** dpulibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2....

12
583 การวิเคราะห์ ความเชื่อเชิงมายาคติเกี่ยวกับช้าง ที่ปรากฎในนิทานพื้นบ้านไทยกูย จังหวัดสุรินทร์ ปโทมาวดี วงษแเกิด * ผูชวยศาสตราจารยแ ดร.ฑิตินัน บุญภาพ คอมมอน ** บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคแเพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่สื่อสาร ผานนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ โดยศึกษาสัญญะและมายาคติที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ และเพื่อวิเคราะหแความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ เกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ วิธีการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใชวิธีการเก็บขอมูลโดยวิเคราะหแเนื้อหานิทานพื้นบาน ไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ ทั้ง 11 เรื่อง และรวบรวมจากเอกสารที่เกี่ยวของ การสัมภาษณแเชิงลึกสองกลุม คือ กลุมหมอชาง กลุมนักวิชาการ รวมไปถึงศึกษาการตีความของเยาวชนโดยวิธีการสัมภาษณแกลุผลการวิจัยพบวา คานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่สื่อสารผานนิทานพื้นบาน ไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ คือ การหามตัดผมเมื่อมีคนในครอบครัวออกไปคลองชาง การเซนไหวศาลปะกํา การเคารพนับถือหมอชาง ความรักความผูกพันระหวางคนกับชาง ความกตัญฎู ความสามัคคี การกําเนิด ชางที่เป็นแนวความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เทวดาที่คอยปกปโกรักษาชาง รวมไปถึงการใชคาถาอาคม โดย ความเชื่อเหลานี้ถูกถายทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งมีวิธีการสื่อสารสามรูปแบบ คือ 1.) การสื่อสารระหวาง บุคคลโดยใชวิธีเลาปากตอปาก 2.) การสื่อสารผานภาพ 3.) สื่อสารผานศิลปะการแสดง และการสื่อสาร ความเชื่อที่เกิดขึ้นสวนหนึ่งมาจากสภาพแวดลอมในชุมชน ซึ่งมีความสัมพันธแกับพฤติกรรมของคนใน ชุมชนอยางใกลชิด ปรากฐออกมาในรูปของพฤติกรรมในชีวิตประจําวัน มีกฏระเบียบ ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม เป็นตน ความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ เกี่ยวกับ ชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแพบวา เยาวชนใหการยอมรับนับถือ หรือยึดมั่นในสิ่งทีมองเห็นและไมเห็น เชนการนับถือศาลปะกํา นับถือผีบรรพบุรุษ เคารพนับถือหมอชาง เป็นตน ซึ่งการ ยอมรับนับถือนี้อาจมีหลักฑานอยางเพียงพอที่จะพิสูจนแได หรืออาจจะไมมีหลักฑานที่จะนํามาใชพิสูจนแให เห็นจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ได เพราะความเชื่อเกิดจากความกลัวและความไมรู ซึ่งการตัดสินใจในความเชื่อนั้น * นักศึกษาหลักสูตร นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสื ่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ** อาจารย์ที ่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ DPU

Upload: others

Post on 02-Mar-2020

5 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

583

การวิเคราะห์ ความเชื่อเชิงมายาคติเกี่ยวกับช้าง ที่ปรากฎในนิทานพื้นบ้านไทยกูย จังหวัดสุรินทร ์

ปโทมาวดี วงษแเกิด*

ผูชวยศาสตราจารยแ ดร.ฑิตินัน บุญภาพ คอมมอน**

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคแเพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่ส่ือสาร

ผานนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ โดยศึกษาสัญญะและมายาคติที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ และเพื่อวิเคราะหแความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ เกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ

วิธีการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใชวิธีการเก็บขอมูลโดยวิเคราะหแเนื้อหานิทานพื้นบาน ไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ ทั้ง 11 เรื่อง และรวบรวมจากเอกสารที่เกี่ยวของ การสัมภาษณแเชิงลึกสองกลุม คือ กลุมหมอชาง กลุมนักวิชาการ รวมไปถึงศึกษาการตีความของเยาวชนโดยวิธีการสัมภาษณแกลุม

ผลการวิจัยพบวา คานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่ส่ือสารผานนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ คือ การหามตัดผมเมื่อมีคนในครอบครัวออกไปคลองชาง การเซนไหวศาลปะกํา การเคารพนับถือหมอชาง ความรักความผูกพันระหวางคนกับชาง ความกตัญฎู ความสามัคคี การกําเนิดชางท่ีเป็นแนวความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เทวดาท่ีคอยปกปโกรักษาชาง รวมไปถึงการใชคาถาอาคม โดยความเชื่อเหลานี้ถูกถายทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งมีวิธีการส่ือสารสามรูปแบบ คือ 1.) การส่ือสารระหวางบุคคลโดยใชวิธีเลาปากตอปาก 2.) การส่ือสารผานภาพ 3.) ส่ือสารผานศิลปะการแสดง และการส่ือสารความเชื่อที่เกิดขึ้นสวนหนึ่งมาจากสภาพแวดลอมในชุมชน ซึ่งมีความสัมพันธแกับพฤติกรรมของคนในชุมชนอยางใกลชิด ปรากฐออกมาในรูปของพฤติกรรมในชีวิตประจําวัน มีกฏระเบียบ ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม เป็นตน

ความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ เกี่ยวกับชางท่ีปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแพบวา เยาวชนใหการยอมรับนับถือ หรือยึดมั่นในส่ิงที่มองเห็นและไมเห็น เชนการนับถือศาลปะกํา นับถือผีบรรพบุรุษ เคารพนับถือหมอชาง เป็นตน ซึ่งก ารยอมรับนับถือนี้อาจมีหลักฑานอยางเพียงพอที่จะพิสูจนแได หรืออาจจะไมมีหลักฑานที่จะนํามาใชพิสูจนแใหเห็นจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ได เพราะความเชื่อเกิดจากความกลัวและความไมรู ซึ่งการตัดสินใจในความเชื่อนั้น

* นักศึกษาหลักสตูร นิเทศศาสตรมหาบณัฑติ สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรุกจิบณัฑติย์

** อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานพินธ ์

DPU

Page 2: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

584

อาจไมมีเหตุผลเลย และความเชื่อของเยาวชนสวนหนึ่งเกิดจากความเชื่อเชิงประจักษแ คือเห็นบรรพบุรุษยังปฐิบัติในพิธีกรรมนั้น ๆ อยู

อยางไรก็ตามหนาที่สําคัญของนิทานพื้นบาน สามารถเชื่อมโยงเนื้อเรื่องระหวางคนกับชาง ธรรมชาติ หรือความสัมพันธแของคนในชุมชนกันเอง และระหวางคนกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติได โดยมีบทบาทในการสืบทอดวัฒนธรรม บทบาทในการสรางความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของชุมชน บทบาทดานการเป็นส่ือกลางของครอบครัว บทบาทของ “อํานาจเหนือธรรมชาติ” ที่เกี่ยวกับชาง บทบาทในการสรางใหเห็นถึงความผูกพันระหวางคนกับชางที่มีมาแตอดีต บทบาทที่สามารถเชื่อมโยงพระพุทธศาส นา บทบาทดานการใหความบันเทิง ทุกบทบาทลวนเป็นหนาที่สําคัญของนิทานพื้นบานที่สรางพื้นฑานของความเชื่อ ทําใหคนในชุมชนอยูดวยกันอยางปกติสุข และนิทานทําใหทราบวาในอดีตคนในชุมชนไมมีกฏหมายเหมือนปโจจุบัน จึงไดใชความเชื่อและคานิยมเป็นตัวควบคุมความประพฤติของคนในชุมชน และก็ใชมาจนตราบทุกวันนี้

จึงสรุปไดวา ความเชื่อเชิงมายาคติเกี่ยวกับชาง ที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ มีการถายทอดความเชื่อสูเยาวชนโดยส่ือสารผานวิธีการเลา และความเชื่อที่เกิดขึ้นมีการปรับเปล่ียนความเชื่อที่มีอยูเดิมใหเขากับยุคสมัยปโจจุบันโดยยังมีพื้นฑานความเชื่อเชนเดิมอยู เป็นบทพิสูจนแไดวาความเชื่อท่ีปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ ยังไมไดเลือนหายไปไหนแตยังคงอยูกับทุกคนในชุมชนหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ

1. ที่มาและความสําคัญของปํญหา

นิทานพื้นบานเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ใชวาจาเป็นส่ือในการถายทอด หรือถายทอด ดวยวิธีมุขปาฑะที่ถือเป็นการส่ือสารที่มีติดตัวมนุษยแมาชานาน ชางถือวาเป็นตัวสะทอนใหเห็นประวัติศาสตรแความเป็นมาที่ยาวนานของจังหวัดสุรินทรแ นิทานพื้นบานเกี่ยวกับชางจึงมีความสําคัญที่จะบงบอกตัวตนของชาวไทยกูย บานตากลาง ต.กระโพ อ.ทาตูม จ.สุรินทรแ บนพื้นฑานของความเชื่อที่ถายทอดผานนิทาน

ผูวิจัยสนใจที่จะศึกษาวา หากวิเคราะหแความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ วาความเชื่อคานิยมท่ีปรากฐอยูในนิทานพื้นบานไทยกูย ท้ังความเชื่อในดานเนื้อหา ภาษา ภาพสะทอนทางสังคมและวัฒนธรรมในนิทานพื้นบานจังหวัดสุรินทรแ สรางความสัมพันธแระหวางคติความเชื่อและวิถีชีวิตของคนชนบทในนิทานไดอยางไร รูถึงความหมายแฝงที่ปรากฐอยูในนิทานพื้นบาน จังหวัดสุรินทรแ รวมไปถึงความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ มีความเชื่ออยางไรเกี่ยวกับชางในนิทานพื้นบานไทยกูย

DPU

Page 3: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

585

2. วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่ส่ือสารผานนิทานพื้นบานไทยกูย

จังหวัดสุรินทรแ 2. วิเคราะหแความเชื่อของเยาวชนในหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ

เกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ

3. ขอบเขตการวิจัย ศึกษาเรื่อง การวิเคราะหแ ความเชื่อเชิงมายาคติเกี่ยวกับชาง ที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย

จังหวัดสุรินทรแ เป็นการศึกษาจากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวของ โดยอาศัย แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม ทฤษฏีมายาคติ แนวคิดสัญวิทยา แนวคิดการเลาเรื่อง เอกสารที่เกี่ยวกับนิทาน มาเป็นกรอบในการศึกษา ซึ่งนิทานพื้นบานไทยกูย ของจังหวัดสุรินทรแ ไดรับการรวบรวมโดย ผศ.อารียแ ทองแกว ซึ่งทํางานรวมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทรแ นิทานพื้นบานไทยกูยไดมีการรวบรวมไวทั้งหมด 54 เรื่อง โดยในจํานวน 54 เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชางท้ังหมด 11 เรื่อง ซ่ึงผูวิจัยจะใชในการศึกษาวิจัยครั้งนี้

4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1. เขาใจบทบาทของนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ ตออํานาจที่เหนือ ธรรมชาติเกี่ยวกับชาง

2. เขาใจความหมายทางวัฒนธรรม ของชาวกูยท่ีแฝงอยูในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ

3. เพื่อสรางคุณคาของนิทานพื้นบานเกี่ยวกับการส่ือสาร ในการสงเสริมสรางใหเกิดการพัฒนาทางดานจริยธรรมของเยาวชน

4. เขาใจถึงการส่ือสารความเชื่อของนิทานพื้นบานกับเยาวชน หมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ

5. ทําใหทราบถึงระบบสัญลักษณแที่ปรากฐอยูในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัด สุรินทรแ เพื่อความเขาใจถึงความหมายและระบบความคิดของบรรพบุรุษท่ียังยึดมั่นในเรื่องของความเชื่อ 5. กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย

ศึกษาจากประชากร 3 กลุม กลุมที่ 1 หมอชางท่ีมีเชื้อสายกูย ซึ่งอาศัยอยูในพื้นที่หมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม

จังหวัดสุรินทรแ มานานกวา 60 ปีขึ้นไป จํานวน 4 คน

DPU

Page 4: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

586

กลุมที่ 2 นักวิชาการ ที่สอนระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาดานนิทานพื้นบานหรือสังคมศาสตรแ เป็นเวลาอยางนอย 2ปี จํานวน 4 คน และมีผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับนิทานพื้นบาน จังหวัดสุรินทรแ

กลุมที่ 3 คือกลุมเยาวชน ที่อยูในชวงอายุระหวาง 14-18 ปี อาศัยอยูในชุมชนบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ ครอบครัวมีอาชีพเลี้ยงชางและฝึกชางจํานวน 12 คน

6. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล

1. ขอมูลทางดานเอกสาร ประกอบดวย ผูวิจัยไดคนควาขอมูลจากเอกสารตางๆ ทั้งหนังสือ ตํารา แผนพับ เอกสารจากส่ือตางๆ เชนอินเตอรแเนตโดยหาขอมูล อยางเชน คนขอมูลประวัติความเป็นมาของจังหวัดสุรินทรแ และนิทานพื้นบานเกี่ยวกับชางของชาวไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ จํานวน 11 เรื่อง โดยผศ.อารียแ ทองแกว รวมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทรแไดรวบรวมไวที่ศูนยแศิลปวัฒนธรรม ในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทรแ รวมไปถึงงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ นําขอมูลที่ไดมาวิเคราะหแ

2. ขอมูลจากการสัมภาษณแเจาะลึก (Depth Interview) ทั้ง 3 กลุมตัวอยาง เพื่อเก็บรวบรวมขอมูลเชิงพฤติกรรมการสรางปฐิสัมพันธแ การพูดคุย ทําการบันทึกภาคสนามจากนั้นผูวิจัยจะนําขอมูลจากการสัมภาษณแมาตีความ วิเคราะหแ และสรางขอสรุป 7. การนําเสนอข้อมูล

ผลการวิจัยครั้งนี้ไดมีการเรียบเรียงขอมูลทั้งหมด และนําเสนอในลักษณะของการวิเคราะหแเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยศึกษาความเชื่อเชิงมายาคติที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ ซึ่งผลการวิเคราะหแจํานํามาจากการวิเคราะหแเนื้อหาจากนิทานพื้นบานจังหวัดสุรินทรแ และผลจากการสัมภาษณแกลุมตัวอยาง และผูมีสวนเกี่ยวของกับนิทานพื้นบาน เชนผูรวบรวมผูถายทอด เป็นตน 8. สรุปผลการศึกษา

1. การวิเคราะหแคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ เกี่ยวกับชางที่ส่ือสารผานนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ พบวา นิทานเป็นสวนหนึ่งของวัฒนธรรมทองถิ่นบานตากลางหรือหมูบานชาง คนในชุมชนสวนใหญแลวลวนมีวิถีชิวิตที่พูกผันกับชาง และสืบทอดคานิยม ทัศนคติ ความเชื่อดานพิธีกรรมตามแบบชาวกูย ความคิด ความรูเกี่ยวกับการเล้ียงชาง ตลอดจนแบบแผน ระเบียบกฏเกณฑแความหมายและคุณคาที่คนในกลุมหมอชางชาวกูยรวมกันยอมรับ และรักษาเพื่อการอยูรวมกันเป็นกลุมที่มีลักษณะเฉพาะแยกไดจากกลุมอื่น ซึ่งวัฒนธรรมและการดํารงชีวิตของชาวกูยในหมูบานตากลางไดรวมกันสืบทอดมากจากสิ่งที่บรรพบุรุษไดสรางสรรคแ และส่ังสมมาเพื่อใหลูกหลานชาวกูยไดดํารงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีนี้ใหดํารงอยู และชางก็เป็นสัญญะหนึ่งที่มีความสําคัญกับคนในชุมชน ชางสําหรับคนในชุมชนไมใชเป็น

DPU

Page 5: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

587

เพียงสัตวแที่สรางรายไดใหกับครอบครัว แตเปรียบเสมือนพี่นองญาติมิตร ที่ตองดูแลเอาใจใสอยูเสมอ มอบทั้งความรักความหวงใยในการเลี้ยงดู และนิทานก็เป็นสวนหนึ่งในการรักษาวัฒนธรรมตาง ๆ ของชุมชน

2. การวิเคราะหแความเชื่อของเยาวชน เกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ พบวา การที่เยาวชนยอมรับนับถือความเชื่อ ท้ัง ๆ ที่ความเชื่อบางความเชื่อไมสามารถพิสูจนแหรือมีหลักฑาน แตทั้งนี้ก็เกิดจากการวิเคราะหแของเยาวชนเองที่ใชทั้งประสบการณแ ความรู ในการวิเคราะหแ

ประเภทนิทานที่เยาวชนมีความเชื่อมากที่สุด คือนิทานทองถิ่น รองลงมาคือนิทานเทพนิยาย นิทานที่เยาวชนไมเชื่อเลยก็คือ นิทานเรื่องสัตวแ และนิทานตลกขบขัน นิทานพื้นบานไทยกูยที่เยาวชนทั้ง 12 คนเกิดความเชื่อมีทั้งหมด 4 เรื่องไดแก

1.เรื่องคลองชาง (ก฿อบอะจีง) 2.ตํานานพระมอเฒา (กานายหวาวอูเดิ๋มมออาจีง) 3.คลองชางหรือสยบชาง (ก็อบอาจีง) 4.กําเนิดชางในเมืองมนุษยแ (อูมาเลือดอาจีงน฿องกาแต฿ะกูย) ประเด็นที่ทําใหเกิดความเชื่อคือ เชื่อในเชิงประจักษแ โดยเยาวชนทุกคนที่เชื่อลวนแลวแตเห็น

คนในครอบครัวยึดถือปฏิบัติ ไมวาเรื่องนั้นจะพิสูจนแไดหรือไมก็ตาม นิทานพื้นบานไทยกูยท่ีเยาวชนทั้ง 12 คนไมเชื่อมีทั้งหมด 7 เรื่อง ไดแก

1. กําเนิดชางในแดนสวรรคแ(อูมาเลือดอาจีงน็องกาแต฿ะซาหวัน) 2. สงครามยักษแกับเทวดา (สงกรามหยักน็องเทวเดี๋ย) 3. ลูกชางปุา (กอนเจียงโคด) 4. ลูกชาง (กอนอาจีง) 5. ชางบิน (อาจีงปาลร) 6. ลูกพญาชางเผือก 7. คนปากมาก (กูยกาเนาะหวาวปื๋น) ประเด็นที่ไมเชื่อเพราะไมเห็นในเชิงประจักษแ ไมมีตัวอยางจากบรรพบุรุษเป็นเพียง

เนนความสนุกสนาน และเป็นเรื่องท่ีเหลือเชื่อ 9. อภิปรายผลการศึกษา

การเลานิทาน จะเลาเพื่อใชในการส่ือสารทางความคิด ความรูสึก ใหเกิดความเขาใจซึ่ง กันและกัน เพราะนิทานมีการส่ือสารเพื่อสอดแทรกคติ ความเชื่อตาง ๆ เอาไวมากมาย เป็นกุศโลบายของคนเฒาคนแกในการที่จะส่ังสอนลูกหลานใหปฏิบัติถูกตองตามจารีตประเพณี และก็สรางความสนุกสนาน สรางความรักความอบอุนใหเกิดขึ้นกับครอบครัว เชนเดียวกันกับ (อดิสา วงศแลักษณพันธแ, 2542 : 22 อางถึงใน วิริยา วิฑูรยแสฤษฐศิลป,2548, : 15) ที่มองวาการเลาเรื่อง คือการบรรยายเหตุการณแที่เกิดขึ้นจริง

DPU

Page 6: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

588

หรือเหตุการณแที่สรางขึ้นเองซึ่งบุคคลหนึ่งนําไปถายทอดยังอีกบุคคลหนึ่งโดยอาศัยภาษาพูด ภาษาเขียน หรือแมแตภาษาสัญลักษณแในการเลาเหตุการณแเรื่องดังกลาว ดังนั้นเมื่อส่ือใดมีบทบาทในการรายงานเหตุการณแก็สามารถนําเอาวิธีการของการเลาเรื่องมาใชเพื่อถายทอดเหตุการณแไดทั้งส้ิน

ในอดีตหมอชางชาวกูยเป็นผูส่ือสารโดยการเลานิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกมา เลาถึงผูอื่นแตบางครั้งก็สมมุติวานั่นคือตัวเอง ซึ่งผูเลามักจะเขาไปมีสวนเกี่ยวของหรือนําตัวเองเขาไปมีส วนรวมกับเหตุการณแ เชน หมอชางไดเลาเรื่องการออกไปคลองชาง ก็จะมีการเลาที่ประหนึ่งวาตนก็ออกไปคลองชางแบบนี้เชนกัน จึงเลามาดวยความสนุกสนานและนาเชื่อถือ สอดคลองกับแนวคิดของเบอรแเกอรแ กลาววาผูเลาเรื่อง (Narrator) ก็คือใครก็ไดสักคนที่เลาเรื่องตาง ๆ เลาถึงส่ิงตาง ๆ เลาถึงผูอื่นแตบางครั้งก็สมมุติบทบาทตัวละครหรือสิ่งตาง ๆ ที่ถูกเลาถึงนั้นไปดวย เชนเดียวกับลักษณะตัวละครที่บันทึกในหนังสือ ผูเลานั้นมักจะมีสวนเกี่ยวของดวยเสมอ แตก็ไมใชเรื่องเลาทุกเรื่องที่ผูเลาจะเขาไปมีสวนเกี่ยวของหรือนําตัวเองเขาไปมีสวนรวมกับเหตุการณแ ตัวเราเองนับเป็นส่ิงสําคัญที่ทําใหเรื่องเลามีความหมาย กลาวไววาเรื่องเลาก็คือเครื่องมือที่เราใชเรียนรูโลกกวางและเป็นวิธีที่เราจะบอกผูอื่นถึงส่ิงที่เราเรียนรูไดดวยการเลาเรื่องนั่นเอง

จากการศึกษาดวยวิธีการวิเคราะหแตัวบท (Textual Analysis) นิทานสามารถส่ือสารทําใหเกิดความสนุกสนาน ความสามัคคี แสดงอํานาจของผูเลา สุดทายคือการสรางความเชื่อใหเกิดขึ้น เพื่อทุกคนจะไดเกรงกลัวในส่ิงทีเกิดขึ้น ไมกลาทําผิด ทําแตส่ิงดี ๆ ประพฤติตนเป็นคนดี เคารพส่ิงที่มองไมเห็น สอดคลองกับ แนวคิดการเลาเรื่อง ที่วาการวิเคราะหแเรื่องเลาในยุคปโจจุบันจึงมุงศึกษาการประกอบสราง (Construction) ความหมายหรือความเป็นจริงในสังคมเพื่อทําความเขาใจ ( Understanding) ในปรากฐการณแตาง ๆ ที่มิไดจํากัดวงแตเฉพาะการศึกษาการเลาเรื่องแตง (Fiction) เทานั้น หากยังหมายรวมถึงการวิเคราะหแจากสารคดีหรือเรื่องจริง (Non-Fiction)

นิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ จึงถือไดวาเป็นการส่ือสารเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ไมใชวัตถุ (Non Material Culture) หรือนามธรรม ไดแก ความคิด ความเชื่อ ลัทธิประเพณี คานิยม ฯลฯ ที่มีผลตอการดํารงชีวิตของมนุษยแ โดยการส่ือสารผานนิทานทําใหรูถึงความเป็นมาของประเพณี พิธีกรรมตาง ๆ ของชุมชนบานตากลาง ที่มีอาชีพเล้ียงชาง มีความสัมพันธแกับชางที่เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน นิทานสามารถใชส่ือสารเพื่อสรางคานิยมและความเชื่อของชุมชนออกมาได โดยการเลานิทาน

การใชนิทานส่ือสารเรื่องราวตาง ๆ ของชุมชนนั้น เป็นการส่ือความหมายดวยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมซึ่งถูกกลบเกล่ือนใหเป็นที่รับรูเสมือนวาเป็นธรรมชาติ ทุกอยางที่เกิดขึ้น ทุกอยางที่ตองปฏิบัติ ตองเคารพนับถือลวนเกิดมาพรอมกับทุกคนในชุมชนทําใหเรามองวามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ดวยความคุนชินเสียจนไมทันสังเกตวามันเป็นส่ิงประกอบสรางทางวัฒนธรรม เรานั่นเองที่ “หลง” คิดไปวาคานิยมที่เรายึดถืออยูนั้นเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปตามสามัญสํานึก และปโจจุบันดวยการหามไมใหลาชางปุาแลว ทําใหไมมีการออกไปคลองชางปุา ประเพณีและวัฒนธรรมเหลานี้ก็ยังคงอยู โดยเกิด

DPU

Page 7: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

589

จากความเชื่อของทุกคนในชุมชนที่มีความเชื่อตรงกันมีความผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงยังคงรักษาและปฏิบัติตามท่ีบรรพบุรุษไดส่ังสอนเอาไว

ความหมายในระดับมายาคติก็ตองยอมรับวา มายาคติเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลาเพื่อตอบรับความตองการของคนบางกลุมหรือความตองการทางวัฒนธรรม ซึ่งอนาคตอาจมีการเปล่ียนแปลง เพราะความเชื่อสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนใหเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ตองการสรางใหทุกคนในชุมชนรูสึกถึงความปลอดภัย และอุนใจ จึงมีการสรางศาลปะกําเพื่อแสดงความเคารพนับถือ มีพิธีกรรมการเซนไหวเกิดขึ้นเมื่อมีการออกไปคลองชาง ปโจจุบันไมมีการออกไปคลองชางแลวก็ยังมีการปฏิบัติอยูโดยการเซนไหวผีปะกําในทุกวันพระ และทําเมื่อมีลูกหลานเจ็บปุวยหรือลูกหลานออกไปทํางานตางถิ่น สอดคลองกบั Barthes ที่บอกวาใชในการทําความเขาใจความเป็นจริงหรือธรรมชาติในแงมุมตางๆ สุดทายเรื่องนี้ก็นํามาสูความเชื่อท่ีทุกคนจะตองยอมรับและปฏิบัติตาม และมายาคติในเรื่องนี้เป็นส่ิงประกอบสรางทางวัฒนธรรม ทําใหคนในชุมชนหลงคิดไปวาคานิยมที่ยึดถืออยูนั้นเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปตามสามัญสํานึก ซึ่งความหมายในชั้นแรกนั้น อาจเป็นการตีความเนื่องมาจากประสบการณแของแตละบุคคล (Subjective experience) แตสําหรับความหมายแฝงระดับที่สองหรือที่เรียกวา มายาคติ นั้นเป็นการตีความหมายที่ถูกใสความหมายในระดับสังคม คือการใสความหมายของชุมชนชาวกูยนั่นเอง

การศึกษาการส่ือสารมายาคติเกี่ยวกับนิทานพื้นบานในงานวิจัยชิ้นนี้ ทําใหสังคมไดรับรูถึงอํานาจที่แฝงอยูในนิทานพื้นบาน อํานาจจากบรรพบุรุษในชุมชน ที่สามารถเปล่ียนแปลงหรือสรางความเชื่อความศรัทธาใหเกิดขึ้นไดในชุมชน ซึ่งมีความสลับซับซอน ทั้งนี้ อํานาจที่เกิดขึ้นจากกรอบรหัสที่ไปควบคุมความหมายในนิทานพื้นบานนั้นไมใชอํานาจที่ย่ังยืนถาวร หากเป็นเพียงอํานาจที่เล่ือนไหลและพรอมจะเปลี่ยนแปลงไดทุกเมื่อ ปํจจัยที่ส่งผลทางความเชื่อของเยาวชนในเชิงประจักษ์

1. พื้นฑานทางครอบครัว (Family Background) เยาวชนจะเชื่อตามพื้นฑานหลักของ ครอบครัวที่มีการปฐิบัติ ตามความเชื่อนั้นอยู

2. ประสบการณแชีวิต (Experience of Life) บทเรียนตาง ๆ ที่ผานมาในชีวิตตั้งแตเด็ก เชน การคลองชาง การฝึกชาง การอาศัยอยูรวมกันกับชาง การเลี้ยงชางฯลฯ ลวนเป็นขอมูลที่มีผลโดยตรงในการตัดสินใจเชื่อ

3. วัฒนธรรม (Culture) วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตท่ีมีอิทธิพลตอความคิด ความเชื่อ เป็นสิ่งที่เยาวชนใหการยอมรับนับถือและปฐิบัติตาม เชน การคลองชาง การไหวศาลปะกํา นับถือผีบรรพบุรุษ การหามตัดผม เป็นตน สอดคลองกับผลงานวิจัยของพระพิเชษฑแ ธีรปฎฺโญ ชัยมูล (2549) ที่กลาววาเจตคติของผีปูุยายังคงเดิมไมเปล่ียนไปตามกาลเวลามี จริยธรรมทางพระพุทธศาสนาที่แฝงเรนอยูในคติความเชื่อก็ยังรอใหมนุษยแไดพิสูจนแจุดยืนของบรรพบุรุษ

DPU

Page 8: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

590

4. จริยธรรม (Morality) การเขาถึงของกลุมเยาวชนในขอหาม ขอปฐิบัติ ขอสัญญาที่มีในชุมชนซึ่งเป็นกรอบในการคิด การตัดสินใจ รวมกันของคนในชุมชน สอดคลองกับผลงานวิจัยของพระพิเชษฑแ ธีรปฎฺโญ ชัยมูล (2549) ที่กลาววาพฤติกรรมของกลุมมีอิทธิพลตอสํานึกดานจริยธรรมของสมาชิกแตละคน ธรรมเนียมหรือพฤติกรรมดังกลาวชวยหลอหลอมใหสมาชิกโดยไมรูตัว และเพื่อหลีกตอการประณามหรือการถูกลงโทษจากกลุม ประเพณีจึงเป็นแกนกลางของจริยธรรม คนในกลุมยอมรับที่จะปฐิบัติตอประเพณีและวัฒนธรรมเหลานั้น ดังนั้นประเพณีและวัฒนธรรมจึงเป็นมาตรฑานของศีลธรรมหรือจริยธรรมของคนตั้งแตอดีตจนถึงปโจจุบัน

5. สภาพแวดลอม (Environment) เป็นส่ิงที่อยูรอบตัวของเยาวชนมาตั้งแตเกิด เห็นอยูทุกวัน จึงสามารถใชสภาพแวดลอมของชุมชนในการวิเคราะหแหลักความเชื่อของตนเอง ปํจจัยที่ส่งผลทําให้เยาวชนไม่เกิดความเชื่อ

1. พื้นฑานความรู (Background of Knowledge) ปโจจุบันเยาวชนมีการศึกษาที่ดีกวาคนในสมัยกอน จึงสามารถกล่ันกรองและเก็บในรูปความรูดานตาง ๆ ที่จะสงผลตอวิธีคิด วิธีปฐิบัติ ความเชื่อ สามารถใชความรูที่มีมาใชในการวิเคราะหแขอเท็จจริงตาง ๆ ดวยตัวเอง

2. การรับรู (Perception) นิทานที่ เยาวชนไมเชื่อลวนเป็นเรื่องราวที่ เชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาและเป็นเรื่องที่เหนือความเป็นจริงที่พิสูจนแไมได หรือตนเองไมไดเห็นดวยตานั่นเอง และปโจจุบันการรับรูของเยาวชนไปมุงเนนในดานเทคโนโลยี ไดแก โทรศัพทแมือถือ เกม โทรทัศนแ อินเทอรแเนต ฯลฯ ที่สามารถเรียนรูโลกไดกวางกวา เบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องนิทาน จึงแตกตางจากคนสมัยกอน

นิทานมีบทบาทสําคัญตอคนในชุมชนหมูบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ เป็นเพราะความเชื่อและคานิยมที่นํามาสูวัฒนธรรม ทั้งรูปแบบที่ถูกนําไปใชใหเป็นสวนหนึ่งของพิธีกรรมตลอดจนธรรมเนียมปฐิบัติในการคลองชาง นิทานถือไดวาเป็นภูมิปโญญาที่เชื่อมโยงระหวางคนกับชาง ส่ิงแวดลอม ธรรมชาติ หรือความสัมพันธแของคนในชุมชนกันเอง และระหวางคนกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ แสดงถึงภูมิปโญญาในการเรียนรูและอยูรวมกับธรรมชาติ สามารถจําแนกบทบาทไดดังตอไปนี้

1.บทบาทในการสืบทอดวัฒนธรรม การสืบทอดความเชื่อการนับถือผีปะกําผานนิทานพื้นบานใหดํารงอยูในชุมชนถือวาเป็นหัวใจ

สําคัญของวัฒนธรรม ที่ถูกถายทอดออกมาในรูปแบบของความเชื่อ คานิยม พิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนอุปนิสัยของคนในชุมชน เพราะนิทานถือไดวาเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่นับเป็นเครื่ องหลอหลอมคนในชุมชนใหเกิดความผูกพันสามัคคี และอบรมขัดเกลาใหคนในชุมชนมีทัศนคติ ความเชื่อรวมถึงคานิยมที่สอดคลองกับบุคคลอื่น ดังจะเห็นไดวา คนในชุมชนยังตั้งศาลปะกําไวเคารพบูชาทุกครัวเรือน กอนการออกไปทําการส่ิงใดตองเซนไหวผีปะกํากอนทุกครั้งเพื่อความสําเร็จทั้งเรื่องการงาน การคลองชาง การคลอดบุตร รวมไปถึงการคุมครองทุกคนในครอบครัวใหแคลวคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง คน

DPU

Page 9: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

591

ในชุมชนใชศาลปะกําเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ใหรูสึกวาตนเองอยูบนความปลอดภัยไมมีใครมาทําอันตรายได ทั้งนี้นิทานยังมุงเนนใหทุกคนตั้งใจทําความดีไมทําผิดจารีตประเพณี ศีลธรรม หรือขอปฐิบัติตาง ๆ ของชุมชนดวยการกระตุนเตือนเรื่องราวในนิทานพื้นบานไทยกูย สอดแทรกเนื้อหาทั้งเรื่อง ผลของการทําผิดกฏจารีตประเพณี บาป-บุญและมุงประพฤติปฐิบัติตนใหตั้งมั่นอยูในศีลธรรม เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต ดังที่เธียรชาย อักษรดิษฑแ (2552:12) อธิบายการยึดผีเป็นที่พึ่งวา “การยึดเอาผีเป็นที่พึ่งสุดทายของชาวบาน เนื่องมาจากความลมเหลวของที่พึ่งทางอํานาจทางเศรษฑกิจ การเมือง ที่ชาวบานมีอยูอยางจํากัดในโลกแหงความเป็นจริงไมวาจะเป็นวิกฤตในเรื่องของการทํามาหากินเล้ียงชีพ ภาวะการปุวยไขและการรักษาพยาบาลที่ไมสามารถตอบสนองคนในชุมชนได ดังนั้นชาวบานจึงยึดโยงระหวางความเชื่อกับพิธีกรรม”

2. บทบาทในการสรางความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของชุมชน การสรางความสามัคคีใหมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนชาวกูย อันจะเป็นการนํามา

ซึ่งความสงบสุขภายในชุมชน สามารถแสดงออกดวยการบอกเลาเรื่องราวที่สะทอนถึงอุปนิสัยใจคอของชาวกูยตั้งแตบรรพบุรุษ โดยเฉพาะในเรื่องความสามัคคี ความรัก ความกตัญฎู ความศรัทธาตอส่ิงศักดิ์สิทธิเดียวกันความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน

3.บทบาทดานการเป็นส่ือกลางของครอบครัว การที่บรรพบุรุษของชาวกูยไดส่ังสอนลูกหลานดวยวรรณกรรมมุขปาฑะ และปรากฐวาลูกหลาน

ปฐิบัติตามดวยความเคารพ อันแสดงถึงความยึดมั่นในระบบครอบครัวที่มีความใกลชิดแนนแฟูน ทั้งนี้เพราะในอดีตการศึกษาในโรงเรียนนั้นไมไดมีบทบาทสําคัญตอการดํารงชีวิตของสังคมชาวกูยเลย คําส่ังสอนเหลานี้จึงมีบทบาทเป็นส่ือกลางหลักสําคัญในการสรางความใกลชิดใหเกิดขึ้นภายในครอบครัว ลดชองวางระหวางผูเฒาผูแกและลูกหลาน

4.บทบาทของ “อํานาจเหนือธรรมชาติ” ที่เกี่ยวกับชาง การผูกโยงเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ ระหวางธรรมชาติ คน ชาง เพื่อรักษาไวซึ่งความเป็นชาว

กูย โดยในอดีตไมมีกฏหมายขอบังคับเฉกเชนปโจจุบันการควบคุมคนในชุมชนจึงมีวิธีเดียวคือการสรางความเชื่อขึ้นมา โดยผูกโยงปรากฐการณแตาง ๆ ทางธรรมชาติ ใหเกิดความกลัว เมื่อเกิดความเชื่อขึ้น ความเชื่อก็จะมีอํานาจเหนือธรรมชาติอันเป็นตนกําเนิดของพิธีกรรม ประเพณี หลาย ๆ อยาง เชน ความเชื่อเกี่ยวกับผีปะกําที่มีมาตั้งแตสมัยโบราณ เป็นตัวที่คอยควบคุมและจัดระบบของชุมชนใหอยูกันอยางปกติสุข ไมเบียดเบียนกัน ตองเคารพเซนไหวดวยใจที่บริสุทธ์ิ โดยมีความเชื่อวาจะคุมครองตนเองเพราะมีความเชื่อวาผบีรรพบุรุษจะคอยปกปูองดูแลลูกหลานใหแคลวคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ดังนั้นพวกเขาจึงทําการบูชาดวยการมอบส่ิงที่ดีตอผูมีพระคุณ และถือเป็นธรรมเนียมปฐิบัติสืบตอกันมาในสังคม ดังที่ฉลาดชาย รมิตานนทแ (2527:38) อธิบายลักษณะอํานาจเหนือธรรมชาติวา “การนับถือผีนั้นยังคงสืบเนื่องมาจากลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (Ancestor worship) ซึ่งความเชื่อนี้เจริญเติบโตขึ้นมาจากลัทธิที่เชื่อถือ

DPU

Page 10: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

592

อํานาจเหนือธรรมชาติ (Supernatural) อันเป็นตนกําเนิดของประเพณีหลาย ๆ อยางและเป็นที่มาของศาสนาบางประเภท คติความเชื่อเกี่ยวกับผีเป็นความเชื่อของมนุษยแมาตั้งแตสมัยโบราณ”

5. บทบาทในการสรางใหเห็นถึงความผูกพันระหวางคนกับชางท่ีมีมาแตอดีต ปโจจุบันสังคมมีความกาวหนาทางวิทยาศาสตรแและเทคโนโลยีมากขึ้นจะละทิ้งหรือลดหยอนความเชื่อเกี่ยวกับความเชื่อของชาวกูยลงไป แตนิทานเป็นตัวกําหนดใหเห็นถึงคติความเชื่อพื้นฑานที่เกาแกดั้งเดิม ดังนั้นจึงยังคงเหลือความเชื่อตาง ๆ เอาไว ดังนั้นจึงยังคงเหลือความเชื่อที่เป็นจารีตประเพณีและพฤติกรรมของคนในชุมชนไมมากก็นอย ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาจนเป็นระบบเดียวกัน ระบบความเชื่อเชนนี้ดํารงอยูดวยกันในลักษณะพึ่งพาอาศัยค้ําจุนซึ่งกันและกัน

6. บทบาทที่สามารถเชื่อมโยงพระพุทธศาสนา เชื่อมโยงเนื้อเรื่องใหมีความสัมพันธแกับศาสนา โดยเนื้อเรื่องประกอบดวยอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริยแ

ตลอดจนอํานาจอันพนวิสัยมนุษยแ ตัวเอกของเรื่องเป็นผูมีคุณสมบัติพิเศษ เชน เป็นผูมีอํานาจ มีบุญหรือมีฤทธิ์เดช สามารถเอาชนะศัตรูหรืออุปสรรคใด ๆ ทั้งหมดในบั้นปลาย สรางเหตุการณแใหเขากับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี เทวดา ผีบรรพบุรุษ ไสยศาสตรแ พระอินทรแ เจาปุา เจาเขา เป็นตนนิทานที่เชื่อมโยงพระพุทธศาสนาเป็นการแสดงเจตนารมณแของบรรพบุรุษที่ไดประพฤติปฐิบัติมาแลวในอดีต เพราะบรรพบุรุษของชาวกูยมีความศรัทธาใน ดังที่ฉลาดชาย รมิตานนทแ ( 2527:33-35) อธิบายวา ““แกน” ของพุทธศาสนามักพัวพันอยูกับอิทธิปาฐิหาริยแ อํานาจเหนือธรรมชาติ เวทมนตแคาถา บาป – บุญ นรก – สวรรคแ ฯลฯ พุทธศาสนาแบบนี้มีความสําคัญตรงท่ีเป็นพุทธศาสนาที่ “ชาวบาน” คือคนไทยจํานวนมากเชื่อถือและปฐิบัติอยู และ พุทธศาสนาแบบชาวบานเป็นการผสมผสานระหวางพุทธศาสนาลัทธิพราหมณแและความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาจนเป็นระบบเดียวกัน ระบบความเชื่อเชนนี้ดํารงอยูดวยกันในลักษณะพึ่งพาอาศัยค้ําจุนซึ่งกันและกัน”

7. บทบาทดานการใหความบันเทิง นิทานสามารถสรางความบันเทิงใหเกิดขึ้นกับคนในชุมชน สรางความรื่นเริงใจในชวงเวลามีงาน

ในชุมชน เชนงานบวชนาคชาง แตงงานบนหลังชาง ทอดกฑินชาง ฯลฯ ท้ังนี้ชาวกูย มองวาการเลานิทานเป็นเครื่องมือในการสรางความบันเทิงใจแลว ยังเป็นเสมือนเป็นการสรางความรูสึกปลอด ภัยใหกับลูกหลานของตนที่มีบรรพบุรุษคอยปกปูองดูแลไมเคยทอดทิ้งลูกหลาน รวมไปถึงการสรางการมีสวนรวมของคนในชุมชน เชนมีงานที่วัด หลวงตาก็จะเลานิทานเฮฮาใหฟโงในงาน ไดทั้งการสอดแทรกคติความเชื่อแลว ยังสรางความเป็นกันเองใหกับคนในชุมชนอีกดวย

DPU

Page 11: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

593

10. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1. ในอดีตไมมีกฏหมายเหมือนปโจจุบัน คนในชุมชนบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม

จังหวัดสุรินทรแ ไดใชความเชื่อและคานิยมเป็นตัวควบคุมความประพฤติของคนในชุมชน ซึ่งปโจจุบันคานิยมและความเชื่อนั้นก็ยังใชไดอยู

2. บทบาทของนิทานพื้นบานไทยกูย จังหวัดสุรินทรแ มีอํานาจที่เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับชางแฝงอยู

3. บรรพบุรุษยึดม่ันในเรื่องของความเชื่อ ถายทอดสูลูกหลานผานนิทานพื้นบาน

4. เยาวชนในชุมชนบานตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอทาตูม จังหวัดสุรินทรแ มีความ

เชื่อในนิทานพื้นบานในเชิงประจักษแ 11. ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งต่อไป

1. ศึกษาการส่ือสารเพื่อสรางวัฒนธรรมผานนิทานพื้นบานไทยกูยในจังหวัดสุรินทรแ 2. ศึกษาการส่ือสารที่สงผลถึงความเชื่อเรื่องผีปะกําที่ตรงกับแนวทางพระพุทธศาสนา 3. ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อเชิงมายาคติเกี่ยวกับชางที่ปรากฐในนิทานพื้นบานไทยกูยใน

ชุมชนชาวกูย จังหวัดอื่นๆ

DPU

Page 12: ** DPUlibdoc.dpu.ac.th/mtext/article/516932.pdf · 585 2. วัตถุประสงค์การวิจัย. 1. เพื่อศึกษาคานิยมและความเชื่อเชิงมายาคติ

594

บรรณานุกรม ภาษาไทย

หนังสือ ฉลาดชาย รมิตานนทแ.(2543).ไสยศาสตร์ครองเมือง. กรุงเทพฯ:บริษัทอัมรินทรแ บุ฿คเซนเตอรแ จํากัด.

. (2527). ผีเจ้านาย. กรุงเทพฯ : พายัพออฟเซทพรินทแ. เธียรชาย อักษรดิษฑแ.(2552).พิธีกรรมฟูอนผี : ภาพสะท้อนปรากฎการณ์ต่อรองอํานาจทางสังคม.

กรุงเทพฯ : บริษัทธารปโญญา จํากัด.

วิทยานิพนธ์ วิริยา วิฑูรยแสฤษฐแศิลป. (2548).อัตลักษณ์คนชั้นกลางไทยผ่านการเล่าเรื่องในสื่อหนังสือบันทึก

การเดินทาง. วิทยานิพนธแปริญญามหาบัณฑิต สาขาวารสารศาสตรแและสื่อมวลชน. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ.

พิเชษฑแ ธีรปฎฺโญ(ชัยมูล),พระ.(2549).คติความเชื่อล้านนาเรื่องผีปุูย่าที่ตรงกับจริยธรรมทาง พระพุทธศาสนา. วิทยานิพนธแปริญญามหาบัณฑิต(ศน.ม).นครปฑม : มหาวิทยาลัยมหา มกุฐราชวิทยาลัย.

ภาษาต่างประเทศ

BOOKS

Barthes, Roland. (1973). Myth today. In his Mythologies, pp. 117-174. Translated by Annette Lavers. London: Paladin.

Berger, John. (1977).Ways of Seeing. London : Penguin.

DPU