· web viewแอกซ นเป นหน วยย อยของโครงสร...
TRANSCRIPT
AAN (average agglomeration number) เอเอเอ็น (จำ�นวนเฉลี่ยก�รรวมตัวเป็นก้อน) : ด ูaverage agglomeration number (AAN)
AAO (anodic aluminium oxide) เอเอโอ (อะลมูเินียมออกไซด์กัดลึกขัว้แอโนด) : ด ูanodic aluminium oxide (AAO)
acene แอกซนี : สารประกอบแอโรแมติกไฮโดรคารบ์อนซึ่งมหีน่วยยอ่ยเป็นวงเบนซนีตัง้แต่ ๑ หน่วยขึ้นไปเชื่อมต่อกันโดยใชอ้ะตอมคารบ์อนรว่มกัน ๒ อะตอม และเพิม่ต่อกันไปเป็นแนวเสน้ตรง โครงสรา้งโมเลกลุของแอกซนีมีพนัธะคู่สลับเดี่ยว (conjugated double bond) ซึ่งทำาใหป้ระจุเคล่ือนไปมาบนโครงสรา้งได้ สมบติัการนำาไฟฟา้ของแอกซนีขึ้นอยูก่ับลักษณะโครงสรา้ง เชน่ แอกซนีท่ีมจีำานวนวงเบนซนีเป็นเลขค่ีจะมแีนวโน้มการนำาไฟฟา้ได้ดีกวา่โครงสรา้งที่มจีำานวนวงเป็นเลขคู่ ตัวอยา่งแอกซนีเชน่ เบนซนี (benzene) แนฟทาลีน (naphthalene) แอนทราซนี (anthracene) เททราซนี (tetracene) เพทาซนี (pentacene)
แอกซนีเป็นหน่วยยอ่ยของโครงสรา้งนาโนของคารบ์อนขนาดใหญ่ ได้แก่ ท่อนาโนคารบ์อนและแกรฟนี แอกซนีหลายชนิดมสีมบติัเป็นสารกึ่งตัวนำาอินทรยี ์เชน่ เพนทาซนีซึ่งใชเ้ป็นวสัดใุนทรานซสิเตอรแ์บบสารอินทรยี ์ [ด ูcarbon nanotube และ graphene ประกอบ]
ตัวอยา่งโครงสรา้งโมเลกลุแอกซนี
active nanostructure โครงสร�้งน�โนแบบไวง�น : โครงสรา้งนาโนท่ีทำาหน้าท่ีของตัวเองได้โดยการเปล่ียนแปลงสภาวะในชว่งการใชง้าน และ/หรอืตอบสนองต่ออิทธพิลภายนอกหรอืภายใน หรอืมผีลโดยตรงต่อระบบท่ีนำาไปใช ้ตัวอยา่งโครงสรา้งนาโนแบบไวงาน เชน่ ทรานซสิเตอร ์(transister) ท่ีตอบสนองสญัญาณอยา่งวอ่งไว [ด ูnanostructure ประกอบ]
adamantane แอด�ม�นเทน : สารประกอบไฮโดรคารบ์อน ซึ่งมสีตูรโมเลกลุเป็น C10H14 และมโีครงสรา้งเป็นแบบปิดซึ่งประกอบด้วยวงแหวนไซโคลเฮกเซน ๓ วง เชื่อมต่อกันดังรูป
adsorption surface area พื้นท่ีผิวดดูซบั : พื้นท่ีผิวซึ่งมสีมบติัดดูซบัสาร ไอออน ไอสาร พื้นที่น้ีคำานวณได้จากปรมิาณของสารที่ถกูดดูซบั
aerated emulsion อิมลัชนัเติมอ�ก�ศ : โฟมเหลวท่ีประกอบสารสองวฏัภาค คือ ฟองอากาศขนาดเล็กมาก ๆ แขวนลอยอยูใ่นของเหลว บางครัง้เรยีกวา่ โฟมอิมลัชนั (foam emulsion) ตัวอยา่งของโฟมเหลว เชน่ วปิเพด็ครมี (whipped cream) ประกอบด้วยฟองอากาศกระจายตัวอยูใ่นครมี, มายองเนส (mayonnaise) ประกอบด้วยฟองอากาศกระจายตัวอยูใ่นนำ้ามนั
aerodynamic diameter เสน้ผ่�นศูนยก์ล�งแอโรไดน�มกิ : เสน้ผ่านศูนยก์ลางของอนุภาคท่ีมรูีปรา่งไมแ่น่นอนและมคีวามหนาแน่น ๑,๐๐๐ กิโลกรมัต่อลกูบาศก์เมตร และเมื่อตกลงในตัวกลางจะมคีวามเรว็เท่ากับอนุภาคทรงกลมที่มีความหนาแน่นและความเรว็เท่ากัน
aerogel แอโรเจล : เจลที่มอีากาศหรอืแก๊สอยูใ่นโครงขา่ยของวสัดท่ีุมกีารเชื่อมขวาง [ด ูgel ประกอบ]
aerosol ละอองลอย : อนุภาคเล็กมากขนาดไมโครเมตรที่แขวนลอยอยูใ่นแก๊ส อนุภาคนี้อาจจะเป็นของแขง็ ของเหลว หรอืสารผสมของของแขง็และของเหลว ตัวอยา่งละอองลอยในธรรมชาติ เชน่ หมอก ควนั
AES (Auger electron spectroscopy) เออีเอส (โอเจอิเล็กตรอนสเปกโทรสโกปี) : ด ูAuger electron spectroscopy (AES)
AFM (atomic force microscopy) เอเอฟเอ็ม (จุลทรรศน์แบบแรงอะตอม) : ด ูatomic force microscopy (AFM)
agglomerate กลุ่มเก�ะหลวม, ก้อนเก�ะหลวม : กลุ่มของอนุภาคที่เกาะกันอยา่งหลวม ๆ ด้วยแรงแวนเดอวาล์ว แรงไฟฟา้สถิต หรอืแรงตึงผิว
aggregate ๑. ก้อนเก�ะแน่น : กลุ่มของอนุภาคปฐมภมูท่ีิเกาะตัวกันแน่น โดยสมบติัทางเคมขีองกลุ่มอนุภาคเหล่าน้ียงัคงสมบติัเดิมของอนุภาคปฐมภมู ิและยงัคงมคีวามทนต่อการแยกเชงิกล [ด ูprimary particle และ secondary particle ประกอบ]
๒. ก้อนรวม : ก้อนท่ีประกอบด้วยอนุภาคขนาดต่าง ๆ มาเกาะรวมตัวกันแน่น ซึ่งแยกออกจากกันยาก
amorphous carbon ค�รบ์อนอสณัฐ�น : วสัดคุารบ์อนท่ีปราศจากการจดัเรยีงผลึกแบบชว่งยาว
อ้�งอิง : http://phycomp.technion.ac.il/~anastasy/example1.htmlanalyte ส�รท่ีต้องก�รวเิคร�ะห์ : สิง่ที่ต้องการทำาการวเิคราะห ์เชน่ โมเลกลุในสารละลายหรอืในสถานะแก๊ส
anodic aluminium oxide (AAO) อะลมูเินียมออกไซด์กัดลึกขัว้แอโนด (เอเอโอ) : วสัดอุะลมูเินียมออกไซด์ซึ่งมโีครงสรา้งนาโนที่ผิวมลัีกษณะเป็นรูพรุนตัง้ฉากกับผิว เรยีงตัวอยา่งเป็นระเบยีบคล้ายรงัผึ้ง โครงสรา้งน้ีสรา้งขึ้นด้วยวธิทีางไฟฟา้เคมท่ีีเรยีกวา่ การกัดลึกขัว้แอโนด ซึ่งใชก้รด เชน่ กรดกำามะถัน (sulphuric acid) กรดออกซาลิก (oxalic acid) และควบคมุตัวแปรใหเ้หมาะสม เชน่ อุณหภมู ิความต่างศักย ์ความเขม้ขน้ของกรด [ด ูanodic etching ประกอบ]
anodic etching ก�รกัดลึกขัว้แอโนด : การกัดวสัดอุอกจากผิวด้วยวธิีไฟฟา้เคม ีโดยนำาวสัดท่ีุนำาไฟฟา้ได้จุม่ในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ แล้วจา่ยศักยไ์ฟฟา้บวกใหแ้ก่วสัด ุ วธิน้ีีสามารถใชส้รา้งโครงสรา้งนาโน เชน่ การกัดโลหะอะลมูเินียมผ่านชัน้ออกไซด์ท่ีอุณหภมูติำ่า
อ้�งอิง : http://frgmnt.org/w/wp-content/uploads/2011/08/Reactions1.pngaptamer แอปท�เมอร ์: พอลิเมอรท์ี่มคีวามยาวโซจ่ำากัดท่ีสามารถจบักับลิแกนด์ โมเลกลุและวสัดชุวีภาพ ด้วยความจำาเพาะเจาะจงสงู เชน่ DNA หรอื RNA สายเดี่ยว ที่สามารถเรยีงตัวเป็นโครงสรา้งหลายแบบในสามมติิ
aspect ratio สดัสว่นรูปร�่ง : สดัสว่นของเสน้ผ่านศูนยก์ลางท่ียาวท่ีสดุของเมด็ของแขง็ต่อเสน้ผ่านศูนยก์ลางท่ีสัน้ท่ีสดุท่ีตัง้ฉากกัน
atomic force microscopy (AFM) จุลทรรศน์แบบแรงอะตอม (เอเอฟเอ็ม) : เทคนิคจุลทรรศน์แบบหวัเขม็กราด ใชส้ำาหรบัสรา้งภาพจำาลองผิววสัด ุโดยใชห้วัเขม็ที่มคีวามไวต่อแรงอะตอมท่ีกระทำากับผิว แล้วบนัทึกลักษณะความสงูตำ่าของผิวในรูปสามมติิ (x, y และ z) โดยอาศัยการสะท้อนของเลเซอรไ์ปที่หวัเขม็ และมผีลึกไพอิโซทำาหน้าท่ีควบคมุการเคล่ือนท่ีของหวัเขม็และ/หรอืวสัด ุ เทคนิคน้ีสามารถวดัผิววสัดท่ีุนำาไฟฟา้หรอืไมน่ำาไฟฟา้ได้ และสามารถวดัผิววสัดทุี่อยูใ่นของเหลวหรอืในสญุญาอากาศได้ ภาพที่ได้จากเทคนิคน้ีมกัแสดงเป็นภาพสองมติิ
หรอืสามมติิโดยใชค้วามเขม้สทีี่ต่างกันแสดงความสงูตำ่าของผิววสัด ุและสามารถแสดงภาพที่ละเอียดระดับอะตอมได้ในผิววสัดบุางชนิด
เทคนิคน้ีสามารถใชว้ดัสมบติัอ่ืน ๆ ที่ผิววสัด ุเชน่ ศักยไ์ฟฟา้ แรงเสยีดทาน [ด ูscanning-probe microscopy (SPM) ประกอบ]
ภาพเอเอฟเอ็มของเสน้ใยพอลิไวนิลแอลกอฮอล์แบบสองมติิและสามมติิ
atomizationก�รทำ�ละอองฝอย : เทคนิคสำาหรบัผลิตอนุภาคของแขง็ขนาดเล็กมากจากวสัดหุลอมเหลว สารละลาย หรอืสารแขวนลอย โดยการฉีดพน่ด้วยความดันในสภาวะท่ีทำาใหส้ารแตกตัวและแหง้แขง็เป็นผงหรอืละอองลอย
attrition ก�รแตกเหตกุ�รณ์ชน : การแตกของอนุภาคหรอืการลดขนาดอนุภาค เกิดจากการท่ีอนุภาคชนกันเอง หรอืชนกับอนุภาคอ่ืน หรอืชนกับผิวผนัง
Auger electron spectroscopy (AES) โอเจอิเล็กตรอนสเปกโทรสโกปี (เออีเอส) : เทคนิคการตรวจวเิคราะหธ์าตโุดยการวดัค่าพลังงานของโอเจอิเล็กตรอน (Auger electron) ซึ่งเป็นอิเล็กตรอนท่ีหลดุออกมาจากอะตอมหลังจากปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ตามลำาดับกระบวนการต่อไปน้ี
๑. อิเล็กตรอนในระดับพลังงานชัน้ในของอะตอมดดูกลืนพลังงานการแผ่รงัสี เชน่ รงัสเีอกซ ์ทำาใหห้ลดุออกจากอะตอมเป็นโฟโตอิเล็กตรอน (photoelectron) ซึ่งกระบวนการแรกนี้เรยีกวา่ กระบวนการโฟโตอิเล็กทรกิ (photoelectric) และทำาใหอ้ะตอมอยูใ่นสถานถกูกระตุ้นท่ีมพีลังงานสงู
๒. อิเล็กตรอนในอะตอมนัน้จากชัน้พลังงานท่ีสงูกวา่ลงมาแทนที่ในท่ีวา่งของระดับพลังงานชัน้ใน
๓. อิเล็กตรอนท่ีอยูเ่ป็นคู่กันในระดับพลังงานเดียวกับอิเล็กตรอนในขอ้ ๒ รบัพลังงานที่เหลือของอะตอมในสถานะกระตุ้น แล้วหลดุออกจากอะตอม ซึ่งจะเรยีกอิเล็กตรอนน้ีวา่ โอเจอิเล็กตรอน (Auger electron)
พลังงานของโอเจอิเล็กตรอนจะมคี่าเฉพาะขึ้นอยูก่ับชนิดของอะตอม และไม่ขึ้นกับพนัธะเคมท่ีีอะตอมนัน้รวมอยู่
โอเจอิเล็กตรอนสเปกโตรสโกปีมกัใชใ้นการตรวจองค์ประกอบของธาตทุี่ระดับความลึกต่าง ๆ ในชัน้ผิววสัดรุะดับนาโนเมตร โดยใชค้วบคู่กับการเจาะผิวด้วยลำาไอออนโฟกัส [ด ูfocused ion beam (FIB) ประกอบ]
average agglomeration number (AAN) จำ�นวนเฉลี่ยก�รรวมตัวเป็นก้อน (เอเอเอ็น) : ค่าเฉล่ียของจำานวนอนุภาคปฐมภมูทิี่เกาะเป็นกลุ่มอยา่งหลวม ๆ [ด ูprimary particle ประกอบ]
BET method วธิบีอีีที : วธิวีดัพื้นที่ผิวจำาเพาะทัง้หมดของอนุภาคในหน่วยพื้นท่ีต่อนำ้าหนัก (ตารางเมตรต่อกรมั) ซึ่งสตีเฟน เบรานอยเออร ์(Stephen Brunauer), พอล ฮิวจ ์เอ็มเมต็ต์ (Paul Hugh Emmett) และ เอ็ดเวริด์ เทลเลอร ์(Edward Teller) ได้พฒันาขึ้น โดยใชเ้ทคนิคการวดัค่าการดดูซบัแก๊สไนโตรเจนของตัวอยา่งที่ความดันต่าง ๆ กัน แล้วนำาค่าการดดูซบันัน้มาคำานวณหาพื้นท่ีผิวจำาเพาะทัง้หมดของตัวอยา่งโดยใชส้มการบอีีที (BET equation)
1s1s
2p L12p L22p L3
2p L12p L22p L3
โฟโต
โฟตอน โอเจ
คำานวณพื้นท่ีผิวได้จากสมการ1
v [ (P0P
)−1 ]= c−1vm c
PP0
+ 1vmc
เมื่อ P0 คือ ความดัน ณ จุดอ่ิมตัวของตัวถกูดดูซบั (saturation pressure of adsorbate) P คือ ความดัน ณ จุดสมดลุของตัวถกูดดูซบั (equilibrium pressure of adsorbate) v คือ ปรมิาณแก๊สที่ถกูดดูซบั (adsorption gas quantity) vm คือ ปรมิาณแก๊สที่ถกูดดูซบัชัน้แรก (monolayer adsorption gas quantity) c คือ ค่าคงตัวบอีีที (BET constant)โดยคำานวณ vm และ c จากสมการความชนัและจุดตัด พื้นท่ีผิวคำานวณได้จากสมการ
S=N A vmσ
เมื่อ S คือ พื้นท่ีผิวจำาเพาะ N A คือ เลขอาโวกาโดร (Avogadro’s number) σ คือ พื้นท่ีผิวของแก๊สที่ถกูดดูซบั ๑ โมเลกลุ(σ = ๑๖.๒ Å2 สำาหรบัไนโตรเจน) [มคีวามหมายเหมอืนกับ Brunauer, Emmett and Teller method] [ด ูadsorption surface area และ specific surface are ประกอบ]
BET surface area พื้นท่ีผิวบอีีที : พื้นท่ีผิวท่ีใชด้ดูซบัซึ่งคำานวณได้ด้วยวธิบีอีีที [ด ูBET method ประกอบ]
bilayer ชัน้คู่ : ชัน้อะตอมหรอืชัน้โมเลกลุ ๒ ชัน้ที่จดัเรยีงตัวอยา่งอัดแน่น เชน่ ลิพดิ
bioactive -วอ่งไวท�งชวีภ�พ : ทำาใหร้ะบบชวีภาพหรอืสิง่มชีวีติตอบสนองต่อสิง่เรา้ในรา่งกายในทางบวก เชน่ หวัใจเทียม ไตเทียม
biocompatibility สภ�พเข�้กันได้ท�งชวีภ�พ : ความสามารถของวสัดุหรอือุปกรณ์ในการทำาหน้าท่ีหรอือยูร่ว่มกับระบบชวีภาพได้โดยไมเ่กิดผลขา้งเคียง
biofilm ฟลิ์มชวีภ�พ, ไบโอฟลิ์ม : วสัดชุวีภาพผสมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน่ ฟล์ิมของแบคทีเรยีท่ีเกิดขึ้นจากการท่ีแบคทีเรยีปลดปล่อยสารที่ทำาหน้าท่ียดึเกาะแบคทีเรยีไวด้้วยกัน
biofunctionalization ก�รเพิม่สมบติัท�งชวีภ�พ : ๑. การดัดแปรวสัด ุอุปกรณ์ หรอืระบบ ท่ีไมใ่ชว่สัด ุอุปกรณ์ หรอืระบบชวีภาพ ใหม้คีวามเขา้กันได้ทางชวีภาพ๒. การดัดแปรด้วยวสัดชุวีภาพ
bioinert-เฉื่อยท�งชวีภ�พ : ไมท่ำาใหร้ะบบชวีภาพหรอืสิง่มชีวีติตอบสนองต่อสิง่เรา้ เชน่ ขอ้ต่อเทียม ฟนัเทียม
bio-inspired nanotechnology น�โนเทคโนโลยชีวีดล : การศึกษาหลักการต่าง ๆ ที่พบในธรรมชาติและชวีวทิยา เพื่อนำามาออกแบบ หรอืสรา้งวสัดุนาโน อุปกรณ์ระดับนาโนเมตร หรอืระบบระดับนาโนเมตร เชน่ การศึกษาปรากฏการณ์ใบบวัเพื่อสรา้งผิวสงัเคราะหท่ี์มสีมบติัไมช่อบนำ้ายวดยิง่
biointeractive -โต้ตอบท�งชวีภ�พ : ๑. ทำาใหเ้กิดการแลกเปล่ียนขอ้มูลระหวา่งระบบทางชวีภาพกับระบบท่ีไมใ่ชร่ะบบทางชวีภาพ๒. สามารถรบัและ/หรอืสง่ขอ้มูลกับสิง่มชีวีติ
biomaterial วสัดชุวีภ�พ : ๑. วสัดท่ีุผลิตขึ้นมาโดยระบบทางชวีภาพหรอืวสัดุท่ีผลิตขึ้นมาเลียนแบบ เชน่ เปลือกหอย เปลือกกุ้ง๒. สารธรรมชาติหรอืสารสงัเคราะหใ์ด ๆ ท่ีมคีวามเขา้กันได้ทางชวีภาพ เชน่ ยางซลิิโคนในอวยัวะเทียม
อ้�งอิง : http://www.uweb.engr.washington.edu/images/research/introbiomattutorial.jpgBioMEMS (biomicroelcetro-mechanical system) ไบโอเมมส ์(ระบบไฟฟ�้เชงิกลแมโครชวีภ�พ) : ด ูbiomicroelectro-mechanical system (BioMEMS)
biomicroelectro-mechanical system (BioMEMS) ระบบไฟฟ�้เชงิกลแมโครชวีภ�พ (ไบโอเมมส์) : ระบบไฟฟา้เชงิกลศาสตรแ์มโครที่ทำางานรว่มกับระบบชวีภาพ ซึ่งมคีวามซบัซอ้นกวา่ระบบไฟฟา้เชงิกลศาสตรท์ี่ใชทั้ว่ไป รวมทัง้เครื่องมอืและตัวรบัรูท้ี่ใชใ้นไบโอเมมส ์ งานประยุกต์ท่ีพบ เชน่ การตรวจพสิจูน์ดีเอ็นเอทางนิติวทิยาศาสตร ์การตรวจวดัระดับกลโูคสในเลือด
biomimetics ก�รเลียนแบบธรรมช�ติ : การศึกษาวสัดหุรอืระบบในธรรมชาติเพื่อนำามาออกแบบวสัดหุรอืระบบ ใหม้สีมบติัคล้ายวสัดหุรอืระบบในธรรมชาติ ตัวอยา่งการเลียนแบบธรรมชาติ เชน่ วสัดสุงัเคราะหท่ี์มโีครงสรา้งเป็นชัน้ ๆ ซึ่งมคีวามแขง็แรงเหมอืนเปลือกหอย
biomimicry ก�รเลียนแบบชวีภ�พ : การประดิษฐห์รอืการออกแบบวสัดโุดยการเลียนแบบธรรมชาติ เชน่ ผิวหนังเทียม ลิ้นหวัใจเทียม รากฟนัเทียม
biomineralization ๑. ก�รผลิตส�รอนินทรยีท์�งชวีภ�พ : การสงัเคราะหส์ารอนินทรยีโ์ดยสิง่มชีวีติ เชน่ เปลือกหอย เปลือกกุ้ง เปลือกปู ปะการงั ฟนั กระดกู
๒. กระบวนก�รเติมส�รอนินทรยีท์�งชวีภ�พ : กระบวนการเติมสารอนินทรยีเ์ขา้ไปในวสัดชุวีภาพ เพื่อสรา้งโครงสรา้งเชงิประกอบชวีภาพ เชน่ การใสก่้อนกรวดขนาดเล็กเขา้ไปในตัวหอยมุกเพื่อใหเ้กิดเมด็ไขมุ่ก
bionanoelectro-mechanical system (BioNEMS) ระบบไฟฟ�้เชงิกลน�โนชวีภ�พ (ไบโอเนมส์) : ระบบไฟฟา้เชงิกลศาสตรน์าโนท่ีทำางานรว่มกับระบบชวีภาพ
bionanotechnology น�โนเทคโนโลยชีวีภ�พ : การนำาความรูท้างชวีวทิยาไปใชร้ว่มกับนาโนเทคโนโลย ีโดยเน้นการเลียนแบบธรรมชาติ เชน่ การนำาโมเลกลุชวีภาพมาใชเ้ป็นสว่นผสมหรอืเป็นองค์ประกอบในวสัดนุาโน อุปกรณ์ระดับนาโนเมตร หรอืระบบระดับนาโนเมตร เซลล์สรุยิะแบบสยีอ้มไวแสงท่ีเลียนแบบการสงัเคราะหแ์สงของพชื [ด ูbiomimetics และ dye-sensitized solar cell (DSSC) ประกอบ]
BioNEMS (bionanoelectro-mechanical system) ไบโอเนมส ์(ระบบไฟฟ�้เชงิกลน�โนชวีภ�พ) : ด ูbionanoelectro-mechanical system (BioNEMS)
biorecognition ก�รรูจ้ำ�ท�งชวีภ�พ : ด ูspecific binding
biotin ไบโอทิน : วติามนิบ ี๗ เป็นวติามนิบชีนิดหน่ึงท่ีละลายนำ้าได้ มีโครงสรา้งดังน้ี
ไบโอทินมคีวามสำาคัญต่อการเจรญิของเซลล์ การผลิตกรดไขมนั และการเผาผลาญไขมนัและกรดแอมโิน ไบโอทินสามารถยดึเหน่ียวกับสเตรปทาวดิิน [ด ูstreptavidin ประกอบ]
biotin-streptavidin binding ก�รยดึเหนี่ยวไบโอทิน-สเตรป็ท�วดิิน : การท่ีไบโอทินเกิดอันตรกิรยิาในตำาแหน่งจำาเพาะของสเตรป็ทาวดิิน เกิดเป็นแรงยดึเหน่ียวท่ีแขง็แรงมาก (เสมอืนแมก่ญุแจกับลกูกญุแจ)
bottom-up processing กระบวนก�รผลิตจ�กเล็กไปใหญ่ : กระบวนการผลิตวสัดนุาโนหรอืโครงสรา้งนาโนจากวสัดรุะดับอะตอมหรอืโมเลกลุให้เป็นวสัดขุนาดใหญ่ขึ้นและมสีมบติัท่ีหลากหลายขึ้น
bridged fullerene ฟูลเลอรนีแบบสะพ�นเชื่อม : ฟูลเลอรนีท่ีมอีะตอมหรอืหมูเ่ชื่อมตัง้แต่ ๒ หมูข่ึ้นไป ซึ่งอาจอยูภ่ายในโมเลกลุเดียวกันหรอืต่างโมเลกลุกันก็ได้ ดังรูป
๑. ภายในโมเลกลุเดียวกัน
๒. ต่างโมเลกลุ
Brunauer, Emmett and Teller method วธิเีบร�นอยเออร ์เอ็มเมต็ต์ และเทลเลอร ์: ด ูBET method
Buckminster fullerene บกัมนิสเตอรฟู์ลเลอรนี : ฟูลเลอรนีท่ีมจีำานวนอะตอมคารบ์อน ๖๐ อะตอมเป็นโครงสรา้งคล้ายลกูฟุตบอล ซึ่งอะตอมคารบ์อนจดัเรยีงเป็นรูปหา้เหล่ียม ๑๒ รูป และรูปหกเหล่ียม ๒๐ รูป โดยมคีวามยาวพนัธะระหวา่งคารบ์อน-คารบ์อนในรูปหา้เหล่ียมและรูปหกเหล่ียมเป็น ๑.๔๕ อังสตรอม และ ๑.๓๘ อังสตรอม ตามลำาดับ
อ้�งอิง : http://www2.chemie.uni-erlangen.de/services/dissonline/data/dissertation/Francesc_Camprubi/html/chapter1.html
bulk nanoparticle อนุภ�คน�โนแบบมวลรวม : อนุภาคนาโนท่ีผลิตโดยกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ตัวอยา่งเชน่ คารบ์อนแบล็ก (carbon black) ไททาเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ผงฝุ่นซลิิกา (fume silica)bulk-heterojunction solar cell เซลล์แสงอ�ทิตยร์อยต่อเน้ือคละ : เซลล์แสงอาทิตยซ์ึ่งมชีัน้รบัแสงเป็นวสัดผุสมท่ีเป็นเน้ือเดียวกันระหวา่งสารกึ่งตัวนำาชนิดเอ็น (n-type) กับสารกึ่งตัวนำาชนิดพ ี(p-type) โครงสรา้งแบบน้ีมกัใชส้ำาหรบัเซลล์แสงอาทิตยแ์บบพอลิเมอรแ์ละแตกต่างจากเซลล์แสงอาทิตยแ์บบซลิิกอนท่ีพบทัว่ไป ซึ่งมกีารเคลือบสารเป็นชัน้ซอ้นทับกัน วสัดผุสมน้ีมกัเป็นการผสมระหวา่งพอลิเมอร ์๒ ชนิด หรอืระหวา่งพอลิเมอรก์ับสารกึ่งตัวนำาออกไซด์ของโลหะ (metal oxide semiconductor) ขอ้ดีของเซลล์แสงอาทิตยร์อยต่อเน้ือคละ คือ ปรมิาณรอยต่อพเีอ็น (p-n junction) มมีาก ซึ่งจะชว่ยเพิม่ประสทิธภิาพการเปล่ียนแสงเป็นไฟฟา้ในสารกึ่งตัวนำาชนิดพอลิเมอร ์(polymer semiconductor)
Burgers vector เบอรเ์กิรส์เวกเตอร์ : เวกเตอรท่ี์ใชเ้ป็นตัวแทนของขนาดและทิศทางของตำาแหน่งบกพรอ่งในผลึก
calcination ก�รเผ�แห้ง : การใหค้วามรอ้นที่อุณหภมูสิงูแก่วสัดใุนสภาวะแหง้ เพื่อใหไ้ด้วสัดท่ีุมโีครงสรา้งเล็กลง เชน่ การเผาแคลเซยีมคารบ์อเนตใหเ้ป็นแคลเซยีมออกไซด์ การเผาแมกนีเซยีมคารบ์อเนตใหเ้ป็นแมกนีเซยีมออกไซด์
capture layer ชัน้จบั : ชัน้ฟล์ิมบางที่มหีน้าท่ีในการจบัและเพิม่ความเขม้ขน้ของสารที่ต้องการทำาการตรวจวดั เชน่ ชัน้จบับนผิวตัวรบัรูช้วีภาพ (biosensor)
carbon black ค�รบ์อนแบล็ก : ผงคารบ์อนที่ผลิตได้จากการนำาแก๊สหรอืสารไฮโดรคารบ์อนเหลวไปแยกสลายด้วยความรอ้นโดยควบคมุการเผาไหมใ้นปรมิาณอากาศท่ีจำากัด ผงคารบ์อนมสีดีำา ประโยชน์ใชผ้สมในยางรถยนต์ ทำาเครื่องสำาอาง ใชใ้นอุตสาหกรรมการพมิพ ์เป็นต้น
carbon nanofoam น�โนโฟมค�รบ์อน : อัญรูปของคารบ์อนซึ่งมีโครงสรา้งเป็นรูพรุนระดับนาโนเมตรจำานวนมาก จดัเรยีงตัวกันอยา่งหลวม ๆ แบบโยงใยในลักษณะสามมติิ มคีวามหนาแน่นตำ่ามาก ประมาณ ๒-๑๐ กรมัต่อลกูบาศก์
เครื่องวดัไพอีโซอิเล็กทรกิ
มวลเปลี่ยน
เครื่องนับโฟตอน
แสง
เทอมสิเตอร์คว�มรอ้น
หัววดั pHpH เปลี่ยน
ขัว้ไฟฟ�้สว่นไฟฟ�้ท่ีวอ่งไว
หลักก�รของตัวรบัรู้ชวีภ�พ
สญัญ�ณไฟฟ�้
เครื่องแปลงสญัญ�ณ
ชัน้วสัดท่ีุมคีว�มจำ�เพ�ะต่อส�รท่ี
เอ็นไซม์แอนติบอ
ด้ีจุลชพีเซลล์
เมตร นาโนโฟมคารบ์อนมสีมบติัพเิศษกวา่คารบ์อนอัญรูปอ่ืน ๆ คือ มสีมบติัแม่เหล็ก [ด ูnanofoam ประกอบ]
ภาพนาโนโฟมคารบ์อนอ้�งอิง : http://www.aerogel.org/?p=932
ภาพนาโนโฟมคารบ์อนอ้�งอิง : https://graphene-supermarket.com/3D-Graphene-Foamscarbon nanotube ท่อน�โนค�รบ์อน : ท่อนาโนที่ประกอบด้วยอะตอมคารบ์อนท่ีเรยีงตัวเป็นแผ่น แล้วมว้นเป็นท่อชัน้เดียวหรอืหลายชัน้
Casimir effect ปร�กฏก�รณ์ค�ซเิมยีร ์: ปรากฏการณ์ทางควอมตัมซึ่งทำาใหเ้กิดแรงระหวา่งวตัถตัุวนำา ๒ ชิน้ท่ีไมม่ปีระจุและอยูใ่นระยะใกล้กันมาก โดยแรง
ท่ีเกิดอาจเป็นแรงผลักหรอืแรงดดูขึ้นอยูก่ับระยะหา่งและรูปรา่งของวตัถตัุวนำา วตัถตัุวนำาซึ่งไมม่ปีระจุและอยูใ่นสญุญากาศจะไมม่แีรงกระทำาระหวา่งกันตามหลักฟสิกิสแ์บบฉบบั (classical physics) แต่การจำากัดระยะหา่งระหวา่งวตัถใุหน้้อยมาก จะทำาใหเ้กิดการแยกระดับพลังงงานเป็นชัน้ ๆ และมรีะดับพลังงานตำ่าสดุซึ่งมีค่าไมเ่ป็นศูนย ์โดยระดับพลังงานตำ่าสดุน้ีจะยิง่มค่ีามากขึ้นเมื่อระยะหา่งระหวา่งวตัถุตัวนำาน้อยลงตามหลักควอนตัม การอธบิายอีกแนวทางหน่ึงตามทฤษฎีควอนตัม คือ วตัถตัุวนำาจะสง่สนามพลังงานถึงกันในสญุญากาศได้โดยผ่านโฟตอนเสมอืน (virtual photon) ซึ่งเกิดในชว่งเวลาสัน้มากเกินกวา่จะตรวจวดัได้ ผลที่ได้ คือ แรงภายในระหวา่งวตัถตัุวนำากับแรงภายนอกไมส่มดลุกัน จงึทำาใหเ้กิดแรงผลักหรอืแรงดดู แรงท่ีเกิดจากปรากฏการณ์คาสมิรีแ์ปรผกผันกับของระยะหา่งระหวา่งวตัถุตัวนำายกกำาลังสี่โดยประมาณ
ปรากฏการณ์คาซเิมยีรม์คีวามสำาคัญต่อวตัถตัุวนำาขนาดนาโนเมตรซึ่งเป็นกลางและอยูใ่กล้กัน แรงระหวา่งวตัถท่ีุระยะ ๑๐ นาโนเมตรมขีนาดเทียบเท่ากับแรงที่เกิดจากความดัน ๑ บรรยากาศ
แนวคิดสนามโฟตอนเสมอืนตามทฤษฎีควอนตัมเพื่ออธบิายปรากฏการณ์คาซเิมยีร์
cell spreading ก�รแผ่กระจ�ยของเซลล์ : กระบวนการเปล่ียนรูปรา่งของเซลล์ เกิดขึ้นจากการท่ีเซลล์แขวนลอย และมาเกาะอยูบ่นผิวของแขง็ เซลล์นัน้ก็จะแผ่ขยายขนาด
chemical etching ก�รกัดลึกท�งเคม ี: การกัดลึกโดยใชก้รด เบส สารเคมอ่ืีน ๆ หรอืไอออน เพื่อทำาปฏิกิรยิาสลายสว่นท่ีไมต้่องการออกจากวสัด ุสามารถทำาได้ทัง้การกัดลึกแบบเปียก และการกัดลึกแบบแหง้ [ด ูdry etching และ wet etching ประกอบ]
chemical vapour deposition (CVD) ก�รปลกูส�รจ�กไอเคม ี(ซวีีดี) : วธิกีารปลกูสารโดยทำาใหส้ารนัน้กลายเป็นไอในเตาปฏิกิรยิา แล้วระเหยไปควบแน่นเป็นอนุภาคบนวสัดรุองรบั ตัวอยา่งการใชง้าน เชน่ การสงัเคราะหท่์อคารบ์อนนาโน
cofactor ตัวประกอบรว่ม : โมเลกลุที่รว่มกับเอนไซมเ์พื่อใหเ้อนไซมท์ำาหน้าท่ีได้ตามปรกติ
colloid คอลลอยด์ : สารแขวนลอยซึ่งประกอบด้วยอนุภาคที่มขีนาดเล็กกวา่ ๑ ไมโครเมตรกระจายตัวอยูใ่นของเหลวหรอืในแก๊ส
colloidal production method วธิผีลิตอนุภ�คขน�ดคอลลอยด์ : กระบวนการผลิตอนุภาคขนาดคอลลอยด์จากสารละลายของไอออนหลายชนิดผสมรวมกันในสภาวะที่ควบคมุอุณหภมูแิละความดัน อนุภาคหรอืตะกอนท่ีเกิดขึ้นสามารถแขวนลอยอยูใ่นสารละลายหรอืในแก๊ส [ด ูcolloid ประกอบ]
composition องค์ประกอบ : สมบติัของวสัดท่ีุได้จากเอกลักษณ์และปรมิาณขององค์ประกอบที่ระบุได้แต่ละชนิด
conductive polymer; electrically conducting polymerพอลิเมอรน์ำ�ไฟฟ�้ : พอลิเมอรท์ี่ไมม่กีารเจอืสารตัวนำาอ่ืน เมื่อผ่านการโดป
แล้วจะมสีมบติันำาไฟฟา้ จำาแนกได้ ๓ ประเภท ได้แก่๑. พอลิเมอรโ์ซต่รงที่มพีนัธะเด่ียวสลับคู่ (-conjugated linear
polymer) เชน่ พอลิอะเซทิลีน (polyacetylene)
๒. พอลิเมอรท์ี่มชีอ่งวา่งแถบพลังงานแคบ (narrow band-gap polymer) เชน่ พอลิไอโซแนปทาลีน (polyisothianaphthalene)
๓. พอลิเมอรท์ี่ไมม่พีนัธะคู่สลับเดี่ยว แต่มกีลุ่มเชื่อมต่อซึ่งมรีะบบไพอิเล็กตรอน (nonoconjugated polymer containing pendant -electron system) เชน่ พอลิ(เอ็น-ไวนิลคารบ์าโซล) [poly(N-vinylcarbazole)]
[มคีวามหมายเหมอืนกับ semiconducting polymer]
confocal microscopy จุลทรรศน์แบบโฟกัสรว่ม : เทคนิคจุลทรรศน์ที่ใชช้อ่งรูเขม็เพื่อกำาจดัแสงท่ีไมไ่ด้โฟกัสหรอืแสงฟุง้ท่ีหนากวา่ระนาบโฟกัสในชิน้ตัวอยา่ง ทำาใหจุ้ดโฟกัสแคบและบางลง เทคนิคน้ีใชส้รา้งภาพสามมติิและ/หรอืเพื่อเพิม่ความเปรยีบต่างของภาพ
contact angle มุมสมัผัส : ค่ามุมท่ีวดัระหวา่งเสน้สมัผัสของของเหลวกับไอ กับเสน้สมัผัสของของเหลวกับของแขง็ ในภาวะสมดลุ ค่ามุมสมัผัสน้ีจะแสดงถึงความสามารถในการเปียกของพื้นผิวท่ีเป็นของแขง็โดยของเหลวตามความสมัพนัธข์องสมการของยงั
โดยค่ามุมสมัผัสน้ีจะขึ้นกับชนิดของของแขง็ ของเหลวและไอ ที่อุณหภมูแิละความดันใด ๆ ค่ามุมสมัผัสท่ีสมดลุสมัพนัธก์ับแรงกระทำาระหวา่งของแขง็ ของเหลวและไอ ค่าของมุมสมัผัสสามารถแบง่ออกได้เป็นแบบต่าง ๆ ดังรูป คือ แผ่กระจาย เปียกสมบูรณ์ เปียกบางสว่น เปียกครึง่หน่ึง เปียกเล็กน้อย ไมเ่ปียก
รูปแสดงมุมสมัผัสโดยท่ี คือ ค่าพลังงานพื้นผิวสำาหรบัของแขง็และแก๊ส, คือ ค่าพลังงานพื้นผิวสำาหรบัของแขง็และของเหลว, ค่าพลังงานพื้นผิวสำาหรบั
ของเหลวและแก๊ส, คือ ค่ามุมสมัผัสที่สมดลุอ้�งอิง : http://en.wikipedia.org/wiki/Contact_angle
รูปแสดงค่ามุมสมัผัสแบบต่าง ๆ
SVSL
cos
0 90
edcba
พื้นผิวของแขง็ ไมเ่ปียก
เลยเปียกครึง่หนึ่ง
เปียกบ�งสว่น
เปียกสมบูรณ์
แผ่กระจ�ย
มุมสมัผัส
01
core-shell nanoparticle อนุภ�คน�โนแบบแกนเปลือก : อนุภาคนาโนซึ่งมแีกนทำาด้วยวสัดชุนิดหน่ึงและเปลือกเป็นวสัดอีุกชนิดหน่ึง ทำาใหส้ามารถใช้ประโยชน์จากสมบติัของวสัดทุัง้ ๒ ชนิดได้ [ด ูmicroencapsulation และ nanocore ประกอบ]
อนุภาคทองนาโนหุม้ด้วยซลิิกาเพื่อใหอ้นุภาคทองมเีสถียรภาพ
crystallinityสภ�พเป็นผลึก : ภาวะที่มกีารจดัเรยีงตัวในระดับโมเลกลุอยา่งเป็นระเบยีบแบบสามมติิ
CVD (chemical vapour deposition) ซวีดีี (ก�รปลกูส�รจ�กไอเคม)ี : ด ูchemical vapour deposition (CVD)