอ ๆ ไป การจัดการเรียนการสอนจะเนนบทบาทของครูในการถายทอดความรูและสาระตางๆ รวมท้ังคุณธรรมและคานิยมท่ีสังคมเห็นวาเปนสิ่งท่ีดีงามแกผูเรียน

    ปรัชญาสารนิยมจะสนับสนุน The Three R’s (3R’s) คือ การอานออก เขียนได คิดเลขเปน ความ เชื่อตามปรัชญานี้ ผูเรียนก็คือดวงจิตเล็ก ๆ และประกอบดวยระบบประสาทสัมผัส ครูคือตนแบบท่ีดีท่ีมีความรูจึงจําเปนตองทําหนาท่ีอบรมสั่งสอนนักเรียน โดยการแสดงการสาธิต หรือเปนนักสาธิตใหผูเรียนไดเรียนรูและเห็นอยางจริงจัง

    การประเมินผลจะเนนเรื่องเนื้อหาสาระหรือความรูมากท่ีสุด ในการปฏิบัติจริงจะออกมาในรูปของการทดสอบความสามารถในการจํามากกวาการทดสอบความสามารถในการคิด การใชเหตุผล หรือความเขาใจใน

  • 17

    หลักการ ไมมีการวัดพัฒนาการทางดานทัศนคติในการบริการหรือปรับปรุงสังคม แตเนนพัฒนาการทางดานสติปญญา

    6. งานวิจัยที่เกี่ยวของ

    6.1 วรอัญู ศศิตรานนท นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาศิลปะและการออกแบบ คณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกนิรัช สุดสังข อาจารยประจําคณะสถาปตยกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก

    การเปรียบเทียบทางผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหวางการวาดภาพอิสระและการใชแบบฝกการวาดภาพโดยใชผังภูมิความคิดของนักเรียน วัตถุประสงคเพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการปฏิบัติงานวิชาศิลปะของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวรการศึกษาเพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ฝกการวาดภาพโดยใชผังภูมิความคิดเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ผลการวิจัยพบวาคะแนนการวาดภาพอิสระคะแนนเต็ม 10 และคะแนนการวาดภาพโดยใชแบบฝกผังภูมิความคิดคะแนนเต็ม 10 คะแนน จากการทดสอบพบวาการวาดภาพโดยใชแบบฝกผังภูมิความคิดมีคะแนนสูงกวาการวาดภาพโดยใชวิธีการวาดภาพอิสระ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีรับ 0.05

    6.2 ภัทราภรณพิทักษธรรม (2543:บทคัดยอ) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความสามารถดาน การคิดวิเคราะหและเจตคติตอวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี5 ท่ีไดรับการสอนแบบสืบเสาะหาความรูโดยใชกิจกรรมสรางแผนภูมิมโนทัศนกบการสอนตามคูมือครูผลการวิจัยพบวา นักเรียนท่ีไดรับการสอนแบบสืบเสาะหาความรูโดยใชกิจกรรมสรางแผนภูมิมโนทัศนกับการสอนตามคูมือครูมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ.01

    6.3 ดริญญา มูลชัย คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแมโจ เรื่องการใชแผนผังความคิดเพ่ือผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาสารเคมีสําหรับยาง ผลการวิจัยพบวา ผลการวิเคราะหขอมูลจากการสอบยอยจํานวนท้ังหมด 7 ครั้ง โดยครั้งท่ี 1 และ 2 ยังไมมีการนําแผนผังความคิดมาใช สวนครั้งท่ี 3ถึง 7 เปนคะแนนสอบยอยหลังจากมีการนําแผนผังความคิดมาใชในการเรียนการสอน โดยใหนักเรียนเขียนแผนผังความคิดหลังจากเรียนจบในแตละบทเรียนสงกอนการสอบยอยทุกครั้ง พบวากอนใชแผนผังความคิดนักศึกษามีคะแนนสอบยอยเฉลี่ยเทากับ 58.6% เม่ือมีการนําแผนผังความคิดมาใชนักศึกษามีคะแนนสอบยอยเฉลี่ย เทากับ 68.6%

  • 18

    บทที่ 3

    วิธีดําเนินงานวิจัย

    การวิจัยในครั้งนี้ ผูวิจัยไดดําเนินการตามข้ันตอนดังตอไปนี้

    1. การกําหนดประชากรและกลุมตัวอยาง2. เครื่องมือท่ีใชในการวิจัย3. ระยะเวลาในการทดลอง4. การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชในการวิจัย5. การดําเนินการทดลอง6. การวิเคราะหขอมูล

    1. กลุมประชากรและตัวอยาง

    1.1 ประชากร

    ประชากรท่ีใชในการศึกษาครั้งนี้ เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ กรุงเทพมหานครฯ ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 จํานวน 1 หอง 50

    คน

    1.2 กลุมตัวอยาง

    กลุมตัวอยางทีใชในครั้งนี้เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ กรุงเทพมหานครฯ ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2556 จํานวน 1 หอง 50 คน

    2. เคร่ืองมือที่ใชในการวิจัย

    เครื่องมือท่ีใชในการวิจัยมีดังนี้

    2.1 เครื่องมือท่ีใชในการสอน

    2.1.1 แผนการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    2.1.2 แผนการสอนแบบปกติ

    2.2 เครื่องมือท่ีใชในการรวบรวม

    2.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

  • 19

    3. ระยะเวลาในการทดลอง

    เดือนพฤศจิกายน 2556 - มกราคม 2557

    4. วิธีการสรางเคร่ืองมือและหาคุณภาพเคร่ืองมือ

    4.1 การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชในการสอน

    สรางแผนการสอน ผูวิจัยไดมีวิธีการดังนี้

    4.4.1. ศึกษาหลักสูตร คําอธิบายรายวิชา เพ่ือกําหนดวัตถุประสงคและขอบขายรายวิชา

    4.1.2 กําหนดเนื้อหา

    4.1.3 สรางแผนการสอน 2 วิธี

    4.1.3.1 แผนการสอนท่ีใชผังมโนทัศน มีท้ังหมด 2 แบบ ใชเวลาสอนแผนละ 2คาบ โดยศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของกับการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    ข้ันท่ี 1 ครูถามคําถามท่ีเก่ียวของกับเรื่องท่ีจะเรียนในวันนี้โดยใหนักเรียนชวยกันอภิปราย เพ่ือนําเขาสูบทเรียน

    ข้ันท่ี 2 ครูใหความรูกับนักเรียน โดยมีการนําผังเนื้อหาท่ีเรียนในวันนี้มาติดหนาชั้นเรียนเพ่ือใหนักเรียนไดเห็นเนื้อหาท้ังหมดท่ีเรียนในวันนี้

    ข้ันท่ี 3 ครูสรุปความรูโดยการตั้งคําถามและใหนักเรียนตอบพรอม ๆ กัน

    ข้ันท่ี 4 ครูใหนักเรียนสรุปความรูโดยใชผังมโนทัศน

    ข้ันท่ี 5 ครูใหความรูในการเขียนผังมโนทัศนกับเด็ก

    ข้ันท่ี 6 ครูใหนักเรียนสรุปความรู

    ข้ันท่ี 7 ครูทดสอบความรูโดยใชแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

    4.1.3.2 แผนการสอนแบบปกติมีท้ังหมด 2 แผน ใชเวลาในการสอนแผนละ

    4 คาบ

    ข้ันท่ี 1 ครูใชรูปภาพกระตุนความสนใจเพ่ือใหเกิดการสนทนาระหวางครูกับนักเรียนและเปนการกระตุนนักเรียน

    ข้ันท่ี 2 ครูแจงนักรเรียนวาวันนี้จะเรียนเก่ียวกับเรื่องอะไร

  • 20

    ข้ันท่ี 3 ครูใหใบความรูแกนักเรียนเพ่ือใหนักเรียนสามารถอานและทําความเขาใจเพ่ิมเติมเก่ียวกับเนื้อหา

    ข้ันท่ี 4 ครูสอนเนื้อหาใหกับนักเรียนพรอมท้ังคําถามเพ่ือใหนักเรียนไดรวมกันอภิปรายความรูนั้น

    ข้ันท่ี 5 ครูสรุปความรูใหกับนักเรียนโดยตั้งคําถามและใหนักเรียนชวยกันตอบพรอม ๆ กันท้ังหองและใหทบทวนความรูจากใบความรูท่ีครูแจกให

    ข้ันท่ี 6 ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบยอย

    4.2 การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชในการสอน

    การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชในการรวบรวมขอมูล

    4.2.1 แบบทดสอบความรู เปนขอสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก

    4.2.1.1 สรางแบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 4 เรื่อง

    4.2.1.2 นําแบบทดสอบท่ีสรางข้ึนใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทานตรวจสอบความถูกตองและคุณภาพของแบบทดสอบ

    4.2.1.3 นําแบบทดสอบไปปรับปรุงแกไข

    4.2.1.4 นําแบบทดสอบไปใช

    5. การดําเนินการทดลองและรวบรวมขอมูล

    5.1. ปฐมนิเทศเพ่ือใหนักเรียนเขาใจถึงวิธีการเรียนรู บทบาท เปาหมายและ

    จุดประสงคของรายวิชา

    5.2. ครูทําการทดลองโดยใชแผนการสอนแบบปกติ จํานวน 2 คาบ และทําการ

    ทดลองโดยนําแผนการสอนท่ีใชผังมโนทัศน จํานวน 2 คาบ

    5.3. ทําการทดสอบวัดความรูโดยใชแบบทดสอบกับนักเรียนหลังจากทําการสอน

    เสร็จ

    5.4. ครูเก็บคะแนนและเปรียบเทียบคะแนนสอบยอยหลังจากใหนักเรียนเขียนผัง

    มโนทัศนกับคะแนนสอบท่ีครูใชการสอนแบบปกติ

    5.5. นําขอมูลมาวิเคราะหผล

  • 21

    6. การวิเคราะหขอมูลและสถิติที่ใช

    6.1 คํานวณหาคาสถิติพ้ืนฐาน ไดแก คะแนนเฉลี่ย และคาความแปรปรวน

    6.2 เปรียบเทียบคะแนน กอนและหลังการทดลองโดยใชการวิเคราะหขอมูล โดยใชสถิ t-test forDependent Samples

    สถิติท่ีใชในการวิเคราะหขอมูล

    6.1 สถิติพื้นฐาน

    6.1.1 หาคาคะแนนเฉลี่ย (Mean)

    เม่ือ X แทน คาเฉลี่ย

    แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด

    N แทน จํานวนนักเรียนในกลุมตัวอยาง

    สูตร ( x ) =N

    x

  • 22

    6.1.1 หาคาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D)

    เม่ือ S.D แทน คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน

    X แทน คะแนนหรือจุดก่ึงกลางของชั้นคะแนน

    X แทน คาเฉลี่ยของคะแนน

    N แทน จํานวนนักเรียนในกลุมตัวอยาง

    6.2 สถิติท่ีใชในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ

    เม่ือ

    IOC คือ ความสอดคลองระหวางวัตถุประสงคกับแบบทดสอบ

    R คือ ผลรวมของคะแนนจากผูเชี่ยวชาญท้ังหมด

    N คือ จํานวนผูเชี่ยวชาญ

    สูตร S.D. =1

    )( 2

    n

    xx

    สูตร NRIOC

  • 23

    6.3 สถิติท่ีใชในการสอบสมติฐาน

    สถิติท่ีใชวิเคราะหขอมูลดวยสถิติ T-test dependent samples

    เม่ือt คือ คาสถิติ t ท่ีใชในการทดสอบ

    d คือ คาผลตางของคะแนน กอนและหลังการทดสอบ

    d คือ การนําเอาผลตางของคะแนนกอนและหลังการทดสอบของนักเรียนแตละ คนมาบวกกัน

    2d คือ การนําเอาผลตางของคะแนนกอนและหลังการทดสอบของนักเรียนแต ละคนยกกําลังสองแลวนํามาบวกกัน

    2d คือ การนําเอาผลตางของคะแนนกอนและหลังการทดสอบของนักเรียนแต ละคนมาบวกกันแลวจึงยกกําลังสอง

    n คือ จํานวนนักเรียนท่ีทําการทดสอบ

    df = n - 1

    สูตร t =

    nddn

    d

    )(

  • 24

    บทที่ 4

    ผลการวิเคราะหขอมูล

    ผลการวิเคราะหขอมูล

    ตารางคะแนนนักเรียนกอนใชและหลังใชผังมโนทัศน

    คนท่ี คะแนนกอนใชฯ

    (Pretest) Xกอน

    คะแนนหลังใชฯ

    (Posttest) X หลัง

    d = X หลัง - Xกอน

    d2

    1 5 7 2 42 5 8 3 93 4 7 3 94 5 8 3 95 6 6 0 06 6 7 1 17 6 7 1 18 5 8 3 99 6 8 2 410 6 6 0 011 5 7 2 412 4 7 3 913 4 5 1 114 5 7 2 415 6 7 1 116 4 5 1 117 4 7 3 918 5 6 1 119 5 7 2 420 4 7 3 921 7 9 2 422 5 6 1 123 5 8 3 924 5 7 2 425 5 7 2 426 5 7 2 427 6 7 1 128 4 7 3 929 4 5 1 130 4 6 2 4รวม 266 360 d = 94 d = 218

  • 25

    X = 10.431 Y = 14.118 )(d =8836

    S.D. = 1.019 S.D. = 1.2454

    สมมติฐานทางสถิติ

    H0: หลังเรียน= กอนเรียน (คะแนนเฉลี่ยหลังการใชผังมโนทัศนเทากับกอนการใชผังมโนทัศน)

    H1: หลังเรียน> กอนเรียน

    คํานวณหาคา t จากขอมูล

    สูตร t =

    nddn

    d

    )(

    แทนคา; t =

    498836)21850(

    94

    t =

    49206494

    t =122.42

    94

    t = 2.2316

    คาวิกฤติ t ท่ีระดับนัยสําคัญ , df = n-1

    คา df = n – 1แทนคา; df = 50 – 1

    df = 49

    ท่ีระดับนัยสําคัญ .05 และ df = 49 คา t.05,49= 1.676 (คา t จากการเปดตาราง)

  • 26

    คา t ท่ีเปดจากตารางนอยกวา คา t ท่ีไดจากการคํานวณ (1.676 < 2.2316 ) หมายความวาเราจะยอมรับ H1

    แสดงวา นักเรียนมีความรูจากการวัดผลคะแนนสอบสูงข้ึนหลังการใชกระบวนการสอนโดยใชผังมโน

    ทัศน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05

    1. จากการดําเนินการวิจัยเรื่องผลของการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศนเพ่ือเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

    วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ม. 1 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภฯ สมารถสรุปผลการวิจัยไดดังนี้

    ตาราง แสดงคาเปรียบเทียบความแตกตางระหวางคะแนนการสอนแบบปกติและการสอนโดยใชผังมโนทัศน

    รูปแบบการสอนt sigการสอนแบบปกติ

    (n=50)การสอนแบบใชผังมโนทัศน

    (n=50)X S.D X S.D 2.2316 .00010.275 1.262 13.647 1.670

    จากตารางพบวาเปนสวนท่ีแสดงคาสถิติเบื้องตนของตัวแปรท่ีนํามาทดสอบ คือ รูปแบบการการสอน

    แบบปกติ มีคา X = 10.275 , S.D = 1.262 การสอนโดยใชผังมโนทัศน X = 13.647 , S.D = 1.670ดังนั้น

    P(sig)

  • 27

    ตารางแสดงพัฒนาการของระดับคะแนนแบบทดสอบท้ังหมด 4 คร้ัง

    จากตารางระดับคะแนนของการสอนแบบปกติครั้งท่ี 1 และ2 จะเห็นไดวาระดับคะแนนอยูในระดับท่ีไมแตกตางจากกันมากนัก สวนระดับคะแนนท่ีมีการใชผังมโนทัศนมีระคะแนนท่ีสูงข้ึนจากการสอนแบบปกติอยางเห็นไดชัด

    2. ศึกษาความสามารถในการคิดรวบยอดของนักเรียนหลังการใชใชเทคนิคการสรางผังมโนทัศน โดยเปรียบเทียบกับเกณฑระดับคุณภาพ 4 ระดับ ไดแก ดีมาก ดี พอใช และปรับปรุง เกณฑท่ีใชในการประเมิน มีดังนี้

    ตารางเกณฑระดับคะแนนคุณภาพการเขียนผังมโนทัศน

    คะแนน ระดับคุณภาพ

    16-20 ดีเยี่ยม

    15-10 ดี

    9-5 พอใช

    4-0 ปรับปรุง

    02468

    10121416

  • 28

    พบวา นักเรียนท่ีไดระดับคะแนนอยูในระดับดีเยี่ยมจํานวน 12 คน ดี 31 คน พอใช 7 คน ภาพรวมนักเรียนมีความสามารถในการคิดรวบยอดอยูในระดับดี โดยคะแนนเฉลี่ยเทากับ 12.94 เม่ือพิจารณารายละเอียดแลวพบวา นักเรียนมีความสามารถในการคิดรวบยอดอยูระหวางพอใช ดี และดีมาก

    รอยละท่ีดีของการเขียนผังมโนทัศนของนักเรียนอยูท่ี 84 % จากเกณฑท่ีไดดังนี้

    ดีมาก คิดเปนรอยละ 24

    ดี คิดเปนรอยละ 62

    พอใช คิดเปนรอยละ 14

  • 29

    บทที่ 5

    สรุป อภิปรายขอเสนอแนะ

    สรุปผลการวิจัย

    1. นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศนกับการสอนแบบปกติ พบวาหลังจากมีการใชผังมโนทัศน นักเรียนมีคะแนนการทดสอบแตกตางกันมีนัยสําคัญทางสถิติระดับ .05

    2. นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศนมีความคิดรวบยอดอยูในระดับดีโดยคะแนนเฉลี่ยเทากับ 12.8

    อภิปรายผลการวิจัย

    1. นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศนกับการสอนแบบปกติ พบวาหลังจากมีการใชผังมโนทัศน นักเรียนมีคะแนนการทดสอบแตกตางกันมีนัยสําคัญทางสถิติระดับ .05

    จากผลการวิเคราะหขอมูลท้ังหมด 4 ครั้ง โดยครั้งท่ี 1 และ 2 ยังไมมีการนําผังมโนทัศนมาใช สวนครั้งท่ี 3 และ 4 เปนคะแนนสอบยอยหลังจากมีการนําแผนผังมโนทัศนมาใชในการเรียนการสอนโดยมีการใหนักเรียนเขียนผังมโนทัศนหลังจากเรียนจบในแตละเรื่องกอนการทดสอบยอยทุกครั้ง

    ผลคะแนนจากการทดลองพบวา การจัดการเรียนการสอนโดยใชผังมโนทัศน โดยนักเรียนไดรับการสอนโดยใชผังมโนทัศนนักเรียนสามารถจดจําเนื้อหาไดมากข้ึนและมีคะแนนสูงข้ึนกอนการนําแผนผังมโนทัศนมาใช ครั้งท่ี 1 นักเรียนมีผลคะแนนแบบทดสอบคาเฉลี่ยเทากับ 10.58 ครั้งท่ี 2 คะแนนเฉลี่ยเทากับ 10.27หลังการนําแผนผังมโนทัศนมาใชใน ครั้งท่ี 3 คะแนนเฉลี่ยเทากับ 12.39 ครั้งท่ี 4 คะแนนเฉลี่ยเทากับ 13.64แสดงวาการสอบยอยสงผลใหคะแนนของนักเรียนสูงข้ึน เนื่องจากการสอบยอยท่ีบอยครั้งและนักเรียนไดมีการสรุปความรูแบบผังมโนทัศนสงกอนสอบยอยทุกครั้ง ทําใหนักเรียนไดมีการทบทวนความรูอยูเสมอ

    การท่ีครูใหนักเรียนไดมีการสรุปความรูกอนสอบในแตละครั้งทําใหนักเรียนไดทบทวนความรูท่ีเรียนและมีความตื่นตัวในเรื่องการเขาเรียนมากยิ่งข้ึน ทําใหนักเรียนมีความสนุกท่ีไดสรุปความรูแบบผังมโนทัศนจากเม่ือกอนการสรุปความรูของนักเรียนบางคนยังใชวิธีการเขียนเปนบรรทัดในหนากระดาษ ซึ่งทําใหไมนาสนใจและนักเรียนเบื่อหนาย แตเม่ือมีการสรุปความรูแบบผังมโนทัศนนักเรียนไดมีการออกแบบผังมโนทัศนของตนเอง ไดมีการใชสีสัน เพ่ือเนนขอความใหนาสนใจ มีการจัดหมวดหมูของเรื่องทําใหงายตอการนํามาทบทวน และนักเรียนเกิดการเรียนรูไดดียิ่งข้ึนซึ่งสอดคลองกับ สมาน ลอยฟา(2549:9) ท่ีกลาววาการสรางมโนทัศนเปนวิธีท่ีแสดงใหเห็นถึงโครงสรางของเนื้อหาและความสัมพันธกับขอเท็จจริงและแนวความคิด

  • 30

    กับเรื่องนั้นท้ังหมด โดยนําเสนอในเชิงกราฟฟก ซึ่งวิธีนี้จะชวยใหความคิดของนักเรียนตอสิ่งท่ีไดเรียนรูมีความชัดเจนมากข้ึน นักเรียนมีการจัดระบบของแนวคิดท่ีดี ซึ่งจะทําใหเกิดการเรียนรูอยางมีระบบ เขาใจงาย และชวยใหนักเรียนมีการพัฒนาทักษะในการคิด

    จากเหตุขางตนท่ีไดกลาวมาทําใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีไดรับการสอนโดยใชผังมโนทัศนแตกตางกับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนท่ีไดรับการสอนแบบปกติอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งเปนไปตามสมติฐานท่ีตั้งไว

    2. นักเรียนท่ีเรียนโดยใชการสอนแบบผังมโนทัศนมีความคิดรวบยอดอยูในระดับดีโดยคะแนนเฉลี่ยเทากับ 12.8

    เปนผลเนื่องมาจาก การสอนโดยใชผังมโนทัศนนั้น เปนการสอนท่ีฝกใหนักเรียนใชกระบวนการคิดวิเคราะห เพ่ือใหเกิดความคิดรวบยอดของตนเอง โดยนักเรียนจะตองอานเนื้อและทําความเขาใจเนื้อกอนเพ่ือจะสามารถนําความรูมาสรุปเปนความคิดรวบยอด มีการจัดเนื้อหากันหมวดหมู เพราะข้ันตอนของการเขียนผังมโนทัศนนั้นนักเรียนจะตองมีการจัดประเภทของมโนทัศนตาง ๆ ใหเปนหมวดหมู มีการจัดลําดับ ใหมีความสัมพันธกัน ซึ่งเปนการจัดความคิดใหอยูในรูปของแผนผังทําใหนักเรียนสามารถมองเห็นเนื้อหาของเรื่องท่ีเรียนไดท้ังหมด ซึ่งจะทําใหนักเรียนเขาใจและจดจําเนื้อหานั้นไดดีข้ึนดวย

    การสอนโดยใชผังมโนทัศนนั้นทําใหนักเรียนไดสรุปเนื้อท่ีเรียน ออกมาในรูปแบบผังมโนทัศนนักเรียนจะตองสรุปเนื้อหาออกมาเปนความคิดรวบยอด นอกจากนั้นนักเรียนจะตองจัดหมวดหมูของเนื้อหาท่ีได มีการออกแบบผังมโนทัศนของตนเอง และมีการใชสีและตกแตงรปูภาพเพ่ิมเติม จึงทําใหนักเรียนเกิดการเรียนรูและเขาใจเรื่องท่ีเรียนไดดียิ่งข้ึน จึงทําใหผูเรียนไดรับการพัฒนาความสามารถในดานทักษะความคิดรวบยอด การคิดวิเคราะห และการคิดสรางสรรค นอกจากนี้การเรียนท่ีเสริมดวยผังมโนทัศนยังทําใหผูเรียนมีความสามารถประมวลผลความคิดและกระตุนใหเกิดการวิเคราะหไดอยางดี มีความเขาใจและจดจําความรูไดงายซึ่งสอดคลองกับ ออซูเบล(Ausubel, 1968) ไดกลาวถึง ทฤษฎีการเรียนรูอยางมีความหมายมีการนําเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแกผูเรียนกอนการสอนเนื้อหาสาระ นั้นๆ จะชวยใหผูเรียนไดเรียนเนื้อหาสาระนั้นอยางมีความหมาย โดยผูเรียนเห็นควา�