ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย...

61
ไมมีทางออก โดย นาย ทายาท สุทธิ์เสงี่ยม วิทยานิพนธนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตรกรรม ภาควิชาจิตรกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปการศึกษา 2545 ISBN 974-653-557-9 ลิขสิทธิ์ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร

Upload: others

Post on 20-Apr-2020

5 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

ไมมีทางออก

โดยนาย ทายาท สุทธิ์เสงี่ยม

วิทยานิพนธนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปมหาบัณฑิตสาขาวิชาจิตรกรรมภาควิชาจิตรกรรม

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากรปการศึกษา 2545

ISBN 974-653-557-9ลิขสิทธิ์ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร

Page 2: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

NO EXIT

ByMR. THAYART SUTHSA-NGIAM

A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the DegreeMASTER OF FINE ARTSDepartment of Painting

Graduate SchoolSILPAKON UNIVERSITY

2002ISBN 974-653-557-9

Page 3: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร อนุมัติใหวิทยานิพนธเร่ือง “ไมมีทางออก” เสนอโดยนายทายาท สุทธิ์เสงี่ยม เปนสวนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตรกรรม

………………………………………………(ผูชวยศาสตราจารย ดร.จิราวรรณ คงคลาย)

คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยวันที่…….เดือน…………….พ.ศ. ……….

ผูควบคุมวิทยานิพนธ 1. ผูชวยศาสตราจารย อิทธิพล ตั้งโฉลก 2. ผูชวยศาสตราจารย รุง ธีระพิจิตร

คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ

………………………………………ประธานกรรมการ(อาจารย อํามฤทธิ์ ชูสุวรรณ)………./………/………

………………………………………กรรมการ ………………………………………กรรมการ(อาจารย สุรพล แสนคํา) (ผูชวยศาสตราจารย อิทธิพล ตั้งโฉลก)………./………/……… ………./………/………

………………………………………กรรมการ ………………………………………กรรมการ(ผูชวยศาสตราจารย รุง ธีระพิจิตร) (อาจารย พิชิต ตั้งเจริญ)………./………/……… ………./………/………

Page 4: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

K 44001207 : สาขาวิชาจิตรกรรมคําสําคัญ : งานสรางสรรคจิตรกรรม / ไมมีทางออก

ทายาท สุทธิ์เสงี่ยม : ไมมีทางออก (NO EXIT)อาจารยผูควบคุมวิทยานิพนธ : ผศ.อิทธิพล ตั้งโฉลก และ ผศ.รุง ธีระพิจิตร. 52 หนา. ISBN 974-653-557-9

งานวิทยานิพนธ ตามหัวขอเร่ือง “ไมมีทางออก” เปนการสรางสรรคผลงานตามความเชื่อของขาพเจาที่วา สภาวะของมนุษยไมไดสิ้นสุดลงที่ความตาย ความตายเปนเพียงขอตอขอหนึ่งของสายโซของการเกิด-ดับ ของชีวิตเทานั้น ความตายไมไดเปนการสิ้นสุดของชีวิต ดังนั้นเราจึงควรแสวงหาทางออกที่แทจริงใหได กอนที่เราจะตองตายจากโลกนี้ไป

ภาควิชาจิตรกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปการศึกษา 2545ลายมือชื่อนักศึกษา ……………………………………….ลายมือชื่ออาจารยผูควบคุมวิทยานิพนธ 1. …….…………...…….… 2. ………………..……….

Page 5: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

K 44001207 : MAJOR : PAINTINGKEY WORD : PAINTING / NO EXIT

THAYART SUTHSA-NGIAM : NO EXITTHESIS ADVISOR : ASST.ITHIPOL THANGCHALOK AND ASST.ROONG TRIRAPICHIT.52pp. ISBN 974-653-557-9

The Thesis which the subject is “No Exit”, depict the belief of me that meansthe state of human is not terminated by death. The death is not the end of life, it is justonly a joint of life cycle, born and dead. So that we should be looking for a real exitbefore we will die from this world.

Department of Painting Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2002Student’s signature ……………………………………….Thesis Advisors’ signature 1. …………...…………...…….… 2. ……….……….…..……….

Page 6: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

กิตติกรรมประกาศ

การที่วิทยานิพนธฉบับนี้สําเร็จลุลวงไปไดนั้น ขาพเจาขอกราบขอบพระคุณคณาจารยทุกทานที่ไดประสิทธิ์ประสาทความรู ไมวาจะเปนอาจารย อํามฤทธิ์ ชูสุวรรณ ผูชวยศาสตราจารยอิทธิพล ตั้งโฉลก ผูชวยศาสตราจารย รุง ธีระพิจิตร อาจารย นพพงษ สัจจวิโส ผูชวยศาสตราจารย วิโชค มุกดามณี อาจารย พิชิต ตั้งเจริญ และอาจารย สุรพล แสนคํา รวมไปถึงขอขอบคุณคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ไดใหโอกาสขาพเจาไดเขามาศึกษาเลาเรียน จนสามารถทําใหไดรับความสําเร็จตามที่ไดมุงหวังเอาไว

สิ่งที่จะลืมไมได ขาพเจาขอกราบขอบพระคุณบิดาผูที่ลวงลับไปแลว มารดา ผูทีใหกําเนิดและเลี้ยงดูขาพเจามาเปนอยางดี ตลอดจนครอบครัวของขาพเจาที่ชวยเหลือ สนับสนุน และเปนกําลังใจที่ดีใหกับขาพเจาเสมอมา

สุดทายนี้ ขอขอบพระคุณพระเจา ที่ใหโอกาสขาพเจาไดเกิดมา และทรงอวยพระพรขาพเจาจวบจนทุกวันนี้

Page 7: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

สารบัญหนา

บทคัดยอภาษาไทย …………………….……………………….………………………….… งบทคัดยอภาษาอังกฤษ …………………….……………………….………………………… จกิตติกรรมประกาศ …………………….………………………...…………………….……... ฉบทที่

1 บทนํา …………………….………………………...…………………….………….. 1ความเปนมาและความสําคัญของการสรางสรรค ………………………….…... 3ความมุงหมายและวัตถุประสงคของการสรางสรรค …………………….……... 4สมมติฐานของการสรางสรรค …………………….….…………………….…... 4ขอบเขตของการสรางสรรค …………………….….…………………….……... 5ขั้นตอนของการสรางสรรค …………………….….…………………….……… 5แหลงขอมูลที่นํามาใชในการสรางสรรค …………………….………………….. 6อุปกรณที่ใชในการสรางสรรค …………………….….…………………….…... 8

2 แนวความคิดและอิทธิพลในการสรางสรรค …………………….…………………… 9วรรณกรรมที่เกี่ยวของในการสรางสรรค …………………….…………………. 9อิทธิพลจากแนวความคิดทางปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสมของ ฌอง-ปอลซารตร …………………….….…………………….….…………………….…..

11

ความวางเปลาและเสรีภาพ ………………….….……………………… 11เสรีภาพ จิตใตสํานึก และสัญชาตญาณ ………………….……………. 12เสรีภาพ อนาคต และอดีต ………………….….…………………….… 15เสรีภาพและสิ่งแวดลอม ………………….….…………………….…… 16เสรีภาพและความรับผิดชอบ ………………….….……………………. 17เสรีภาพและขอบเขตจํากัด ………………….….…………………….… 21

สรุป …………………….….…………………….….…………………….……. 243 กระบวนการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธ …………………….….………………… 25

ที่มาของแนวความคิดในการสรางสรรค …………………….…………………. 25เปาหมายในการสรางสรรค …………………….….…………………….……... 26

Page 8: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

บทที่ หนารูปแบบของผลงาน 26

1.สีกับวัสดุ ………………….……………………….…………………. 272.เทคนิคในการสรางรายละเอียด ………………….…………………... 283.การใชสื่อของเสียง ………………….……………………….……….. 314.การจัดวาง ………………….……………………….………………... 31

ขั้นตอนการสรางสรรค …………………….……………………….…………… 32การสรางภาพจําลอง ………………….……………………….……….. 32การสรางรูปจําลองผลงาน ………………….……………………….…. 32ขั้นตอนเทคนิคในการสรางสรรค ………………….……………………. 33

4 บทวิเคราะหพัฒนาการและการคลี่คลายผลงาน …………………….……………… 38การสรางสรรคผลงานกอนวิทยานิพนธ …………………….…………………... 39สรุปผลงานกอนวิทยานิพนธ …………………….……………………….…….. 44การสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธ …………………….……………………….. 44

5 บทสรุป …………………….……………………….……………………….……….. 46

บรรณานุกรม …………………….……………………….……………………….………….. 50ประวัติผูวิจัย …………………….……………………….……………………….…………... 51

Page 9: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

สารบัญภาพภาพที่ หนา

1 ภาพผลงานของ Carl Andre …………………………………………………. 62 ภาพผลงานของ Andy Warhol ………………………………………………. 73 ภาพผลงานของ Mark Rothko ……………………………………………….. 74 ภาพผลงานศิลปะแบบ อ็อพ อารต (Op Art หรือ Optical Art) ……………… 295 ภาพผลงานศิลปะแบบ อ็อพ อารต (Op Art หรือ Optical Art) ……………… 296 รูปจําลองผลงาน (Model) ……………………………………………………. 337 รูปจําลองผลงาน (Model) ……………………………………………………. 338 ถังน้ํามัน 200 ลิตร ……………………………………………………………. 349 ภาพโครงสราง ………………………………………………………………… 34

10 เชื่อมเหล็กใหเปนรูปทรงตามที่ตองการ ………………………………………. 3511 เมื่อเชื่อมเสร็จ …………………………………………………………………. 3512 รายละเอียดของประตู ………………………………………………………… 3613 โครงสรางของประตู …………………….……………………….……………. 3614 ตัดแผนเหล็กใหไดขนาด …………………….……………………….……….. 3715 เปรียบเทียบขนาด …………………….……………………….……………… 3716 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 1 …..……………….……………………….… 3917 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 2 …………………….………………………… 4018 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 3 …………………….………………………… 4119 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 4 …………………….………………………… 4220 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 5 ….…………….……………………….……. 4321 ผลงานวิทยานิพนธ …………………….……………………….…………….. 4522 ผลงานวิทยานิพนธ …………………….……………………….…………….. 4723 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ …………………….………………………... 4824 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ …………………….………………………... 4825 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ …………………….………………………... 4926 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ …………………….………………………... 49

Page 10: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

1

บทที่ 1

บทนํา

หลายครั้งในชั่วเวลาใดก็ตาม เราคงเกิดความรูสึก อยากใครครวญถึงที่มาของชีวิตทั่งตัวเราเองและสิ่งแวดลอม ขณะที่เราเดินวางอารมณอยูบนทางเทา โหนรถเมลไปทํางาน หรือมองดูผูคนที่นั่งอยูตรงขามเราบนรถไฟฟา เราตางไมรูจักกันและไมพูดกัน แตหลายสิ่งหลายอยางทําใหเรารูสึกถึงความวางเปลา และความลึกลับของชีวิต ผูคนและสรรพสิ่งที่เดินอยูรอบเรา สถาบันที่เกิดขึ้นมากอนเรา และคุณคาที่สังคมสวนรวมยึดถืออยูนั้น ทําใหเราตองใครครวญกับตัวเอง วามันคืออะไรแน เงินเกียรติ ตําแหนงหนาที่ หรือผูหญิงที่เรารักใหความมั่นคงอะไรตอชีวิตของเราบาง ในเมื่อชีวิตลวนถูกเสกสรรคใหเกิดมาอยูภายใตสิ่งแวดลอมตางๆอยางชวยอะไรไมได สิ่งที่เรามองเห็นตอนกลางวันขณะดวงตะวันแผดกลา นั่นหรือคือความมั่นคงในชีวิต เราตอบไมไดเพราะสิ่งดังกลาวซอนตัวอยู ในสภาพไรความมั่นคงเสียจนเกินกวาจะใฝฝนหา หรือไมก็เพราะเราไมกลาเผชิญกับความจริง หรือไมอยากเขาไปยุงกับการ “ตระหนัก” ในสิ่งนั้น เนื่องจากเราตางมัวเพลินอยูกับความคิดรอยแปด ยุงกับการเรียนหนังสือบาง ตั้งหนาหากินไปวันหนึ่งๆบาง หรือไมก็ปลอยใหกิเลสเขาครอบงําเสียจนไมมีเวลาเปนของตัวเองบาง ชั่วขณะใดขณะหนึ่ง ที่เราเกิดความสํานึกในความลึกลับของชีวิต และคิดถึงที่มาของชีวิต อันเปนสิ่งที่เปนอยูของเรานั้น เราอาจจะตระหนกขึ้นมาในทันทีทันใด เนื่องมาจากมองเห็นความวางเปลาและสิ่งไรสาระเกิดขึ้นในชีวิต เรามองไมเห็น หรือเดาลวงหนาไมไดวามีอะไรที่จะเปนสิ่งยึดมั่นใหแกชีวิต หรือส่ิงที่เปนอยูของเรา ผูคนทั่วไป รวมทั่งตัวเรา อาจจะไมเคยนึกถึงสิ่งที่เปนอยูนี้เลย เนื่องดวยตางมัววุนวายที่จะเสาะหาหัวโขนใหมๆหรือมัวเพลิดเพลินที่จะเลนละครอยูจนลืมลงจากเวทีจนกระทั่งเมื่อจิตใจสงบและนึกยอนไปถึงความเปนมาที่เราเรียกวา “สิ่งที่เปนอยูสวนบุคคล” เมื่อใดแลวเมื่อนั้นความสํานึกของเราจะกอใหเกิดการเริ่มตนของการแสวงหาทางออก (Exit) และเราจึงตองเลือกเอาเองวาเราจะเปนอะไร และการเลือกนั้น เราตองกระทําอยูเสมอ ครั้งแลวครั้งเลาตลอดชีวิตเนื่องจาก “การเปนอยู” ในชีวิตของแตละคนเปนเรื่องที่เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา จนกวาการสิ้นสุดของชีวิตจะมาถึง ดังนั้นเราทุกคนจะตองยอมรับ และมีความรับผิดชอบดวยตัวเองขณะที่ตัดสินใจทําอยางอะไรอยางหนึ่งลงไป เนื่องจากทุกคนตางเปนผู “เลือกทํา” ดวยตนเองการเลือกหรือไมเลือกที่จะไปมีชีวิตอยูภายใตสังคมแบบใดจึงยอมมีคาเทากัน เพราะการเลือกก็คือการเลือก สวนการไมเลือกก็คือการเลือกอยางหนึ่งกลาวคือเลือกที่จะไมทําอยางนั้น เลือกที่จะไมทําอยางนี้ ชีวิตของคนทุกคนจึงขึ้นอยูที่ตัวเองเปน

Page 11: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

2

ใหญ วาจะเลือกหรือไมเลือกอยางไร ดังนั้นความพยายามที่จะดําเนินชีวิตตามวิถีที่เราเลือกสรรยอมมีความลําบากเอาการอยู เนื่องจากเราไมมีมาตราฐานอะไรที่จะเปนเครื่องวัดวา การเลือกของเรานั้น ถูกตอง หรือ ผิดพลาด หรือดีเลวอยางไร นอกจากจะไดทดลองเลือกดูกอนดวยชีวิตของเราเอง แตมนุษยก็มีอิสระที่จะตระหนักถึงตัวเอง และเลือกวิถีชีวิตเพื่อตัวเองหรือผูอ่ืนได แตเราไมสามารถจะบอกไดวาโครงสรางของชีวิตมนุษยทั้งหมดนั้นควรจะเปนอยางไร เพราะการการเลือกของคนๆหนึ่ง ก็เหมือนกับการจับคนๆ นั้นโยนลงไปในโลกแหงความรับผิดชอบ โดยไมตองขอโทษขอโพย การเลือกจึงเปนเสมือนการถูกตัดสินที่นําความปวดราวมาให ความปวดราวทุรนทุรายนั้นอันที่จริงก็ไมใชสิ่งนากลัวอะไรมากนัก หากแตเปนความรูสึกไปในทํานองที่วา ตนถูกบังคับใหตองเลือกอะไรสักอยางหนึ่ง ที่มิอาจทราบไดวาผลของการเลือกนั้นจะเปนเชนใด ความรูสึกที่เกิดขึ้นจากการที่ตองเลือก จึงเปนความรูสึกที่ขุนแคนและเจ็บปวด แตขณะเดียวกัน ก็ทะนง และสูงสงดวยแมตนจะไมปรารถนาเกิดมา แตเมื่อเกิดมีชีวิตขึ้นมาแลว ก็ขอดําเนินชีวิตไปตามที่ตนเลือกเปนชีวิตของตัวเอง ตลอดจนความรับผิดชอบตอการกระทําของตนเองโดยถือหลักที่วา “…มนุษยทุกรูปมิใชอะไรเลยนอกไปจากสิ่งที่เขากระทํา สิ่งที่อาจเปนไปไดไมอาจมากอนสิ่งที่เปนจริง สาระจะมีกอนตัวตนมิได ฉะนั้นเมื่อพิจารณามนุษย อยางปราศจากขอรังเกียจเดียดฉันทแลวมนุษยจะมีคาก็ดวยการกระทําของตนเอง…” จึงทําใหมนุษยกลายเปนตัวของตัวเอง รับผิดชอบตอชีวิตของตนเองอยางเต็มที่ มนุษยมีเสรีภาพอยางเต็มที่ที่จะเลือกตัดสินใจกระทําสิ่งตางๆ เสรีภาพจึงเปนแกนแทของความเปนมนุษย ซึ่งก็อาจมีไดทั้งลักษณะสรางสรรคหรือทําลาย เสรีภาพอาจเชิดชูมนุษยใหสูงสงขึ้นหรืออาจฉุดใหตกต่ําลงได นั้นยอมแลวแตมนุษย การที่มนุษยไมไดถูกใครสรางหรือใหสาระเปนตราประทับมากอนนี่เองทําใหการเขาใจเรื่องราวของมนุษยตองคํานึงถึงภาวะวิสัยดวนเปนสําคัญ ซึ่งผิดกับวัตถุที่ถูกสรางขึ้นโดยมนุษย สัจจะของมันยอมหาพบไดดวยการมองแบบอัตวิสัยเทานั้น อัตวิสัยจึงใชไมไดกับมนุษยเสมอไป หากแตจะใชไดกับวัตถุเทานั้น

ดวยเหตุนี้ขาพเจาจึงมีความสนใจตอผลของการเลือกและตัดสินใจของมนุษยวาจะสงผลตอตัวของเขาแตละคนอยางไร หรือจะเปนดังผลกรรมของแตละคนที่ไดตัดสินใจทําสิ่งใดลงไป แลวผลกรรมนั้น ๆ ก็จะติดตามตัวของเขาผูนั้นไปจนตาย และยังมีผลตอการตัดสินในเรื่องของการที่เขาจะไดขึ้นสวรรคหรือลงนรกอีกหรือไม จึงทําใหเห็นวาไมวามนุษยคนหนึ่งจะตัดสินใจทําอะไร เขาจะตองรับผิดขอบตอการกระทําของเขาไปจนไมมีที่สิ้นสุด เปนเชนดั่งการเปดประตูเขาไปสูหองที่มิอาจที่จะหันหลังกลับออกมาไดอีกเลย แลวยังคงตองเปดประตูไปเร่ือย ๆ อยางไมมีที่สิ้นสุด จนทําใหขาพเจาเองหันมามองที่จะคนหาทางออกจากวงเวียนแหงผลกรรมนี้ใหไดจนเกิดเปนผลงานวิทยานิพนธที่มีชื่อวา “ไมมีทางออก” หรือ “No Exit” นั้นเอง

Page 12: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

3

ความเปนมาและความสําคัญของการสรางสรรคความเชื่อในเรื่องของการเวียนวายตายเกิดนั้นมีอยูในวิถีชีวิตคนไทยมาเปนเวลาชานาน

กลาวคือเปนความเชื่อที่วาคนเราเมื่อตายไปแลวมิไดไปไหน หากแตจะกลับมาเกิดใหมในโลกนี้เพื่อจะตองชดใชเวรกรรมที่แตละคนไดกอข้ึนมา จากความเชื่อนี้ทําใหขาพเจารูสึกวามนุษยเรานั้นอยูในสภาพของการไมมีทางออก ดวยวาหากเราตายไปแลวยังคงจะตองกลับมาเกิดอีกซ้ําแลวซ้ําเลาไมมีจบส้ิน เราเองก็จะไมตางอะไรกับผูที่ถูกขังอยูในหองขังหากแตวาหองที่ขังเราเอาไวนั้นคือโลกที่เราอาศัยอยูนี้เอง และจากการที่ขาพเจาไดมีโอกาสในการอานหนังสือหลายเลม หนึ่งในนั้นมีขอความบางตอนที่เปนที่มาของความสําคัญของปญหาในการสรางสรรคผลงาน ซึ่งขาพเจาขอเอาขอความนั้นมากลาวอางไว ณ ที่นี้

“เมื่อเราไมฝนอีกตอไปแลว วาเรายังมีเวลาเหลืออยูสําหรับการปลอยทิ้งไป สิบป หนึ่งปหรือหนึ่งเดือน เมื่อเราคิดอยูแลวถึงเวลาแคไมกี่สิบช่ัวโมง และยามกลางคืนที่กําลังเขามาไดนําเอาการคุกคามของสิ่งที่เราไมรูจักมาดวย เห็นไดชัดแลววา เราไดสลัดแลวซึ่งศิลปะ วิทยาศาสตร การเมือง และพอใจอยูเพียงการไดพูดคุยกับตัวเอง และเปนไปไดวานั่นจะดําเนินไปจนวาระสุดทายการสนทนาภายในเปนสิ่งเดียวที่เหลืออยูสําหรับคนผูถูกพิพากษาใหประหาร หากแตการประหารของเขานั้นไดเลื่อนออกไป เขา (ผูถูกใหประหารนี้) จดจออยูกับตัวตนของเขา ไมไดปลอยแสงสวางใดๆออกจากตัวตนของเขาอีกตอไป หากเพียงครุนคิด…เหมือนกระตายปาที่กลับมาสูโพรงของมันและโพรงอันนั้นก็คือจิตสํานึกของเขา ความคิดของเขา ตราบเทาที่เขายังถือปากกา และยังมีเวลาของความเดียวดาย เขายอมจะจดจออยูกับความคิด กอนการสะทอนเสียงตัวเขาเอง แลวไปสูการสนทนากับพระผูเปนเจา”1 จากบทความนี้นั้นชี้ใหเห็นวามนุษยทุกคนคือผูตองขังที่ตางรอโทษประหารที่ตนเองจะไดรับ แตหองขังที่ไดกักขังเราเอาไวนั้นมิไดลูกกรงอยางที่เราเขาใจ หากแตเปนโลกนี้ตางหากที่เปนหองขังเราเอาไว หรือไมตัวของเราก็เปนหองขังเราเอาไว ดังนั้นมนุษยเราทุกคนจึงตางแสวงหาทางออกหรือทางที่จะนําพาไปสูการหลุดพนจากการถูกจําจอง โดยเชื่อวาเมื่อตนเองหลุดพนจากคุกแหงนี้ไปตนเองจะไดพบกับสถานที่ๆดีกวา หรือไมมนุษยอาจจะตองวนเวียนอยูในคุกอันเดิมนี้ก็ได โดยขาพเจาไดนําบทความมาอางอิงที่วา “บางทีการเดินทางที่ปราศจากเรื่องชวนสงสัย จุดหมายก็อาจอยูแคปลายทาง และคงมิตองคิดหรือด้ินรนแสวงหาอะไรตออะไรใหมากความ…แตสําหรับการเดินทางที่เต็มไปดวยขอกังขาของใจ ใชหรือไมวา ปลายทางของสถานที่หนึ่ง

1ลีโอ ตอลสตอย, ศิลปะคืออะไร (กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพถนนหนังสือ, 2528), 46-47.

Page 13: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

4

อาจเปนเพียงบรรทัดแรกของบทนําสําหรับใหตองออกไปเริ่มตนคนหาจุดหมายครั้งใหม…”จากบทความที่ขาพเจายกมาทั้งหมด แสดงใหเห็นถึงสภาพที่ ไมมีทางออก ของมนุษยซึ่งเปนสภาพที่เกิดขึ้นจริงกับมนุษยทุกคน

ความมุงหมายและวัตถุประสงคของการสรางสรรคเพื่อตองการเสนอแนวความคิด ที่วาสภาวะของมนุษยไมสิ้นสุดลงที่ความตาย ความตาย

เปนเพียงขอตอขอตอหนึ่งของสายโซของการเกิด-ดับของชีวิตเทานั้นความตายไมไดเปนการสิ้นสุดของชีวิต การเกิดและการตายเปนชื่อที่เราใชเรียกสวนหนึ่งของการเกิด-ดับที่ยาวนาน ในทํานองเดียวกับที่เราเรียกประตูในหองวาเปน“ทางออก”และ”ทางเขา”ทั้งๆที่เปนประตูเดียวกัน คนที่อยูในหองมองประตูนี้วาเปน”ทางออก”ในขณะที่คนอยูนอกหองมองวาเปน”ทางเขา” โดยเหตุที่การเกิดและการตายมีความสัมพันธใกลชิดกันมาก ดังนั้นพุทธศาสนาจึงถือวาการนึกถึงความตายอยูในทุกวินาทีโดยการเจริญมรณานุสติ จะชวยใหเรายอมรับสภาพความเปนจริงของชีวิต รูจักความตายกอนตาย คือไมประมาทในการดําเนินชีวิต ดังนั้นการนึกถึงความตายอยูเสมอจะทําใหเรามีสติในการกระทําทุกอยาง มีความตื่นตัวและเรงรีบที่จะเพียรพยายามที่จะหลุดพนจากการเวียนวายตายเกิด กอนที่ความตายจะมาถึงตัว

สมมติฐานของการสรางสรรคจากหัวขอของวิทยานิพนธ ไดนําพาไปสูรูปแบบของงานที่วาเราตางก็ตองเวียนวายตาย

เกิดกันอยูในโลกนี้ตราบเทาที่เรายังแสวงหาทางหลุดพนไมได จึงมิไดตางกับการติดอยูในหองขังซึ่งหองขังที่มีสภาพที่ไมมีลูกกรง ไมมีกําแพง มีประตูแตไมมีทางออก ทั้งหมดนี้ไดสรางจินตนาการใหเกิดนึกถึงวา ทําไมหองเราตางถึงเรียกกันวาหอง เพราะดวยวาหองตองมีขอบเขตที่แนนอนมีประตู จึงประกอบเปนหอง เสนหองคือขอบเขตที่แบงกั้นระหวางภายนอกและภายในหอง ซึ่งตามปกติแลวนั้น เมื่อเราอยูในหอง ถาเราตองการจะออกจากหองเราทุกคนตางจะนึกถึงประตูเปนอันดับแรก เราจะไมนึกถึงหนาตางหรือกําแพง แตเมื่อเราพบวาประตูเปนทางตัน ในหวงคํานึงแรกเราจะรูไดทันทีวาเราติดอยูในหองนั้นแลว นี้คือการเริ่มตนของสมมุติฐานเปนการตั้งขึ้นเพื่อทําการศึกษา โดยขาพเจาเชื่อวาปฏิกิริยานี้จะตองเกิดขึ้นกับมนุษยทุกคนดวยวา มนุษยเราตางก็รูถึงสภาพความเปนจริงของชีวิตที่เราตางก็แสวงหาทางหลุดพนจากกฏแหงกรรมและการเวียนวายตายเกิดกันทุกคน จึงมีคําถามตอไปวาแลวถาออกทางประตูไมไดแลวทําอยางไร การสะทอนภาพการแสวงหาทางออกในงานของขาพเจา คือการพยายามขุดหาทางออกโดยการแกะเอาพื้นออกโดยพยายามแกะออกจากชั้นหนึ่งสูอีกขั้นหนึ่ง ทั้งหมดจะพบวายิ่งแกะพื้นออกเทาไร ก็ยิ่งเห็นวา

Page 14: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

5

เกิดการไมสิ้นสุด ราวกับวาหองทั้งหองมีชั้นตางๆปดเอาไวไมมีสิ้นสุด เปรียบไดกับการเวียนวายตายเกิดของมนุษยเราในโลกนี้

ขอบเขตของการสรางสรรคขาพเจาตองการแสดงออกใหเห็นถึงสภาวะการติดอยูในสภาวะการถูกกักขังในหองของ

มนุษย ที่พยายามคนหาทางออกโดยการขุดแกะ ซึ่งทั้งหมดจะถูกถายทอดออกมาในรูปแบบงานทางจิตรกรรม โดยอยูในขอบเขตสี่เหลี่ยมเปนหลัก เพื่อจําลองภาพทางความรูสึกของหองที่มีขนาดที่สามารถเขาไปอยูไดจริง โดยจะมีประตูที่มีขนาดเทาของจริง แตจะมีสภาพเชนเดียวกับพื้น กลาวคือไมมีทางออกไปได ดังนั้นขอบเขตจึงจํากัดเพียงภาพของหองที่ตองการจําลองความรูสึกของสภาวะการติดอยูในหองขังที่มิอาจหาทางออกไปได จึงสามารถแบงขอบเขตของการสรางสรรคไดดังนี้

1.ขอบเขตทางดานเนื้อหา ซึ่งขาพเจาไดรับแรงบัลดาลใจมาจากแนวความคิดของ ฌอง-ปอล ซารตร (Jean-Paul Sartre) ที่วาดวยเรื่องของมนุษยมีเสรีภาพแตตองมีความรับผิดชอบตอการที่ตนเองไดตัดสินใจตอการกระทําของตนดวย ดังนั้นการแสวงหาทางหลุดพนจากกฎแหงกรรมจึงเปนสิ่งที่มนุษยแตละคนตองแสวงหาดวยตนเอง และตองรับผิดชอบในผลกรรมที่ตนเองไดทําเอาไวอยางไมมีทางหลีกเลี่ยง

2.ขอบเขตดานรูปแบบ ขาพเจาไดสรางสรรคผลงานเปนจิตรกรรมแบบ 3 มิติ ในรูปแบบศิลปนามธรรม และมีการนําเสนอในการเขาชมผลงานใหมขึ้นมา กลาวคือผูชมสามารถที่จะเดินเขาไปชมผลงานของขาพเจาภายในงานได โดยที่ผลงานจะอยูที่พื้นที่เขาเหยียบเดินเขาไปนั้นเอง

3.ขอบเขตทางดานเทคนิค ขาพเจาไดใชเทคนิคการนําเอาวัสดุจริงมาใช ประกอบกันดวยวิธีการเชื่อมเหล็ก โดยนําเอาถังน้ํามันเหล็ก 200 ลิตรที่เลือกสีตามที่ตองการมาตัดเชื่อมและประกอบกันขึ้นเปนตัวงาน

ขั้นตอนของการสรางสรรคขาพเจาแบงขั้นตอนออกเปน 4 ขั้นตอนใหญๆคือ1.ขั้นตอนการเก็บศึกษาขอมูลแวดลอม กลาวคือการที่ขาพเจาพยายามอานคนควาหาบท

ความ หรือไมก็เปนหนังสือที่มีแนวความคิดที่สอดคลองกับความคิดของขาพเจาเปนหลัก เพื่อใชเปนขอมูลในการอางอิงเพื่อประกอบแนวความคิดใหมีน้ําหนักนาเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

2.ขั้นตอนของการคิดและออกแบบ ในสวนนี้นั้นคือการที่พยายามถายทอดเอาความคิดหลักที่ตองการแสดงออก นําออกมาเปนผลงานที่เปนรูปธรรม โดยใชแนวความคิดทางดาน

Page 15: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

6

จิตรกรรมเปนหลัก ขั้นตอนนี้ยังไดรวมเอาการเลือกสรรวัสดุ และเทคนิควิธีการในการทํางาน เอาไวในขั้นตอนนี้ดวยเชนกัน

3.ขั้นตอนการปฏิบัติงาน กลาวคือเปนชวงของการลงมือทํางาน ไมวาจะเปนในเรื่องของการซื้อหาวัสดุที่จะนํามาประกอบขึ้นเปนตัวงาน การเชื่อมประกอบตัวผลงาน การทําความสะอาดการติดตั้งและขนยายผลงาน ตางรวมอยูในขั้นตอนนี้ทั้งสิ้น

4.ขั้นตอนนี้คือการประเมินผลการปฏิบัติงาน วาผลงานที่ไดทําขึ้นมานั้นมีความสมบูรณในการสรางสรรหรือไม มจีุดใดบางที่จะตองปรับปรุงและแกไข ขั้นตอนนี้รวมไปถึงการนําออกจัดแสดงงานสูสาธารณะชน เพื่อใหสังคมเปนผูตัดสินและวิจารณ

แหลงขอมูลที่นํามาใชในการสรางสรรคขาพเจาแบงออกเปน 2 วิธีการหลัก คือ1.ศึกษาขอมูลจากผลงานจริง เพื่อการคนควาและทําความเขาใจ โดยการดูผลงานจริง

ของศิลปนที่สงผลตอการสรางสรรคผลงาน ไมวาจะเปนผลงานของ Carl Andre, Andy Warhol,และ Mark Rothko

ภาพที่ 1 ภาพผลงานของ Carl Andre

Page 16: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

7

ภาพที่ 2 ภาพผลงานของ Andy Warhol

ภาพที่ 3 ภาพผลงานของ Mark Rothko

Page 17: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

8

2.ศึกษาขอมูลจากตํารา และเอกสาร เพื่อการคนควาทางดานเหตุผล ปรัชญา และแนวคิดในการสรางสรรคโดยแยกยอยไดดังนี้

2.1ศึกษาจากหนังสือและเอกสารที่เกี่ยวของกับปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสม2.2ศึกษาจากหนังสือ และเอกสารที่เกี่ยวของกับหลักทฤษฎีทางศิลปะ

อุปกรณที่ใชในการสรางสรรคเนื่องจากการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธของขาพเจา เปนการแสดงออกดวยรูปแบบ

เทคนิคและวิธีการของการเชื่อมเหล็กเปนหลัก จึงมีการเตรียมอุปกรณเพื่อความพรอมในการสรางสรรค ซึ่งจําแนกไดดังนี้

1.โครงเหล็กที่ประกอบกันตามขนาดที่กําหนดเอาไว2.ถังน้ํามันขนาด 200 ลิตร สีฟา จํานวนประมาณ 60ใบ และถังสีดํา น้ําเงินอีกประมาณ

10 ใบ3.ธูปเชื่อม4.กระดาษแข็งใชตัดทําตนแบบ

Page 18: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

9

บทที่ 2

แนวความคิดและอิทธิพลในการสรางสรรค

วรรณกรรมที่เกี่ยวของในการสรางสรรคมนุษยมีเสรีภาพอยางเต็มที่ที่จะเลือกตัดสินใจกระทําสิ่งตางๆ เสรีภาพจึงเปนแกนแทของ

ความเปนมนุษย ซึ่งก็อาจมีไดทั้งลักษณะสรางสรรคหรือทําลาย เสรีภาพอาจเชิดชูมนุษยใหสูงสงขึ้นหรืออาจฉุดใหตกต่ําลงได นั้นยอมแลวแตมนุษย การที่มนุษยไมไดถูกใครสราง หรือใหสาระเปนตราประทับมากอนนี่เองทําใหการเขาใจเรื่องราวของมนุษยตองคํานึงถึงภาวะวิสัยดวยเปนสําคัญ ซึ่งผิดกับวัตถุที่ถูกสรางขึ้นโดยมนุษย สัจจะของมันยอมหาพบไดดวยการมองแบบอัตวิสัยเทานั้นอัตวิสัยจึงใชไมไดกับมนุษยเสมอไป หากแตจะใชไดกับวัตถุเทานั้น

การแสดงแนวคิดเชิงปรัชญาทํานองนี้ ปรากฏแจมชัดในบทละครของซาตรเร่ือง HuisClose (ประตูปด No Exit) ซึ่งถือกันวาเปนงานที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของนักเขียนชาวฝรั่งเศษผูนี้ ขอสรุปจากบทละครเรื่องนี้ใหคําอธิบายถึง นรก ที่ตัวละครทั้งสามไปติดอยูนั้น วามิใชปฏัก หรือกะทะทองแดง ตามคติการตกนรกของคนโบราณแตอยางใด หากเปนเพียงหองสี่เหลี่ยมธรรมดาที่ประตูถูกปดตายไมมีทางออกภายนอกเทานั้น คนทั้งหลายที่ติดอยูกับมัน ตางจองมองคนหาความผิดซึ่งกันและกัน และตองทรมานอยูกับสํานึกอันไมจบส้ินของตน ซึ่งซาตรไดกลาวสรุปวา นรกก็คือผูอ่ืนนั่นเอง หาใชสิ่งใดไม…เพราะนรกในชีวิตก็คือการที่คนอื่นวาดภาพตัวเอง (หรือตัวเองวาดภาพคนอ่ืน) ใหเปนไปตามความนึกคิดของเราหรือของเขาอยูตลอดเวลาในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะการยัดเยียดของผูอ่ืนที่ตัดสินเราและเรามักออนแอเกินกวาจะปฏิเสธ อีกทั้งมนุษยในสังคมตางก็ตองการใหผูอ่ืนเห็นตัวเองเพียงแค “สองมิติ” ดังนั้นเมื่อ ”มิติที่สาม” ปรากฏออกมา นรกจึงกลายเปนผูอ่ืน (ไมใช “เห็นผูอ่ืนเปนนรก”อยางที่เขาใจกัน) มติิที่สามหรือการมองตัวเองผานสายตาของผูอ่ืนก็คือการมองเห็นวาตัวเรามีแบบแผนตายตัว และเราอาจถูกหลอกใหยอมรับการให “คุณคา”ดังกลาว วาเปนคุณคาที่แทจริงของเรา ซึ่งแทที่จริงแลวการกระทําของเรายอมเปนเครื่องบงบอกถึงความตั้งใจเทาๆ กับคําพูดของเราที่ทําใหผูอ่ืนกลาววาเราคิดอยางไร ขอสรุปสุดทายจากบทละครนี้จึงอยูที่วาซารตตองการใหมนุษยยอมรับวาโลกเรามี “ภาวะแหงความไรสาระ” แอบแฝงอยูทั่วไปดังนั้นจะเห็นไดวาละครเรื่องนี้จบลงตรงที่ตัวละครทั้งสามตางตระหนักถึง”ภาวะแหงความไรสาระ” วาคือสภาพที่แทจริงของตน แตก็ไมรูวาจะทําอยางไรดี นอกจากหัวเราะอยางขมขื่นและรอคอยโดยทั้งหมดถูกถายทอดออกมาเปนบทละครที่จบลงในฉากเดียว คือฉากในหองโถงของโรงแรมที่

Page 19: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

10

คอนขางสกปรกและไมมีเครื่องประดับ มีผูแสดงเพียง 4 คน สนทนากัน เร่ืองนี้ถูกพิมพเผยแพรในปค.ศ. 1944 ซึ่งหมายความวา เขียนในระหวางที่ประเทศฝรั่งเศสถูกยึดครองโดยฮิตเลอร จึงนับวาเปนอีกเรื่องหนึ่งที่ซารตเขียนขึ้นตามทรรศนะอัตถิภาวนิยม เพื่อปลุกใจชาวฝรั่งเศสใหกลาตัดสินใจสูระบอบนาซี เพื่อไมใหเปนอุปสรรคในการเผยแพร จึงผูกเรื่องเปนบทละครสําหรับอาน โดยมีการแซ็ง นักหนังสือพิมพชาวบราซิลเดินเขามาในฉาก มีบอยเดินนํามาอยางไรชีวิตชีวา แลวก็ออกไปทิ้งการแซ็งไวตามลําพัง เขาจึงนึกยอนหลังรูวาตนเพิ่งถูกยิงตาย สถานที่นี้จึงนาจะเปนหองหนาประตูนรก เขามีใจนักเลงพอที่จะยอมรับโทษทัณฑตามกรรมที่ไดกอไว บัดดลบอยพามาอีก 2 คนชื่อ เอสเต็ล กับอีเญ็ส พอคุนกันบางแลว ทั้งสามก็ตัดสินใจวาไหนๆ ก็มารวมชะตาเดียวกันแลวควรจะเปดเผยความจริงแกกันและกนั ปรากฏวาทั้งสามมีความผิดอยางเดียวกัน คือ ทรมานใจผูอ่ืน เพราะการแซ็งรักอีเญ็ส อีเญ็สรักเอสเต็ล และเอสเต็ลรักการแซ็ง เมื่อสารภาพผิดแลวก็รูสึกโลงใจ ตางก็ตั้งใจจะอดทนตอกันและชวยเหลือกัน แตก็ไมไดผลดังคาด เพราะความจริงแลวนรกไมใชหองขังหรือลูกกรงเหล็ก นรกคือคนอื่น การที่คนอื่นมองเขาไปในที่ลับล้ีอันนาอับอายของเราอยางไมปราณี นั่นแหละคือนรก การทรมานรางกายแมจะเจ็บปวดสักปานใดก็ยังไมนากลัวเทากับการทรมานใจ ยิ่งในกรณีนี้ดวยแลว ความรักของทั้งสามคนเปนนรกรายกาจของกันและกัน เพราะตางก็ผิดหวังในความรักโดยมีอีกคนหนึ่งเปนสาเหตุ การมองดวยความรักของคนหนึ่งเปนนรกสําหรับคนที่สาม แตละคนอยากหนีคนที่ตนเกลียด แตก็ไมเขยื้อนที่เพราะผูกพันอยูกับอีกคนหนึ่ง การแซ็งเคาะประตูหอง ทันใดนั้นประตูก็เปดอาออก พวกเขาอาจจะออกไปไดอยางเสรี แตก็ไมมีใครกลาตัดสินใจกาวเทาออกไป เพราะไมแนใจวากาวเทาออกไปแลวอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งสามกลับเขาประจําที่เดิมอยางหมดหวัง พวกเขาตองทนอยูกันอยางนี้ตลอดไป โดยทรมานใจตนเองที่อีกสองคนรูความผิดของตน โดยที่คนหนึ่งเกลียดชังและอีกคนหนึ่งเคียดแคน คนทั้งสาม เปนตัวอยางของอัตถิภาวะที่ตกอยูภายใตอิทธิพลของความสําคัญผิดที่เลว เขากลัวสายตาของคนอื่นจนไมอาจเปนตัวเองได เขาไมกลากาวออกจากหองเพราะกลัวจะมีผูรูความผิดของตนมากขึ้น เขาทนอยูในหองตอไปเพราะไหนๆ ก็รูกันแลวและรูเพียง 2-3 คนเทานั้น ดีกวาออกไปเผชิญหนากับสายตาจํานวนนับไมถวน เขาไมกลาตัดสินใจแมกระทั่งในหมูพวกเขาเองเพียงสามคน ไมกลาเผชิญหนาปญหาโดยไมหวาดหวั่นวาใครจะคิดอยางไร ฉันทําดวยความตั้งใจดีก็แลวกัน ใครจะคิดอยางไรก็ชาง ถาแลวาอัตถิภาวะใดกลาตัดสินใจไดเชนนี้และลงมือปฏิบัติดวยบริสุทธิ์ใจ ตนเองจะพนนรก และอาจจะชวยคนอื่นใหพนนรกแบบนี้ไดมากมาย แตทวาทั้ง 3 คนไมใชนักอัตถิภาวนิยม ดังนั้น แมประตูเสรีภาพจะเปดออก ก็ไมมีใครอยากกาวออกไป

Page 20: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

11

อิทธิพลจากแนวความคิดทางปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสมของ ฌอง-ปอล ซารตรความวางเปลาและเสรีภาพ

ถึงแมความวางเปลาที่ติดตัวมนุษยมาแตแรกเกิดนั้นจะเปนสาเหตุของความทุกขของมนุษย แตในอีกแงหนึ่งการที่มนุษยมีความวางเปลาในตัวนั้นก็เปนสิ่งที่ดี เพราะทําใหมนุษยมีอิสระเสรีภาพในการสรางชีวิตใหมีลักษณะตามความตองการของตน แมมนุษยจะสามารถทําบาปไดแตมนุษยก็ไมไดเปนคนบาปหรือมีบาปติดตัวมาแตเกิด ความดีความชั่วทั้งหมด เปนสิ่งที่มนุษยสรางขึ้นมาภายหลังจากมีชีวิตอยูแลว ถาจิตมนุษยไมโปรงใสเพราะมีอัตตาหรือมีลักษณะที่ตายตัวอยางหนึ่งอยางใดอยูภายในแลวมนุษยก็จะไมสามารถสรางสรรคชีวิตใหเปนไปตามความตองการของตนได เพราะสิ่งนั้นจะบังคับมนุษยใหเจริญเติบโตตามลักษณะที่มีอยู เชนเดียวกับตนมะมวงซึ่งตองเติบโตไปตามพันธุของมันที่มีอยูในเม็ดมะมวง การไมมีอะไรติดตัวมาแตเกิดนี้ทําใหไมมีอะไรมาบีบบังคับหรือกําหนดกรอบของความเจริญเติบโตใหแกมนุษย ดังนั้นชีวิตมนุษยจึงมีลักษณะใดก็แลวแตการตัดสินใจของมนุษยเอง เชนเดียวกับดินเหนียวจะมีรูปลักษณะใดนั้นขึ้นอยูกับผูนําไปใช หากผูนั้นเปนศิลปนดินเหนียวที่ดูเหมือนจะไมมีคุณคานั้นก็จะกลายเปนงานศิลปะที่งดงามหาคาไมได

เสรีภาพของมนุษยแสดงออกใหเห็นชัดเจน ในรูปของความสามารถที่มีอยูในตัวมนุษยที่จะปฎิเสธไมยอมรับส่ิงหนึ่งสิ่งใด แมแตตัวเราเอง ในขณะที่เรากําลังนั่งเขียนหนังสืออยูที่โตะทํางาน เรารูวาเรามิไดเปนโตะหรือเกาอี้ เพราะเราสามารถแยกแยะความแตกตางระหวางเรากับสิ่งตาง ๆ ในหองได โดยการปฏิเสธไมยอมเปนสิ่งเหลานั้น ความสามารถนี้เองที่ทําใหเราตั้งคําถามเกี่ยวกับส่ิงแวดลอมรอบตัวเรา หรือแมแตตัวเราได คําถามที่วา “ฉันคือใคร ?”เกิดขึ้น เพราะเราสามารถแยกตัวเราในปจจุบันออกจากการกระทําในอดีต อารมณความรูสึกสัญชาติญาณตาง ๆและสิ่งแวดลอมรอบตัวได เมื่อเราสามารถดึงตัวเองออกจากสิ่งตาง ๆ เหลานี้เราเกิดความสงสัยขึ้นมาวา เราคือใครกันแน สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และวัตถุตาง ๆ ไมสามารถตั้งคําถามเชนนี้ได เพราะทั้งสองส่ิงนี้ไมมีดวงจิตที่สามารถแยกแยะความแตกตางระหวางตนและสิ่งอื่นได ไมมีความสามารถที่จะปฏิเสธตัวเอง และสิ่งแวดลอม

โดยเหตุที่ความวางเปลาและความสามารถที่จะปฏิเสธเปนลักษณะสําคัญของมนุษย ขาพเจาจึงเชื่อวาเสรีภาพเปนพื้นฐานของความเปนมนุษย มนุษยคือเสรีภาพ ความเปนมนุษยและการมีเสรีภาพเปนสิ่งที่แยกออกจากกันไมได ถาปราศจากเสรีภาพแลวมนุษยก็ไมแตกตางอะไรจากกอนหินที่อยูในโลก ในฐานะเปนสวนหนึ่งของโลกเทานั้นเหมือนกับช้ินสวนเฟอรนิเจอรใชประดับหอง ดังนั้นการทําลายเสรีภาพของบุคคลหนึ่งบุคคลใดจึงเทากับเปนการลดทอนบุคคลนั้นใหเปลี่ยนสภาพจากเปนมนุษยไปเปนวัตถุชิ้นหนึ่ง

Page 21: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

12

การที่มนุษยมีความวางเปลาติดตัวมาแตเกิด เพราะไมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดปนเสกมนุษยขึ้นมา พรอมทั้งกําหนดชะตากรรมของแตละคนไวลวงหนาใหมีชีวิตไปตามความตองการของสิ่งศักดิ์สิทธหรือตามชะตากรรมที่กําหนดไวมนุษยเปนสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่สามารถทําตัวเองใหไมเปนสิ่งที่ตัวเองไมเปนอยูไดเพราะมนุษยมีความสามารถที่จะปฏิเสธหรือตัดขาดจากอดีตที่เกิดและสิ้นสุดลงแลว และในขณะเดียวกันมนุษยมีศักยภาพที่จะสรางสิ่งใหม ๆ ใหอุบัติในอนาคตได เมื่อนายแดงเกิดมา นายแดงมีแตความวางเปลา ไมมีลักษณะเฉพาะของการเปนนายแดงติดมาแตเกิดซึ่งนายแดงจะตองเจริญเติบโตไปตามลักษณะนั้น มิฉะนั้นก็จะเปนนายแดงไมได เชนเดียวกับมีดที่ถูกสรางขึ้นมาพรอมกับมีลักษณะเฉพาะตัวติดมาดวย ซึ่งถามีดเลมใดมีลักษณะดังกลาวไมสมบูรณ หรือไมมีลักษณะนั้นเลย ก็ถือเปนมีดบกพรองหรือไมใชมีด นายแดงมีเสรีภาพที่จะสรางแตงชีวิตของตนตามความตองการ การที่ศาสนาหรือวิชาการตาง ๆ พยายามกําหนดลักษณะหนึ่งลักษณะใดที่ตายตัวแนนอนใหแกมนุษย เชนกลาววามนุษยเปนคนบาป มนุษยเปนสัตวมีเหตุผลนั้น เปนสิ่งที่ขัดแยงกับสภาพความเปนจริงของมนุษย การกําหนดลักษณะเชนนี้อาจทําใหเกิดความเขาใจผิดไดวา ”บาป” หรือ “เหตุผล” เปนสิ่งติดตัวมนุษยมาแตเกิด แกไขเปลี่ยนแปลงไมไดถาหากผูใดไมมีสิ่งนี้ ผูนั้นไมเปนมนุษย เราอาจสรางทฤษฎีหนึ่งหรือทฤษฎีใดขึ้นมาอธิบายลักษณะของมนุษยใหเปนไปตามความคิดของเรา แตเราตองไมลืมความจริงวามนุษยนั้นสามารถทําตัวใหอยูเหนือคําอธิบายหรือคําจํากัดความตาง ๆ ไดตลอดเวลา อยางนอยที่สุดเพื่อแสดงใหเห็นวา ตัวเองไมมีลักษณะนั้นอยูในตัว เพราะมนุษยเกิดมาพรอมกับความวางเปลา มีเสรีภาพที่จะปฏิเสธ หรือยอมรับอยูในตัว การที่ขาพเจากลาววา มนุษยคือเสรีภาพนั้น มิไดเปนการกําหนดลักษณะเฉพาะตายตัวแนนอนใหแกมนุษย แตเปนการนําสภาพความเปนจริงของมนุษยออกมาใหเห็นเทานั้น-มนุษยมีความวางเปลา พรอมทั้งความสามารถที่จะรับหรือปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมทั้งตัวเองอยูในตัว ถาหากไมเปนเชนนี้แลว มนุษยก็ตองยอมรับทุกสิ่งทุกอยางที่เกิดขึ้นหรือพบเห็น ไมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนตามความตองการได ขาพเจามิไดปฏิเสธความจริงวา มนุษยแตละคนมีลักษณะเฉพาะตัวไมเหมือนกัน แตชี้ใหเห็นวา ลักษณะเฉพาะตัวดังกลาวนั้นเปนสิ่งที่แตละคนสรางปรุงแตขึ้นมาภายหลังการเกิด และก็เปนสิ่งที่แกไขเปลี่ยนแปลงได

เสรีภาพ จิตใตสํานึก และสัญชาติญาณเสรีภาพที่เปนพื้นฐานของชีวิตมนุษย ปรากฏตัวใหเห็นในรูปของความสามารถที่จะตัดสิน

ใจเลือกมากกวาในรูปแบบอื่น ดวยเหตุผลนี้ เวลาพูดถึงเสรีภาพของมนุษยเราจึงมักพูดถึงเสรีภาพที่สัมพันธกับการเลือกการตัดสินใจของมนุษย ดังนั้น ถาหากมนุษยไมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกสิ่ง

Page 22: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

13

หนึ่งสิ่งใด เราก็คงจะกลาววามนุษยมีเสรีภาพไมได การไมเลือกหรือไมสนใจที่จะเลือก ก็เปนการเลือกอยางหนึ่ง ไมมีทางใดที่เราจะหลีกเลี่ยงจากการตัดสินใจเลือกไดเลย สิ่งเดียวที่มนุษยมิไดเลือกก็คือการมีเสรีภาพติดตัวมาแตเกิด มนุษยไมไดเลือกที่จะเกิดมาเปนสิ่งมีชีวิตที่มีความวางเปลาและเสรีภาพอยูในตัว เราอธิบายไมไดแนนอนวาทําไมมนุษยจึงตองมีสภาวะเชนนี้ นอกจากจะพูดวา เสรีภาพเปนสิ่งตองสาปติดตัวมนุษยมาแตเกิดในการมีชีวิตอยู-ใน-โลก มนุษยสามารถเลือกอะไรก็ไดมนุษยจะเลือกไมใชเสรีภาพที่มีอยูหรือใหมีชีวิตปราศจากเสรีภาพได แตจะเลือกไมใหตัวเองมีเสรีภาพนั้นทําไมได

เสรีภาพในการเลือกนี้ไมใชเปนมายาหรือเปนเรื่องที่เราทักขึ้นมาเองโดยปราศจากความจริง ผูที่กลาววาเสรีภาพเปนสิ่งเพอฝนนั้น นอกจากจะคัดคานตัวเองแลว(ถาเสรีภาพเปนสิ่งเพอฝนจริงแลว การคัดคานหรือโตแยงเกี่ยวกับเสรีภาพนั้นก็เปนเรื่องไรสาระไป) ยังไมยอมรับความจริงอีกดวย เพราะถาหากบุคคลเหลานี้ไรเสรีภาพแลวก็จะพูดไมไดวา เสรีภาพของมนุษยเปนมายา การที่นักวิจารณเหลานี้เชื่อวามนุษยไมมีเสรีภาพไดนั้นก็เพราะพวกเขามีเสรีภาพในการเลือก และการแสวงหาความจริง

โดยเหตุที่มนุษยคือเสรีภาพ ดังนั้น จึงไมมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไมวาจะอยูภายในหรือนอกตัวมนุษย มามีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของมนุษย โดยปราศจากความยินยอมของมนุษยได สําหรับขาพเจาแลว แมแตจิตใตสํานึกเองก็ไมมีอํานาจพิเศษอะไรที่จะมาบงการการตัดสินใจของเราเพราะ “จิตใตสํานึก” เปนเพียง “ขอสมมุติฐาน” อยางหนึ่งที่นักจิตวิทยาวิเคราะหเชนฟรอย(Sigmund Freud) สรางขึ้นมาใชในการบําบัดรักษาจิตทานั้น ไมมีตัวตนอยูจริง ๆ และเปนสมมุติฐานที่ขัดแยงตัวเอง เพราะถาหากจิตใตสํานึกมีจริง เราก็ไมมีทางทราบไดเพราะเปนสิ่งอยูใตสํานึกในวินาทีที่รูวาเรามีจิตใตสํานึก จิตใตสํานึกก็จะไมเปนสิ่งอยูใตสํานึกอีกตอไป การที่ฟรอยดพูดถึงจิตใตสํานึกในทํานองที่มีอํานาจกําหนดพฤติกรรมของมนุษยนั้นทําใหคนจํานวนมากเขาใจผิดเกี่ยวกับสถานภาพและบทบาทที่จริงของจิตใตสํานึกในจิตวิทยาวิเคราะห และมีผลใหหมดความเชื่อเร่ืองเสรีภาพของมนุษยไปในที่สุด

จิตใตสํานึกมีตัวตนอยูจริงหรือไม และมีอํานาจแคไหนนั้น เปนเรื่องที่ยังถกเถียงกันอยูฟรอยดไดชี้ใหเห็นวาจิตใตสํานึกเปนสวนหนึ่งของดวงจิตมนุษย และถึงแมวาเราไมอาจศึกษาจิตใตสํานึกโดยตรงได แตจิตใตสํานึกก็แสดงตัวเองใหเห็นทางออมไดหลายทาง เชน ทางความฝนการพูดพลั้งปากและการกลาวคําหยาบ เปนตน แตถึงแมเราจะยอมรับวาจิตใตสํานึกมีจริง ไมคลอยตามขาพเจาก็มิไดหมายความวา เราตองยอมรับวาชีวิตของเราอยูใตอํานาจของจิตใตสํานึกอยูตลอดเวลา และตัวเราไมมีเสรีภาพในการเลือก ในกรณีคนโรคจิต เราเห็นดวยวาคนไขไมมีเสรี

Page 23: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

14

ภาพในการเลือกที่ขาพเจากลาวถึง แตในคนปกติทั่วไป จิตใตสํานึกมิไดบังคับจิตสํานึก เห็นจะเปนดวยเหตุนี้เองขาพเจาจึงพูดวาจิตใตสํานึกที่ฟรอยดกลาวถึงนั้นไมมีอํานาจเหนือการตัดสินใจของเราจริง จิตใตสํานึกเปนเพียงสวนของจิตที่ซอนเรนอยู และจะกลายเปนจิตสํานึก เมื่อไดรับการกระตุนเทานั้น ความเชื่อวาจิตใตสํานึกมีอํานาจเหนือจิตสํานึก เกิดจากความเขาใจผิดในเรื่องการใชความคิดเรื่องจิตใตสํานึกในจิตวิทยาวิเคราะหเพื่อรักษาคนไขโรคจิต ความมุงหมายสําคัญของการรักษาคนไขโรคจิต คือ ตองการใหคนไขกลับมามีเสรีภาพเชนเดิม สามารถควบคุมความยุงเหยิงตาง ๆ อันเกิดขึ้นในตัวเองไดดวยความสามารถของตน การรักษาจะไมกอใหเกิดผลดังกลาวถาหากคนไขไมรวมมือดวย ดังนั้นถาเรามองดูจิตวิทยาวิเคราะหในแงนี้เราก็จะเห็นวา ถึงแมจิตวิทยาวิเคราะหจะเชื่อวาจิตใตสํานึกมีตัวตนอยู แตจิตวิเคราะหก็ไมไดถือวาเสรีภาพการเลือกเปนมายา ในทางตรงกันขามจิตวิเคราะหเชื่อวาเสรีภาพการเลือกของคนไขมีอยูจริงและมีบทบาทสําคัญในการรักษาคนไขโรคจิตมาก ถาหากคนไขเลือกที่จะไมหาย แพทยก็ชวยอะไรไมได ดังนั้นจะเห็นวาจิตวิทยาวิเคราะหที่ฟรอยดเปนผูบุกเบิกนั้นไมไดปฏิเสธถึงการมีเสรีภาพในการเลือกแตอยางใด

ทํานองเดียวกัน อารมณความรูสึกตางๆ ที่มีอยูในตัวเรา ก็ไมอาจที่จะบีบบังคับเราใหทําอะไรลงไปไดถาหากเราไมยินยอมดวย อารมณนี้จะกลายเปนอารมณของเราได ก็ตอเมื่อเรายอมรับและไปเกาะยึดไวเปนสวนหนึ่ง หรือทุกสวนของตน ดังนั้น อารมณเศราสรอยมีอํานาจทําใหเรารองไหได เพราะเรายอมใหอารมณนี้มีอํานาจดังกลาว เราไมไดควบคุม หรือบังคับอารมณนี้โดยนัยนี้ การที่เรารองไห ไมใชเพราะความเศราบังคับเราแตเพราะเราเลือกที่จะรองไห อันที่จริงแลวอารมณความรูสึกตาง ๆ ไมไดเปนสิ่งที่จู ๆ เกิดขึ้นในตัวเรา และไมไดเปนปฏิกิริยาของเราที่มีตอการกระทําของเพื่อน แตที่จริงแลว เรารูสึกไมสบายใจ เพราะเรารูหรือคิดวาเพื่อไมไวใจเรา ถาหากเราไมรูไมคิดเชนนั้น เราก็คงจะไมมีความรูสึกไมสบายใจเปนแน ดังนั้นการที่เพื่อนจะคิดอยางไรเกี่ยวกับตัวเรานั้น ไมไดเปนสาเหตุที่ทําใหเราไมสบายใจ สิ่งที่เราคิดตางหาก ที่ทําใหเราไมสบายใจ ในทํานองเดียวกัน ความตายของผูอ่ืนก็ไมอาจทําใหเรารูสึกไมสบายใจได เราจะรูสึกไมสบายใจ ก็เพราะเรารูวาผูนั้นตาย และคิดวาความตายนั้นมีความหมายแกเรามากดังนั้นจึงกลาวไดวาในทุกกรณี เราสามารถเลือกความรูสึกไดเชนเดียวกับที่สามารถเลือกความคิดได ความรูสึกทุกขหรือสุขของเรา จึงเปนผลมาจากการเลือกของเราเองมากกวาปจจัยอื่น

สัญชาติญาณตาง ๆ ในตัวเรานั้น ก็เปนไปในทํานองเดียวกัน สัญชาติญาณเหลานี้ไมสามารถมีอํานาจเหนือเราโดยปราศจากการยินยอมจากเรา มนุษยมีเสรีภาพที่จะเลือกวา จะยอมใหสัญชาติญาณใดมามีอํานาจเหนือตนในเวลาไหนบาง การที่เราตองดิ้นรนตอสูใหมีชีวิตอยูไดใน

Page 24: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

15

วันวันหนึ่งนั้น ไมใชเพราะเราตองทําตามสัญชาติญาณการมีชีวิตอยู แตเปนเพราะเราตองการมีชีวิตอยู เราจึงเลือกการมีชีวิตอยูมากกวาความตาย ถาหากเรากําลังเผชิญหนากับสัตวรายในปาเราก็สามารถเลือกใหสัตวนั้นทําอันตรายเราหรือจะหนีเอาตัวรอด ถาหากเราวิ่งหนีก็เพราะเราตัดสินใจทําเชนนั้น มิใชเพราะเราถูกบีบบังคับโดยสัญชาติญาณ ในทํานองเดียวกัน เมื่อเราหิว เราก็ไมจําเปนตองกินอาหารเพื่อใหมีชีวิตอยูได เราอาจเลือกที่จะอดอาหาร และใชการอดอาหารนี้เปนวิธีการตอสูทางการเมืองได ถาหากสัญชาติการมีชีวิตอยูมีอํานาจเหนือเราจริง เราก็คงจะทําเชนนี้มิได การที่เราสามารถอดขาวไดนั้น แสดงใหเห็นวามนุษยไมไดเปนทาสของสัญชาติญาณอยางที่เขาใจกัน แมแตสัญชาติญาณทางเพศก็ไมอาจบังคับเราใหทําตัวตามได ถาหากเราไมเห็นดวยและยอมทําตาม ถาหากมนุษยตองตกอยูในอํานาจของสัญชาติญาณนี้แลว ชีวิตมนุษยก็คงไมแตกตางอะไรจากชีวิตของสัตว เชนเต็มไปดวยการแยงชิง ”คู” และหมกมุนการเสพสม ไมสามารถสรางความเจริญกาวหนาอะไรใหแกสังคมและโลกที่อยู

เสรีภาพ อนาคต และอดีตอนาคตเปนสวนสําคัญของชีวิตมนุษย เพราะเปนศักยภาพของมนุษยที่จะสรางชีวิตของ

ตน เสรีภาพที่เกิดมาจากความวางเปลาของชีวิตมนุษย ทําใหมนุษยแตละคนตองสรางอนาคตของตนขึ้นมาดวยความสามารถของตนเอง ไมมีใครจะสรางอนาคตแทนกันได เราสรางอนาคตขึ้นมาโดยการตัดสินใจเลือกประเภทของชีวิตที่เราตองการจะมี แลวกําหนดสิ่งหนี้ไวเปนเปาหมายของชีวิตจากนั้นก็พยายามทําทุกอยางใหบรรลุเปาหมายนั้น แตทั้งนี้มิไดหมายความวา อนาคตหรือเปาหมายของชีวิตที่กําหนดไวนั้นจะมีอํานาจเหนือการกระทําในปจจุบันอยูในตัว บังคับเราใหเลือกตัดสินใจ และทําตามเปาหมายดังกลาว เนื่องดวยมนุษยมีเสรีภาพที่จะปฏิเสธหรือยอมรับอยูในตัวอยูแลว ดังนั้นเราอาจเปลี่ยนเปาหมายชีวิตไดอยูเสมอ โดยปฏิเสธเปาหมายที่ตั้งไวแลว และพรอมกันนั้นก็สรางเปาหมายใหมขึ้นแทนที่

อดีตเปนสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแลว มนุษยทุกคนตองมีอดีต และไมสามารถทําลายอดีตของตนไดเลยไมวาตนจะชอบหรือไม แตทั้งนี้มิไดหมายความวา อดีตมีอํานาจปนชีวิตเราในปจจุบันได เราเคยเปนอยางไรในอดีต ก็ตองเปนเชนนั้นตลอดไป จะแกไขเปลี่ยนแปลงอะไรไมไดเราตองไมลืมวาในฐานะที่เปนมนุษย เรามีเสรีภาพที่จะปฏิเสธหรือยอมรับอดีต กระทั่งนิสัยหรือความเคยชินที่เชื่อมอดีตกับปจจุบันได นิสัยเปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือแกไขได อํานาจที่ดูเหมือนอดีตมีอยูนั้น เปนอํานาจที่ตัวเราในปจจุบันเปนผูมอบใหตางหาก โดยการยอมรับวาเปนอดีตของเรา ไมใชของผูอ่ืนและนําอดีตนั้นมาเปนสวนหนึ่งของชีวิตในปจจุบัน และอนาคต ในความหมายนี้

Page 25: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

16

อดีตจะมีอํานาจมากนอยเพียงใดขึ้นอยูกับการตัดสินใจของเราในปจจุบันมากที่สุด ดวยเหตุนี้เราจึงอาจพูดไดวา เราเปนผูเลือกอดีต ไมใชอดีตเปนผูปนชีวิตเรา การแตงงานในอดีตมีความสําคัญแกตัวเราในเวลานี้ก็เพราะเราตัดสินใจเลือกที่จะยอมรับการแตงงานนั้น และถือเปนสวนสําคัญของชีวิตเรา เราอาจยอมตัดสินใจเลิกลมการแตงงาน และละทิ้งพันธะตาง ๆ ในเวลาใดก็ได

เสรีภาพ และสิ่งแวดลอมมนุษยตองอยูในสิ่งแวดลอมต้ังแตเกิดจนตาย สิ่งแวดลอมมีทั้งสิ่งที่มนุษยสรางขึ้นมา และ

ที่มีอยูแลวในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมทั้งสองประเภทนี้อยูนอกจิตมนุษยและมีลักษณะเฉพาะของตนเอง เปนปจจัยสําคัญที่ทําใหชีวิตมีลักษณะเปนรูปธรรมขึ้น ไมลอยควางกลางอากาศหากไมมีสิ่งแวดลอมตาง ๆ แลว เสรีภาพของมนุษยก็จะไมมีความหมายอะไร เพราะเราจะตัดสินใจหรือเลือกอะไรในความวางเปลาไมได คําพิพากษาตอนักโทษที่ตองการการหลุดพนจากคุกจะไมมีความหมายอะไร ถาหากเขาไมสมัครใจยอมรับโทษทัณฑ และถาหากไมมีคุกไวเปนเครื่องกีดขวางเสรีภาพ

โดยเหตุที่สิ่งแวดลอมมีความสําคัญเชนนี้ เราจึงชอบคิดวาสิ่งแวดลอมมีอํานาจตอการตัดสินใจของเราในปจจุบัน ในความเปนจริงแลว การที่สิ่งแวดลอมมีอํานาจเชนนี้ไดก็เพราะเราเลือกใหเปนเชนนั้น โดยลําพังตัวเองแลว สิ่งแวดลอมตาง ๆ ไมวาจะเปนสิ่งแวดลอมทางสังคม หรือธรรมชาติ ไมสามารถเปนอุปสรรคแกผูใดได ถาหากเราเปนเสมียนจน ๆ ในกรุงเทพฯ และตัดสินใจไปเที่ยวนิวยอรก ในประเทศสหรัฐอเมริกา สถานที่อยูและฐานะทางสังคมของเราก็จะเปนอุปสรรคกีดขวาง ไมใหเราเดินทางไปนิวยอรกได อุปสรรคนี้เกิดมีขึ้นก็เพราะเราเลือกที่จะไปนิวยอรกแทนการอยูในกรุงเทพฯ ซึ่งถาหากเราไมมีแผนการไปเที่ยวนิวยอรก สิ่งแวดลอมดังกลาว ก็จะไมกลายเปนอุปสรรคแตอยางใด หรือเมื่อเรามองเห็นภูเขาสูงขวางกั้นการเดินทางของเรา เราก็คิดวา ภูเขาลูกนั้นเปนอุปสรรคตอการเดินทางของเรา ทวาภูเขาลูกนั้นจะไมเปนอุปสรรคเลย และความยากลําบากในการไตเขาก็จะไมเกิดขึ้น ถาหากเราตัดสินใจนั่งอยูในบาน ไมเดินทางไปไหน ดวยเหตุนี้ซารตรจึงถือวา เสรีภาพของมนุษยอยูเหนือส่ิงแวดลอมเสมอ ผูที่ยอมเปนทาสของสิ่งแวดลอม ยอมใหสิ่งแวดลอมกําหนดชะตากรรมใหแกชีวิตของตน สิ่งแวดลอมเปนอยางไร ชีวิตก็เปนอยางนั้นยอมไมมีศักดิ์ศรีของมนุษยเหลืออยู ทําตัวดุจวัตถุชิ้นหนึ่งในธรรมชาติ ซารตรไมเชื่อในขอที่วา สิ่งแวดลอมจะปนแตงชีวิตมนุษยไดเอง เพราะมนุษยสามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดลอมได และเปนผูกําหนดคุณคาหรือความหมายใหแกสิ่งแวดลอม ความสามารถนี้ของมนุษย ทําใหมนุษยอยูเหนือส่ิงแวดลอมและใชสิ่งแวดลอมเพื่อประโยชนของตนได โดยลําพังตัวเองแลว สิ่งแวดลอมมี

Page 26: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

17

สภาวะเปนกลาง คือไมเปนทั้งอุปสรรคและปจจัยสนับสนุนการกระทําของมนุษย หากมนุษยไมตัดสินใจทําอะไรแลว สิ่งแวดลอมก็เปนเพียงสิ่งแวดลอมเทานั้น ไมมีอํานาจใดเหนือมนุษย

ในทํานองเดียวกัน สิ่งแวดลอมทางสังคม เชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎเกณฑขอบังคับ และสัญญาณจราจรตาง ๆ โดยตัวเองแลว สิ่งเหลานี้ไมมีอํานาจอะไรที่จะมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของเรา คําสั่ง “หามเขา” หรือ “หามเดินลัดสนาม” จะมีความหมายไดก็ตอเมื่อเรายอมรับและปฏิบัติตาม ถาหากเราเลือกที่จะไมเชื่อฟง คําสั่งนั้นก็ไมมีความหมายอะไร เปนเพียงตัวอักษรที่อยูบนแผนปายเทานั้น ระบบของสังคมก็เชนเดียวกัน เราไมจําเปนตองอยูในระบบของสังคมใดที่เราไมชอบ แมแตในระบบการปกครองของทรราช เราก็ยังมีทางเลือก เชน เลือกที่จะอยูภายใตการปกครองระบบนี้ หรือเลือกที่จะยายไปอยูที่อ่ืน แมวาการกระทําตามการตัดสินใจจะยากลําบากหรือแทบจะเปนไปไมได แตการที่เราสามารถเลือกไดนั้นเปนสิ่งสําคัญมากกวา

การที่ซารตรปลุกใหเราตระหนักถึงเสรีภาพที่เรามีอยูแตเกิด เนนใหเราเปนผูเลือกและตัดสินใจเองทุกสิ่งทุกอยาง ไมยอมปลอยใหตัวเองเปนเครื่องมือของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น มิไดหมายความวา ซารตรตองการใหเกิดความปนปวนในสังคมมนุษย ใหทุกคนทําตามใจชอบ สําหรับซารตรแลวเสรีภาพกับความรับผิดชอบยอมแยกออกจากกันไมได การแสดงออกของเสรีภาพไมมีความรับผิดชอบติดตามมานั้นเปนสิ่งที่ไมมีคุณคาอะไร ปรัชญาเอกซิสเตนเชียลลิสมของซารตรจึงมิไดเปนแตเพียงปรัชญาที่สงเสริมเสรีภาพของมนุษยเพียงอยางเดียวดังที่นักวิจารณหลายคนเขาใจผิด

เสรีภาพและความรับผิดชอบ“ความรับผิดชอบ” คือการยอมรับวาตนเองเปนผูทําสิ่งใดลงไปและเต็มใจรับผลการกระทํา

นั้น การใชเสรีภาพดวยความรับผิดชอบยอมกอใหเกิดการสรางสรรคมากกวาการทําลาย เมื่อเรามีความรับผิดชอบ ยอมกอใหเกิดการสรางสรรคมากกวาการทําลาย เมื่อเรามีความรับผิดชอบตอตัวเอง เราก็ไมยอมใหสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาปนแตงชีวิตของเรา ในทางตรงขาม เราพยายามใหชีวิตของเราเปนชีวิตของเสรีภาพ ชีวิตที่เราไดเลือกไดตัดสินใจเองทุกระยะ เปนชีวิตที่เปนผลจากการกระทําดวยความตั้งใจของเรา ไมใชจากอุบัติเหตุหรือความบังเอิญใด ๆ การกลาวอางวา ชีวิตมนุษยเปนทาสของอารมณความรูสึกสิ่งแวดลอมตาง ๆ หรือเปนทาสของอารมณความรูสกึสิ่งแวดลอมตาง ๆหรือเปนเรื่องของ “พรหมลิขิต” หรือ “ดวงดาว” ตาง ๆ นั้น เปนการกลาวแกตัวของคนที่ไมมีความรับผิดชอบตอชีวิตของเอง และตองการใหสิ่งอื่นมาทําหนาที่รับผิดชอบแทน

Page 27: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

18

บางคนอางวา เราจะรับผิดชอบตอตัวเองไดอยางไรในเมื่อเราไมไดเลือกการเกิด และอนาคตก็เปนสิ่งที่เปดกวางจนเราไมรูวาจะเปนอยางไรแน อีกทั้งการเกิดและอนาคต ดูเหมือนจะเปนสิ่งนอกเหนือจากอํานาจการตัดสินใจของเรา

โดยเหตุที่การเกิดเปนสิ่งที่เราเลือกไมได บางคนจึงเชื่อเราไมควรรับผิดชอบตอการเกิดของเรา เราควรรับผิดชอบตอส่ิงที่เราตัดสินใจเลือก และลงมือกระทําเองความคิดเชนนี้เปนการมองดูการเกิดในแงหนึ่งเทานั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ เราอาจมองดูการเกิดไดอีกแงหนึ่ง คือการเกิดเปนความรับผิดชอบของเรา เพราะลําพังตัวของมันเองแลว สภาพที่เราเกิดมาไมมีความหมายอะไรเราเปนผูมอบความหมาย ความสําคัญตาง ๆ ใหดวยการยอมรับวาการเกิดนั้นเปนการเกิดของเรา พรอมทั้งเลือกใหทัศนคติตอการเกิดนั้น สมมุติวาเราเกิดมาพรอมดวยรางกายพิกลพิการสิ่งนี้มิไดทําใหเสรีภาพในการเลือกของเราหายไป เราเลือกทัศนคติไดวาจะมองดูความพิการในแงไหน แตเราจะทําเชนนี้ไดก็ตอเมื่อเรายอมรับวาความพิการนั้นเปนความพิการของเรา ไมใชของผูอ่ืน หากเราไมตองการใหความพิการนั้นเปนความพิการของเรา เราก็มีทางเลือกทางอื่น เชน เลือกจะฆาตัวตาย แมการฆาตัวตายจะไมใชทางเลือกของคนทั่วไป กระนั้นก็เปนทางเลือกทางหนึ่ง ดังนั้น การที่เวลานี้เรามีความพิการติดตัวอยูแสดงวาเราเลือกที่จะเปนคนพิการ ดวยเหตุนี้ เราจึงไมอาจนําเอาความพิการนั้นมาเปนขอแกตัวใด ๆ ได ในทางตรงขาม เราตองพยายามดิ้นรนตอสูสรางสรรคชีวิตของเราโดยไมทอถอย หรือบนวาตําหนิสภาวะเชนนี้ที่ติดตัวมาแตเกิด ถึงแมวาไมมีใครเลือกเกิดไดตามใจชอบแตเมื่อเกิดมาแลว เรามีเสรีภาพที่จะเลือกทัศนคติที่มีตอการเกิดนั้นและใชการเกิดใหเปนประโยชนได ชีวิตจะเปนไปในลักษณะใด ขึ้นอยูกับการตัดสินใจและการกระทําของเราในปจจุบันมากกวาสิ่งอื่นใด

ในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตนั้น ถึงแมวา อนาคตจะมีลักษณะเปดกวาง กําหนดใหตายตัวแนนอนไมได แตอนาคตก็เปนศักยภาพของเราที่จะปนแตงชีวิตใหมีความหมาย การตัดสินใจหรือการกระทําแตละครั้งของเราในปจจุบัน มีสวนในการกําหนดทิศทางและลักษณะของชีวิตที่เราจะมีตอไปในภายภาคหนา ดังนั้นเราจึงตองรับผิดชอบตออนาคตของเราอยางเต็มที่

ดวยเหตุนี้การมีชีวิตอยูในโลก จึงไมใชสิ่งที่ทําไดงาย-ปลอยตัวเองใหลองลอยไปตามกระแสเวลา เชนเดียวกับผักตบชวาในแมน้ํา ผักตบชวาจะมีลักษณะเชนไร หรือเนาเปอยไปเมื่อใดนั้น ก็แลวแตธรรมชาติ ชีวิตมนุษยที่มีความวางเปลาและเสรีภาพเปนพื้นฐานนั้น เปนชีวิตที่ประกอบไปดวยการตัดสินใจเลือก การกระทําและความรับผิดชอบอยูตลอดเวลา ไมใชชีวิตซึ่งปลอยไปตามโชคชะตากรรม นอกจากเราจะตองรับผิดชอบตออดีต ปจจุบัน และอนาคตของตัวเองอยางเต็มที่แลว ในฐานะที่เราอยูในสังคมและโลก เรายังตองรับผิดชอบตอสวนรวมและโลกที่

Page 28: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

19

อยูอีกดวย การตัดสินใจและการกระทําแตละครั้งของเรา ไมวาจะเปนเรื่องสวนตัวเพียงใด เชน การตัดสินใจแตงงาน หรือตัดสินใจสูบบุหร่ี ยอมมีผลกระทบกระเทือนตอผูอ่ืนและโลกไมมากก็นอยการที่เราตองรับผิดชอบตอสวนรวมดวยก็เพราะการมีชีวิตอยูในโลกนั้น เราไมไดอยูคนเดียว เราตองอยูในโลกรวมกับผูอ่ืนถึงแมวาการอยูรวมกับผูอ่ืนนี้จะกอใหเกิดปญหาตาง ๆ มากมาย แตเราก็ตองยอมรับวาผูอ่ืนก็เปนมนุษย และอยูในโลกเดียวกับเรา ดังนั้นเราจึงตองรับผิดชอบตอผลการกระทําของเราที่มีตอผูอ่ืนดวย เราจึงตองรับผิดชอบตอผลการกระทําของเราที่มีตอผูอ่ืนดวย เราตองรับผิดชอบตอโลก เพราะโดยลําพังตัวเอง โลกมิไดมีความสําคัญหรือความหมายอะไร เปนเพียงสถานที่อยูของมนุษย สัตวและสิ่งตาง ๆ เทานั้น โลกจะดีหรือเลว หรือจะเปนอยางไรนั้น แลวแตวามนุษยจะตัดสินใจและทําอะไรลงไปบาง เราทุกคนแบกโลกที่อยูไวบนบา ไมมีใครสามารถปลดเปลื้องความรับผิดชอบนี้ไปจากตัวมนุษยได ดังนั้น ถาหากโลกที่เราอยู อยูในภาวะสงครามไมวาสงครามนั้นจะเกิดขึ้นในสวนใดของโลกก็ตาม เราทุกคนมีสวนรับผิดชอบในสงครามนั้นทั้งสิ้นในสงคราม ไมมีผูใดบริสุทธิ์ ทหารที่ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอางวาไปรบเพราะถูกเกณฑนั้นเปนขอแกตัวที่ฟงไมขึ้น การที่ทหารผูนั้นอยูในสนามรบ แสดงใหเห็นวา เขาตัดสินใจทําสงครามเขาเลือกชีวิตแบบนั้น เขายังมีทางเลือกทางอื่นอีกหลายทาง เชน หนีทหาร หรือฆาตัวตาย

โดยเหตุที่เสรีภาพหมายถึงความรับผิดชอบอันใหญหลวง-การรังสรรคปนแตงชีวิตของตนเองและการแบกสังคมและโลกอยูบนบา ดังนั้น ในบางครั้งเราจึงมักรูสึกกระวนกระวายใจและประหวั่นพรั่นพรึง ความรูสึกนี้ไมใชเกิดจากความหวาดกลัว เพราะไมมีวัตถุที่ทําใหหวาดกลัว เชนเสือ หรือเร่ืองราวที่นาหวาดกลัวทั้งหลาย แตเกิดขึ้นจากการที่เรารูตัวดีวาเราคือเสรีภาพ เราสามารถเลือกและกระทําอะไรที่มิเคยคาดคิดมากอนได ไมวาการกระทํานั้นจะสมเหตุสมผลหรือไมก็ตาม ดวยเหตุนี้เวลาที่ตองตัดสินใจทําอะไรสักอยางหนึ่งหรือเวลาอยูคนเดียวเราจึงมักพูดวา“กลัวตัวเอง” ซึ่ง “ตัวเอง” ที่พูดถึงนี้คือดวงจิตที่เปยมไปดวยเสรีภาพ เวลาเรายืนอยูบนชะงอนผาคนเดียวและมองลงไปขางลาง เรามักจะรูสึกกระวนกระวายใจ เพราะเรารูดีวาเราอาจตัดสินใจทําสิ่งที่ไมสมควรทําได เชน พุงตัวเองลงไปขางลาง ในทํานองเดียวกัน เจาสาวที่กําลังรอคอยเจาบาวในพิธีแตงงานก็อาจรูสึกกระวนกระวายใจได เพราะรูดีวาเจาบาวมีเสรีภาพที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจได ความรูสึกกระวนกระวายใจและประหวั่นพรั่นพรึงนี้เปดเผยใหเราเห็นสิ่งที่ไมอาจเห็นไดดวยวิธีอ่ืน-เสรีภาพเปนพื้นฐานของมนุษย ความรูสึกเชนนี้เปนสิ่งที่หลีกหนีหรือซอนเรนมิได ยิ่งเราพยายามทําเชนนั้น เราก็ยิ่งรูสกึกระวนกระวายใจมากขึ้น อันที่จริงการเผชิญกับความรูสึกนี้ก็เปนสิ่งดี เพราะทําใหเรารูสภาพแทจริงของตนเอง ดังนั้น จึงสามารถเปนตัวของตัวเองได โดยทั่วไปเรา

Page 29: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

20

มักจมตัวลงไปในชีวิตประจําวัน สนใจและเอาใจใสเร่ืองจุกจิกตาง ๆ ของชีวิต และความรื่นรมยบันเทิงใจตาง ๆ สิ่งเหลานี้สามารถทําใหเราลืมตัวและสภาพแทจริงของตนเองได

เนื่องดวยเสรีภาพแยกไมออกจากความรับผิดชอบอันใหญหลวง ความกระวนกระวายใจและประหวั่นพรั่นพรึงดังนั้นคนจํานวนมากจึงยอมละทิ้งเสรีภาพที่มีอยู ทําตัวเองใหเปนวัตถุหนึ่งวัตถุใดในธรรมชาติ หรือยอมใหสิ่งตาง ๆ ปนแตงชีวิตของตนแทน เราสามารถละทิ้งเสรีภาพไดเพราะเราคือเสรีภาพ ดังนั้นเสรีภาพที่เปนพื้นฐานของชีวิตมนุษยจึงสามารถทําใหมนุษยสูงสงหรือต่ําตอยก็ไดดวยเสรีภาพมีลักษณะทั้งสรางสรรคและทําลาย เสรีภาพชวยเชิดชูมนุษยใหสูงขึ้นเพราะเสรีภาพแยกมนุษยออกจากทุกสิ่งทุกอยางในธรรมชาติ ทําใหมนุษยสามารถปรับปรุงตัวเองใหเดนเหนือส่ิงตาง ๆ ไดดวยการพุงตัวเองไปขางหนาอยูตลอดเวลา ไมปลอยใหตัวเองไหลลอยตามกระแสของกาลเวลา ในขณะเดียวกัน เสรีภาพก็สามารถดึงมนุษยใหต่ําลงได กระทั่งมีฐานะเปนเพียงวัตถุหนึ่งในธรรมชาติเทานั้น เสรีภาพสามารถทําใหมนุษยละทิ้งเสรีภาพที่มีอยูไดดวยการไมสนใจเอาใจใสเสรีภาพที่มีอยูและดวยการไมใชเสรีภาพนั้นสรางความหมายใหแกชีวิตสังคมและโลก การหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเปนสิ่งที่เกิดขึ้นอยูเสมอ ทั้ง ๆ ที่ในที่สุดแลว ความรับผิดชอบเปนสิ่งซึ่งไมมีใครหลีกหนีได เราตองรับผิดชอบตอการไมรับผิดชอบของเรา

การปฏิเสธเสรีภาพและความรับผิดชอบที่ควบคูอยูแสดงออกในรูปของความเชื่อวามนุษยแตละคนมีลักษณะหนึ่งลักษณะใดติดตัวอยูในตัว และไมสามารถเปลี่ยนลักษณะ หรือสภาวะนั้นได เชนเดียวกับโตะซึ่งไมอาจจะเปลี่ยนแปลงลักษณะหรือสภาวะนั้นได หรือนิโกรไมอาจมีผิวสีขาวได ความเชื่อและการกระทําตามความเชื่อเชนนี้ขัดตอสภาวะที่แทจริงของมนุษย เพราะมนุษยมีความสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไดเสมอ ไมจําเปนตองผูกตัวเองเขากับลักษณะหนึ่งใดโดยเฉพาะตลอดไป ผูที่เชื่อวาตัวเองเปนเกยโดยธรรมชาติ คือเกิดมาก็เปนเกยแลวปฏิเสธที่จะยอมรับความรับผิดชอบตัวเอง โดยการโยนความรับผิดชอบนั้นใหแกกรรมพันธุ หรือส่ิงแวดลอม เปนผูไมยอมรับสภาพแทจริงของตน พยายามเปนสิ่งที่เขาไมเปน ในขณะเดียวกัน ผูที่ปฏิเสธวาเขาเปนเกยทั้ง ๆ ที่ยอมรับวาตนเองเคยมีการกระทําของเกยมาแลวก็จัดไดวา เปนคนขาดความจริงใจอีกเชนกัน เพราะเขาปฏิเสธการกระทําของตนในอดีต ไมยอมรับวาการกระทํานั้น เปนการกระทําของตน-เปนสวนหนึ่งของชีวิตของตนที่เปลี่ยนแปลงไมไดแลว อดีตเปนสิ่งที่เขาตองยอมรับเพราะเปนเรื่องที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแลว แตความหมายของอดีตเปนเรื่องที่เขาจะตองเปนผูเลือกเอง ดังนั้นสิ่งที่เขาควรทําใหสมกับที่เปนมนุษยก็คือ ยอมรับความจริงวาเขาเคยมีพฤติกรรมเชนเกยมาแลว และการที่เขายังคงเปนเกยอยูในเวลานี้ ก็เพราะเขาตัดสินใจเปนเอง และเขาอาจเลิกการตัดสินใจเชนนี้เมื่อใดก็ได เขามีเสรีภาพที่จะยอมรับหรือปฏิเสธสภาพใด ๆ ของตน

Page 30: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

21

เราอาจสรุปไดวา ปรัชญาเอกซิสเตนเชิยลลิมสของซารตรเนนความสําคัญถึงความรับผิดชอบของมนุษยมากไมไดเปนปรัชญาที่สอนคนใหทําอะไรตามใจชอบ และกอกวนสังคมใหวุนวายซารตรมิตองการใหเราตอตานคําสั่งของผุมีอํานาจหรือละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีตาง ๆ เพียงเพื่อจะไดชื่อวาเปนนักตอตานหรือนักปฏิวัติสังคมเทานั้น ซารตรไมตองการใหสังคมวุนวายเพราะแตละคนทําตามใจชอบ แตในขณะเดียวกัน ก็ตองการใหคนในสังคมมีเสรีภาพมากขึ้น ใหสมกับที่ไดเกิดมาเปนมนุษยปรัชญาเอกซิสเตนเชีลลิสมไมตองการใหเราเคารพบูชากฏระเบียบตาง ๆ ของสังคมราวกับเปนคัมภีรศักดิ์สิทธิ์แตตองการใหคนแตละคนเลือกเองวาจะทําตามคําสั่งหรือกฏเกณฑตาง ๆ เหลานี้สรางขึ้นมาเพื่อทําลายเสรีภาพของมนุษย เราก็ควรตอตานเพื่อใหคนในสังคมมีชีวิตเยี่ยงอิสระชน มีเสรีภาพในการเลือกมากขึ้น

เสรีภาพและขอบเขตจํากัดไมเปนที่สงสัยเลยวา ปรัชญาเสรีภาพของซารตรมีขอบกพรองอยูบาง โดยเฉพาะอยางยิ่ง

ในเรื่องเกี่ยวกับส่ิงจํากัดเสรีภาพของมนุษย ซารตรถือวามนุษยคือเสรีภาพไมมีอะไรสามารถจํากัดเสรีภาพของมนุษยไดโดยปราศจากความยินยอมของมนุษย สิ่งตาง ๆ เชน ภูเขา เปนอุปสรรคกีดขวางเรา เพราะเราเลือกใหสิ่งเหลานี้เปนอุปสรรค หรือชวยใหเราบรรลุเปาหมายที่กําหนดไวแตอยางใด เราคงจะตองยอมรับความจริงวาลักษณะความเปนอุปสรรคของภูเขาแสดงออกใหเห็นเดนชัด เมื่อเราตัดสินใจปนไตภูเขา แตความสูงชัน ความลื่นของภูเขาและแรงดึงดูดของโลกที่มีตอรางกาย ตลอดจนลักษณะกลามเนื้อที่เรามีอยูที่แขนขาเปนสิ่งที่เราเลือกไมได สิ่งที่ทําใหการไตภูเขาลําบาก เชน ความสูงชันของภูเขา ฯลฯ ไมไดเกิดจากการตัดสินใจของเราเลยแตเปนสวนหนึ่งของภูเขาที่เราเลือกไมได ไมวาเราจะตัดสินใจปนไตภูเขาหรือไม ความสูงชันของเขาก็มีอยูนั่นเองในทํานองเดียวกัน ไมวาเราจะคิดอยางไรหรือเลือกอะไร เพดานบานก็สูงอยูดี ความสูงหรือความต่ําเปนลักษณะที่มีอยูในตัวของสิ่งนี้ เราเลือกไมได นอกจากนั้น ในชีวิตจริงแลว สิ่งแวดลอมทางธรรมชาติและที่เราสรางขึ้นสามารถเปนอุปสรรคขัดขวางและจํากัดเสรีภาพในการเลือกและตัดสินใจของเราได เวลาที่เราสามารถจะทําอะไร เราจําเปนตองคํานึงถึงสิ่งตาง ๆ เหลานี้ดวยมิฉะนั้นเราอาจไมสามารถทําตามความตองการได สภาวะรางกายและสถานการณชีวิตก็เปนอีกปจจัยหนึ่งที่จํากัดเสรีภาพของเรา หากเราเปนคนพิการ เราก็จะไมตัดสินใจทําสิ่งที่คนมีรางกายสมบูรณทําไดเชนปนเขาหรือตอยมวย สภาพตาง ๆ ของรางกายมีอิทธิพลตอการตัดสินใจของเราดวยไมนอยเมื่อรางกายเราเหนื่อยออนหมดแรงเราก็อาจตองตัดสินใจนั่งพักแทนที่จะเดินตอไป รางกายจํากัดเสรีภาพในการเลือกของเราเสมอ ทุกเวลาเราตองการอยูในสถานที่หนึ่งสถานที่ใด แมวาเราจะ

Page 31: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

22

เปลี่ยนสถานที่อยูได แตเราก็ไมอาจเลือกไมใหตัวเองไมอยูในสถานที่หนึ่ง หรือใหคัวเองอยูในทุกสถานที่ในเวลาเดียวกันได นักโทษไมอาจที่จะเลือกเดินออกไปนอกคุกได และแมวาโสเภณีจะเลือกกลับตัวได แตจะเลือกใหเปนคนบริสุทธิ์ผุดผองมีสภาพกอนเปนโสเภณีไมไดเด็ดขาด ในทํานองเดียวกัน คนจนอาจเลือกที่จะยอมรับ หรือปฏิเสธความยากจนของตน แตไมอาจเลือกทําทุกสิ่งที่คนรวยเทานั้นจะทําได

การที่ซารตรเชื่อวาเสรีภาพไมมขีอบเขตจํากัด เพราะซารตรเนนเสรีภาพในการเลือกแตอยางเดียว ไมนึกถึงความสามารถที่จะทําตามการตัดสินใจเลือกควบคูไปดวยดังนั้นในนัยนี้แมแตนักโทษที่ไมมีทางหนีจากคุกไดก็ยังคงมีเสรีภาพ เพราะสามารถเลือกไดวาจะยอมรับ หรือปฏิเสธสภาพการเปนนักโทษ หรือเลือกทัศนคติที่มีตอสภาพนั้นได ในชีวิตจริงแลว เราคงตองยอมรับวาเสรีภาพจะไมมีความหมายอะไรถาหากเราไมสามารถทําตามการตัดสินใจได เสรีภาพในการเลือกอยางเดียว โดยไมตามดวยการกระทํา ยอมมีลักษณะเหมือนกับความเพอฝน แผนการของนักโทษที่จะหนีคุก จะเปนแผนการที่วางเปลา ไมมีความหมายใด ถาหากไมมีการทําตามแผนการนั้น ถาหากเราถือวาเสรีภาพและความสําเร็จเปนสิ่งคูกันเราก็อนุมานไดวาเสรีภาพของมนุษยมีขอบเขตจํากัด เสรีภาพในการเลือกนั้นอยูในขอบเขตอํานาจของเราเอง จึงไมมีอะไรจะมากีดกันได แตในทางตรงขาม ความสําเร็จที่จะทําตามการตัดสินใจขึ้นอยูกับปจจัยตาง ๆ นอกตัวเรา ดังนั้นเสรีภาพที่จะทําไดตามความตองการจึงมีขอบเขตจํากัด

ซารตรเองมองเห็นความสําคัญของสถานการณชีวิตและสิ่งแวดลอม ทั้งยอมรับภายหลังวาสถานการณชีวิตสามารถทําใหการเลือกของมนุษย ไมเปดกวางมากเทาที่ควร แตอยางไรก็ตามซารตรก็ยังยืนยันเหมือนเดิมวามนุษยคือเสรีภาพ แมแตในเวลาที่มนุษยไมสามารถแกไขสถานการณใดได มนุษยก็สามารถจะยอมรับหรือปฏิเสธสถานการณนั้นไดอยูดี ไมมีอะไรจะทําลายเสรีภาพนี้ของมนุษยไดแมแตความตาย เพราะความตายไมใชสวนหนึ่งของชีวิต ความตายเปนสิ่งตรงขามกับชีวิต

ปรัชญาของซารตรกระตุนเตือนใหเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ปลุกเราใหตื่นขึ้นจากความหมดหวังและความหมดอาลัยตายอยากในชีวิต อันเกิดจากความเชื่อที่วา เราตองอยูใตอํานาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กฎเกณฑธรรมชาติ สังคม อารมณความรูสึก กรรมพันธุ จิตใตสํานึก นิสัยและสิ่งแวดลอมตาง ๆ สิ่งเหลานี้อาจมีอิทธิพลตอตัวเราบาง แตถาเราไมยินยอมก็ไมอาจปนชีวิตเราได ซารตรเตือนเราใหใชเสรีภาพที่ติดตัวมาแตเกิด สรางชีวิตใหมีคุณคาขึ้น โดยใหเปนชีวิตที่เราเปนผูตัดสินใจเลือก และปรุงแตงดวยมือของเราเอง สวนเราจะทําไดสําเร็จตามความตองการหรือ

Page 32: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

23

ไมนั้น มิใชสิ่งสําคัญ ที่สําคัญก็คือเราเปนผูตัดสินใจและลงมือทําเอง คุณคาของชีวิตอยูที่การลงมือทําตามการตัดสินใจอยางสุดความสามารถไมใชอยูที่ความสําเร็จแตเพียงอยางเดียว

การที่ซารตรเนนความรับผิดชอบอันใหญหลวงที่เรามีตอสังคมและโลก โดยไมพูดถึงดีกรีหรือระดับของความรับผิดชอบของแตละคน ก็เพราะซารตรตองการใหเราแตละคนดูแลเอาใจใสสังคมมนุษยและโลก เชนที่เราดูแลเอาใจใสตัวเอง โดยเหตุที่เราละทิ้งความรับผิดชอบนี้หรือมีความรับผิดชอบนอย ดังนั้นในปจจุบัน สังคมมนุษยและโลกจึงมีสภาพไมพึงปรารถนา และในบางแหงมีลักษณะคุกคามชีวิตมนุษยดวยซ้ํา การที่สังคมมนุษยและโลกยังไมเสื่อมเสียจนถึงพิบัติไปนั้น เพราะเรายังมีคนซึ่งมีความรับผิดชอบตอสวนรวมอยูจํานวนไมนอย บุคคลเหลานี้พยายามทุกวิถีทาง ที่จะตอสูเพื่อใหมนุษยมีชีวิตเยี่ยงอิสระชน พรอมทั้งใหโลกที่อยูนี้มีสภาพสงบสุขและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เปนประโยชนแกมนุษยชาติอยางแทจริง แมความพยายามดังกลาวของบุคคลเหลานี้จะยังไมประสบความสําเร็จเต็มที่ แตก็มีสวนทําใหสังคมมนุษยและโลกมีสภาพดีขึ้นกวาแตกอน มนุษยมีสิทธิ์เสรีภาพและความรับผิดชอบตอสังคมและโลกมากขึ้น แมแตกลุมบุคคลที่ไมเคยสนใจและเอาใจใสเสรีภาพของสังคมมาแตกอน ก็เร่ิมเรียกรองเสรีภาพในดานตาง ๆ และเขารวมขบวนการสรางสรรคสังคมและโลกโดยไมกลัวเกรงตออํานาจหนึ่งอํานาจใด

Page 33: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

24

สรุป

จากการวิเคราะหขอมูลทั้งหมดที่เปนที่มาของแนวความคิดในการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธที่กลาวมาแลวนั้น บทสรุปของการผสมผสานกันกับแนวความคิดในการจัดการรูปแบบการสรางสรรคผลงาน ที่ตองการแสดงใหเห็นแงมุมที่ขาพเจาตองการจะเสนอเรื่องราวของชีวิตของคนเรา ที่ในที่สุดทุกคนตางจะตองเดินทางไปสูความตาย หากแตขาพเจาไดตั้งคําถามเอาไวในผลงานชิ้นนี้ที่วา มนุษยเราจะตองเผชิญหนากับความตายโดยที่ไมยอมทําสิ่งใดเลยหรือ ปลอยใหชีวิตของเราตองตกไปตามเวรกรรมที่ไดกระทํามาเชนนั้นหรือ คําสอนทางศาสนาที่มีใหนั้น สามารถจะนําเราใหหลุดจากบวงกรรมไดจริงหรือไม เราจะยอมแพตอโชคชะตาแหงชีวิตนี้หรือ หากอิสระภาพและเสรีภาพของเรามีจริง เหตุใดเราจึงไมพยายามที่จะแสวงหาทางออกจากกฏแหงกรรมนี้ไดดวยตนเองเลา ถึงแมวาในทายที่สุดอาจจะพบเพียงแคทางตัน แตขาพเจาก็เชื่อวายังดีเสียกวาที่เราจะไมยอมคนหาทางออกจากกฏแหงกรรมนี้เลย เพราะดวยขาพเจารูแนวาตัวของขาพเจามิใชคนที่ดีบริสุทธิ์ และมิเคยทําบาปเลย แตกลับมีความผิดบาปอยางมากมายที่ไดกระทําเอาไว และถาเปนเชนนั้นตามที่ซารตรไดกลาวเอาไววาเราจะตองรับผิดชอบตอผลของการกระทําที่เราไดเลือกทําเอาไวทุกอยางแลว ขาพเจาวาขาพเจาจะตองตกนรกดวยผลกรรมที่ขาพเจาไดทําเอาไวอยางแนนอนเวลานี้ตราบใดที่มนุษยยังคงมีชีวิตอยูก็ยังมิสายที่จะพยายามคนหาทางออกจากกฏแหงกรรมนี้เพื่อที่จะไดหลุดพนจากการเวียนวายตายเกิด อันจะเปนผลนํามาซึ่งการทุกขทรมานในการกลับมามีชีวิตในโลกนี้อีก หรือไมก็คงจะตองตกอยูในนรกอยางไมมีทางไปผุดไปเกิด

Page 34: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

25

บทที่ 3

กระบวนการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธ

ที่มาของแนวความคิดในการสรางสรรคขาพเจาเองอยากจะกลาวถึงที่มาของการเกิดแนวความคิดในการสรางสรรคผลงานวิทยา

นิพนธชิ้นนี้ที่สามารถเกิดขึ้นมาไดนั้น ที่มามีอยูวาเมื่อประมาณป พ.ศ.2545 ขาพเจาไดมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ ซึ่งขาพเจาเองมีความตั้งใจเปนอยางยิ่งที่จะไดไปดูงานศิลปะที่ TATEMODERN ดวยความดีใจเปนอยางมากเมื่อไดมีโอกาสเขาไปดูผลงานภายในหองที่จัดแสดงผลงานก็เกิดความตื่นตาตื่นใจเปนอยางมาก เที่ยวเดินชมอยางลืมตัวจนบังเอิญไดเดินไปเหยียบบนผลงานของศิลปนทานหนึ่งเขา ศิลปนทานนี้มีนามวา คารล อังเดร (Carl Andre) ซึ่งผลงานของศิลปนทานนี้จะอยูในกลุมของพวก มินิมอล อารต (Minimal Art) โดยลักษณะผลงานจะเปนแผนโลหะรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสนําเอามาวางเรียงกันบนพื้นหอง ซึ้งถามองเผิน ๆ แลวอาจมองเห็นเปนทางคลายทางเดิน ฉะนั้นจึงทําใหขาพเจามิไดทันสังเกตุจึงเดินขึ้นไปอยูบนผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงระดับโลกดวยความตกใจในชวงขณะเวลานั้น เหตุดวยวาทุกสายตาของผูเขามาชมงานนั้นตางมองมายังขาพเจาทั้งหมด รวมไปถึงผูดูแลผลงานในหองนั้นก็ชี้มายังขาพเจา ทําใหขาพเจากมลงมองที่พื้นที่ขาพเจาเหยียบอยูนั้นวาขาพเจายืนอยูบนอะไร ณ หวงแหงความรูสึกในชวงเวลานั้นเอง ทําใหขาพเจาไดบังเกิดความคิดขึ้นมาไดวาเหตุใดทําไมเราจึงไมคิดที่จะสรางผลงานศิลปะ ที่สามารถใหผูชมงานที่จะเดินขึ้นไปเหยียบบนงานศิลปะได ดวยวามันเปนการเปดโลกทางการรับรูผลงานศิลปะในแนวใหม รวมไปถึงเปนการสรางการรับรูทางสุนทรียภาพใหมใหกับผูที่ไดมาชมงานศิลปะ ดังนั้นเมื่อขาพเจาเดินทางกลับมายังเมืองไทยจึงไดเร่ิมสรางสรรคผลงานในแนวคิดนี้ขึ้นมา ซึ่งประจวบกันกับในชางเวลานั้นขาพเจาเองก็ไดรับอิทธิพลทางความคิดมาจาก ณอง-ปอล ซารตร ที่วาดวยเร่ืองของอิสระภาพและเสรีภาพ ดวยการที่เราเองมีเสรีภาพที่จะคิดและทําในสิ่งใหม ๆ ไดและมิไดเปนสิ่งที่เปนความผิดแตอยางใด ดังนั้นขาพเจาเองจึงไดรวบรวมเองความสําคัญของอิทธิพลทั้งสองอยางมาประมวลกันขึ้นออกมาเปนการถายทอดเปนการสรางสรรคผลงานทางศิลปะขึ้น

Page 35: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

26

เปาหมายในการสรางสรรคการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธของขาพเจานั้น มีเปาหมายในการกระตุนเตือนใหผูที่ได

ชมผลงานไดตระหนักถึงสภาวะแหงความเปนจริงของชีวิตที่กําลังเกิดขึ้น ดวยวา ณ ปจจุบันนั้นมนุษยเราตางรีบเรงทํามาหากินหรือต้ังหนาตั้งตาทํางานหนักเพื่อใหไดมาซึ่งเงินคาจางเพื่อนําเอามาใชจายเพื่อการดํารงชีพ บางก็ตองอดอยากดวยวามีหนี้สินมากมายที่จะตองชดใช จนลืมถึงความจริงที่วามนุษยเรานั้นตางรอคอยความตายดวยกันทั้งหมดทุกคน แตเหตุใดเลามนุษยจึงมิไดใสใจกับเรื่องเหลานี้เลย ราวกับวาเมื่อตายไปแลวก็แลวกันหมดกันไป เปนการแสดงใหเห็นถึงรากฐานทางความเชื่อของคนในยุคสมัยปจจุบันที่ขาดความเชื่อและศรัทธาในศาสนา ดังนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือการที่เขาไดกระทําทุกอยางตามใจปราถนาโดยมิไดมีความเกรงกลัวตอบาปกรรม หรือตอผลกรรมแตอยางใด ดวยสภาพเชนนี้ขาพเจาจึงตองการจําลองเอารูปแบบทางความคิดออกมาในเชิงของการสรางสรรคทางศิลปะเพื่อจะนําพามาสูสภาวะที่แทจริงของมนุษยที่ตางตกอยูในโลกนี้อยางหลีกเลี่ยงไมได และในวันหนึ่งนั้นก็จะตองถึงเวลาที่จะตองตายจากโลกนี้ไป และก็ไมรูวาตนเองจะตองไปสูที่ใด คําสอนของศาสนาตาง ๆ นั้นจะสามารถเปนจริงไดหรือไม ก็ไมมีผูใดที่จะสามารถที่จะยืนยันไดวาจะเปนเชนนั้นจริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงตองแสวงหาความจริงนี้ใหไดดวยตนเอง ถึงแมวาจะตองลองดูหรือลองปฏิบัติตามหลักคําสอนตามศาสนาก็ตาม ซึ่งก็เปนเรื่องสวนบุคคลมิสามารถที่จะแสวงหาทางออกใหกับผูอ่ืนได และถึงแมวาในที่สุดแลวนั้นอาจจะมิสามารถที่จะหาทางออกแหงความจริงนี้ไปได แตสําหรับขาพเจาก็เชื่อวามันก็ยังดีเสียกวาที่จะมิไดทําอะไรเลย ดวยวาความตายนั้นมีจริงและจะตองมาสูเราในวันใดก็วันหนึ่งอยางแนนอน และเราตางไดกระทําสิ่งตาง ๆ เอาไวอยางมากมาย ความผิดความบาปที่เรียกวาเวรกรรมนั้น ลวนแลวแตเปนผลจากการกระทําของเราทั้งสิ้น เราจะยอมใหสิ่งตาง ๆ เหลานี้มานําพาเราไปสูความหายนะโดยที่เรามิสามารถที่จะทําอะไรเลยหรือไร เราจะตองกมหนารับกรรมที่เราไดทําเอาไวเชนนั้นหรือ เราจะตองเวียนวานตายเกิดอยูในโลกนี้เพื่อชดใชกรรมเวรจนไมมีที่สิ้นสุดเลยหรือไร จะมีทางออกทางใดหรือไมที่จะหลุดพนจากบวงแหงกรรมนี้ไปได หรือวามนุษยจะตองเวียนวายตายเกิดเพื่อที่จะตองชดใชกรรมเวรไปจนไมมีที่สิ้นสุด ราวกับวาชีวิตนี้ไมมีทางออกไปจากโลกนี้ไดเลย

รูปแบบของผลงานเปนผลงานที่แสดงออกถึงแนวความคิดหลักโดยใชรูปแบบการจัดการกับวัสดุและราย

ละเอียดตาง ๆ เพื่อส่ือเร่ืองราวที่ตองการจะสื่อ เลือกใชวัสดุที่สอดคลองกับเรื่องราวประกอบกับการควบคุมบรรยากาศทั้งหมดใหสัมพันธกับสถานที่ โดยมีเทคนิควิธีการที่เลือกสรรคดังนี้

Page 36: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

27

1.สีกับวัสดุขาพเจาเลือกใชถังน้ํามัน 200 ลิตร สีฟา ดวยวาตองการสื่อใหเห็นถึงความสอดที่วาโลก

ของเรานั้นคือดาวเคราะหสีฟา หรือ สีน้ําเงิน เพราะดวยวาเมื่อมองมาจากอวกาศแลวจะมองเห็นโลกของเราเปนสีฟา ซึ่งเปนเพราะวาโลกของเรามีพื้นที่ ๆ เปนน้ําถึง 3 สวนเมื่อเทียบกับสัดสวนของพื้นที่ของโลกทั้งหมด โดยมีพื้นดินเพียง 1 สวนเทานั้น ดั้งนั้นขาพเจาจึงเลือกเอาถังน้ํามันสีฟามาใชเพื่อจะนําเอามาเปรียบเทียบใหเห็นราวกับวาเปนสถานที่หนึ่งที่มีแตสีฟา ซึ่งจะไปสอดคลองกับคําวาดาวเคราะหสีฟานั้นเอง หรืออีกนัยหนึ่งนั้นขาพเจาไดแรงบันดาลใจมาจากการใชสีในยุคสีน้ําเงิน(Blue Period) ของปกาสโซ ซึ่งเปนผลงานที่สรางขึ้นในชวงระหวางป ค.ศ. 1901 ถึง 1904 ผลงานจิตรกรรมเกือบทั้งหมดมีโครงรางของสีไปในวรรณะเย็น เศราหมอง เชนพวกสีน้ําเงิน สีฟา ซึ่งสะทอนชีวิตและความรูสึกทั้งมวลของเขาที่มีตอความยากจนอยางขนแคนแสนสาหัสของเพื่อนรวมโลกและของตัวเขาเอง ยุคนี้ปกาสโซดํารงชีวิตอยูดวยความยากลําบาก1 จากเรื่องราวทั้งหมดของศิลปนทานนี้ ทําใหขาพเจารูสึกวาสีฟานั้นยังสามารถที่จะสะทอนถึงสภาวะของยุคสมัยในปจจุบันที่ขาพเจาเองก็ตองเผชิญอยูคือความแลงแคนความขาดแคลนซึ่งมิใชแตเพียงในเรื่องของเงินทองเทานั้น แตคนในยุคที่ขาพเจาอยูนี้กลับมีแตความแลงน้ําใจใหแกกัน มีแตความเห็นแกตัวชิงดีชิงเดนกันและเต็มไปดวยความเย็นชา เปรียบไดกับบรรยากาศสีฟาในผลงานวิทยานิพนธชิ้นนี้นั้นเอง สวนในเร่ืองของการนําเอาวัสดุมาใชนั้น ขาพเจาไดนําเอาถังน้ํามัน 200 ลิตรมาใชนั้น ดวยวาการที่เรายิบเอาวัสดุอะไรมาใชนั้น วัสดุชิ้นนั้นจะบงบอกถึงยุคสมัยของการทํางานชิ้นนั้นวาเปนชวงเวลาใด เหตุเพราะของแตและชิ้นจะมีหวงเวลาในการใชงานที่ไมเหมือนกัน เชนนี้จึงเปนการแสดงออกถึงความรวมสมัยในการสรางผลงาน นอกจากนั้นถังน้ํามัน 200 ลิตร ยังมีลักษณะที่มีความพิเศษที่นาสนใจตอขาพเจา ดวยวาเปนถังที่มีความจุภายในที่มากแตกลับมีทางออกที่เล็กมาก มันเปรียบไดกับส่ิงที่ขาพเจาตองการสื่อสารถึงเรื่องราวของการแสวงหาทางออก ที่ดูเหมือนวาจะมีทางออกเพียงนอยนิด หรือแทบจะไมมีเลย ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับปริมาณทั้งหมดของคนในโลกที่เกิดมาทั้งหมดกับปริมาณของคนที่สามารถที่จะคนพบทางออกจากบวงกรรมไปได จากขอมูลทั้งหมดที่ไดกลาวมาจึงแสดงใหเห็นถึงการเลือกสรรควัสดุที่นํามาใช ในการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธที่มีการศึกษามาอยางรอบคอบจนสามาถที่จะตอบคําถามของแหลงที่มาและความหมายไดอยางชัดเจน

1กําจร สุนพงษศรี, ศิลปะสมัยใหม (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2523),166.

Page 37: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

28

2.เทคนิคในการสรางรายละเอียด (Element)ขาพเจาใชเทคนิคการเชื่อมโลหะดวยไฟฟาเปนเทคนิคหลักในการสรางงาน ดวยวาวัสดุที่

ใชสวนใหญเปนเหล็ก และลักษณะของรอยเชื่อมที่เกิดขึ้นก็แสดงออกใหเห็นถึงสภาวะที่ยากลําบากในการที่จะแกะหรือจะถอดออกมาได เพื่อสะทอนถึงความยากลําบากของการคนหาความจริงแหงสัจจะของชีวิต โดยทั้งหมดสามารถแบงรายละเอียดของงานออกเปนสองสวนใหญ ๆ ได 2สวนคือ

2.1สวนที่เปนพื้นของชิ้นงานซึ่งมีขนาด 5 x 5 เมตร แตขาพเจาไดนํามาแบงออกเปน 6 สวนเพื่อจะไดงายตอการขนยาย และตรงกับแนวความคิดในเรื่องของการเวียนวายตายเกิดที่มีลักษณะของการกาวขามเดินจากหองหนึ่งสูอีกหองหนึ่ง เปรียบไดกับการเกิดดับที่ไมมีวันสิ้นสุดรวมไปถึงบริเวณที่พื้นของงานจะมีการใชเสนที่ลวงตาในแนวศิลปะแบบ อ็อพ อารต (Op Art หรือOptical Art) กลาวคือชักนําใหผูชมเห็นภาพที่ลวงตา ราวกับวาที่พื้นนั้นมีความลึก สามารถที่จะตกลงไปไดจริง ๆ ซึ่งเพื่อกอใหเกิดผลแกนัยนตาของผูชมและสามารถที่จะเราปฎิกริยาทางอารมณของผูชมผลงาน โดยทั้งหมดก็เพื่อตองการใหผูชมสามารถสรางจินตนาการตอผลงานวาราวกับเปนพื้นที่ ๆ ไมมีที่สิ้นสุด สามารถที่จะขุดลงไปไดอยางไมมีที่สิ้นสุด จนนึกไปถึงสภาวะแหงการตองทุกขทรมานในการที่จะตองเวียนวายตายเกิดอยาไมรูจบส้ิน ดังนั้นรายละเอียดสวนใหญของพื้นที่ในผลงานชิ้นนี้ จะประกอบไปดวยแผนเหล็กที่ตัดเปนรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส ที่มีขนาด 20x20 cm โดยขนาดนี้เทากับขนาดของพื้นกระเบื้องปูพื้น ที่เปนขนาดที่นิยมกันทั่วไปดวยวามีขนาดที่ไมเล็กและไมใหญจนเกินไป และการกําหนดขนาดของแผนเหล็กก็จะทําใหขาพเจาสามารถที่จะสรางเสนลวงตาใหเกิดขึ้นไดงายและสงผลตอการมองไดเปนอยางดี

Page 38: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

29

ภาพที่ 4 ภาพผลงานศิลปะแบบ อ็อพ อารต (Op Art หรือ Optical Art)

ภาพที่ 5 ภาพผลงานศิลปะแบบ อ็อพ อารต (Op Art หรือ Optical Art)

Page 39: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

30

2.2สวนที่เปนรายละเอียดของประตู กลาวคือขาพเจาไดอิทธิพลในเรื่องของประตูในผลงานชิ้นนี้มาจาก”ประตูนรก” ของ ออกุสต โรแดง (Auguste Rodin) ที่วาในป ค.ศ. 1880 รัฐบาลฝรั่งเศสวาจางใหโรแดงออกแบบประตู เพื่อนําไปติดตั้งที่พิพิธภัณฑมัณฑนศิลป มิวเซ เดส ซารเดกอราตีฟ (Musee’ des Arts De’coratifs) ซึ่งเขาออกแบบและตั้งชื่อวา “ประตูนรก” (Gate ofHell) เพื่อเปนเกียรติแกดันเต ผลงานชิ้นนี้กอความดลบัลดาลใจใหเกิดงานชิ้นเยี่ยมหลายชิ้นในภายหลัง เชน รูป “สามเงา” (Three Shadows) สรางขึ้นในป 1880 รูป “ความทุกขของหญิง”(Crouching Woman) ในป 1885 รูป ”จูบ” (The Kiss) ในป 1886 “นักคิด” (The Thinker) ในปค.ศ.1888 ผลงานเหลานี้โรแดงไดนํามาขยายใหใหญ มีความเปนเอกในแตละชิ้น ทุกชิ้นลวนแลวแตไดรับความดลใจจากรูปในรูป “ประตูนรก” ทั้งสิ้น2 ดังนั้นขาพเจาจึงไดนําเอาความคิดในเรื่องประตูนรกนี้นํามาใชที่วา ประตูแตละประตูนั้นสามารถที่จะนําพาเราไปสูที่ตาง ๆ ไดไมเหมือนและนอกจากนั้นยังสามารถที่จะนําเราไปสูนรกไดอีกดวย ลักษณะของประตูในผลงานชิ้นนี้จึงมีรายละเอียดดังนี้ คือ จํานวนประตูที่มีจํานวน 13 บาน ซึ่งเปนเลขที่ไมดีสําหรับชาวตางชาติดวยวาเปนตัวเลขแหงความโชครายและการทรยศ ขนาดของประตูนั้นจะมีขนาดเทากันขนาดประตูที่เราใชกันอยูในชีวิตปจจุบันคือมีขนาด 2 เมตร x 90 เซนติเมตร และจะมีชองทางเขา 1 ทางซึ่งก็เปนลักษณะที่มีขนาดเทาประตูเหมือนกันแตจะสามารถเดินผานทะลุไดจริง แตจะติดตั้งเอาไวใกลกับประตูอ่ืนๆซึ่งถาเมื่อมองผาน ๆ โดยไมทันสังเกตก็จะมองไมเห็น ซึ่งประตูทั้งหมดใชเทคนิคการเชื่อมไฟฟา ซึ่งก็เหมือนกันในสวนของพื้นของชิ้นงานทั้งสิ้น รวมไปถึงก็ยังคงนําเอาเสนลวงสายตานํามาใชในสวนของประตูนี้ดวยกลาวคือ ลักษณะของประตูภายในงานจะมีการเชื่อมแผนเหล็กขนาด 20x20 cmซึ่งถามองดูแลวก็มิไดแตกตางจากตัวพื้นของชิ้นงานแตอยางใด แตมีประตูอยูจํานวน 4 บานที่มีลักษณะที่แตกตางออกไปคือมีการใชเสนลวงสายตาที่ทําใหรูสึกวาสามารถที่จะเดินผานประตูเขาไปได หรือสามารถที่จะมองออกไปได เมื่อประตูในงานสามารถที่จะทําใหผูชมงานนั้นรูสึกราวกับวามันเปดออกไปไดสูอีกสถานที่หนึ่งที่ดูแลวก็จะเห็นถึงความไมมีที่สิ้นสุดเชนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือจะทําใหผูชมงานรูสึกวาพื้นที่รอบนอกของกรอบประตูจะเกิดเปนกําแพงขึ้นมาทันที มันเปนการกลับคากันทางความรูสึกที่อยูภายในจินตนาการของผูชมงาน จึงทําใหเสมือนวาไมสามารถที่จะออกจากผลงานได ดวยวาประตูที่สามารถเปดออกไปไดก็ไมสามารถใชออกไปได และประตูที่เปนทางเขาก็ถูกซอนบังดวยประตูที่มีความเหมือนกัน จึงทําใหเกิดสภาวะการไมมีทางออกเกิดขึ้นทันทีภายในความรูสึกของผูชม

2กําจร สุนพงษศรี, ศิลปะสมัยใหม,74.

Page 40: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

31

3.การใชสื่อของเสียง (Sound)เสียงก็เปนอีกองคประกอบหนึ่งในผลงานชิ้นนี้ ดวยวาการที่ขาพเจานําเอาเหล็กมาเปน

วัสดุในการสรางชิ้นงานนั้น ก็เพื่อตองการที่จะสะทอนถึงสภาพของโลกในปจจุบันที่ดูแข็งกระดางไมมีชีวิตใดจะสามารถอยูไดอยางมีความสุข และดวยคุณสมบัติของเหล็กที่สามารถที่จะรองรับนําหนักได จึงเปดโอกาสใหสามารที่จะคิดถึงการที่จะเดินอยูบนชิ้นงานโดยไมทําความเสียหายใหกับตัวผลงานแตอยางใด ผลที่เกิดตามมาเปนลักษณะพิเศษที่นาสนใจคือเร่ืองของเสียง การที่ผลงานชิ้นนี้สามามารถเกิดเสียงไดนั้นก็ไมไดใชเทคนิคพิเศษอะไรแตอยางใด เพราะดวยวาแผนเหล็กที่ขาพเจานํามาใชนั้นเมื่อมีการเหยียบลงไปก็จะเกิดการยุบตัวดวยวาแผนเหล็กนั้นก็ไมไดมีความหนามากแตอยางใด และเมื่อแผนเหล็กคืนตัวสูสภาพเดิมก็จะเกิดเสียงขึ้น รวมไปถึงการที่พื้นของรองเทาที่เดินไปกระทบกับแผนเหล็กเองนั้น ก็สามารถทําใหเกิดเสียงขึ้นมาไดอีกเชนเดียวกัน เสียงที่เกิดจะไปกระตุนประสาทการรับรูวาพื้นที่ผูชมเหยียบลงไปนั้นมีสภาพที่ดูแลวรูสึกวาไมมั่นคง อาจจะเกิดการพังยุบตัวลงไปได และเหมือนวาเปนพื้นที่โปรงสามารถตกลงไปได ดวยวาเสียงสะทอนของแผนเหล็กกับพื้นของโครงสรางของชิ้นงานจะมีระยะที่หางกับพื้นของสถานที่จัดแสดงอยู จึงทําใหรูสึกวาภายในชิ้นงานเกิดเปนสถานที่ใหมที่สามารถเกิดการพังทลายของพื้นขึ้นได เพื่อเรงความรูสึกของการอยากออกจากชิ้นงานของผูชมผลงาน และตามความรูสึกของคนทั่วไปที่จะแสวงหาทางที่ตนเองเขามาเปนทางออก จะยิ่งทําใหตองเดินอยูภายในชิ้นงานและจะยิ่งเกิดเสียงลั่นดาลของแผนเหล็กมากยิ่งขึ้น

4.การจัดวาง(Installation)การสรางสรรคผลงานชิ้นนี้นั้น ขาพเจาตองการที่จะใหเกิดการรับรูทางความรูสึกในทุก ๆ

ดานจากที่ไดกลาวมาแลวในขางตนนั้น ก็เพื่อวาจะไดนําพาสูการตรึกตรองใครครวญ ใหเกิดคําถามและการแสวงหาคําตอบ ดังนั้นพื้นที่ที่จะใชในการที่จะจัดวางผลงานจึงความเปนสถานที่สงบเงียบ ไมมีเสียงภายนอกที่จะมารบกวน ราวกับวาชิ้นงานนี้ตั้งอยูในที่ ๆ ไมมีสถานที่และเวลา ดูวางเปลาสามารถเดินรอบชิ้นงานไดโดยรอบ รวมไปถึงสามารถมองเห็นงานไดในระยะที่หางพอสมควรเพราะดวยวาเมื่อมองมาจากระยะไกลนั้นผลงานชิ้นนี้จะดูแลวคลายกลองสี่เหลี่ยมที่มีความทึบตัน ดวยวาขาพเจาใชวิธีการจัดวางประตูที่ไมใหเกิดการซอนทับกัน เพื่อจะไมใหเกิดชองวางที่สามารถมองทะลุผานชิ้นงานออกไปไดจาการมองในระยะไกล ราวกับวาผลงานชิ้นนี้นั้นเปนหองขังที่มีกําแพงลอมรอบอยางแนนหนา ที่มีสีฟาดูเย็นชาทามกลางความเงียบสงบ และดวยขนาดที่ใหญจะสามารถกระทบตอความรูสึกของผูชมในทันทีดวยวา ขนาดของชิ้นงานจะไปขมความรูสึกของผูชม

Page 41: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

32

ใหรูสึกวาผูชมงานนั้นมีขนาดที่เล็กลง หมดสิ้นพลังอํานาจในการที่จะตอรองกับช้ินงานอยางสิ้นเชิงดังนั้นสถานที่จึงมีความสําคัญตอผลงานชิ้นนี้ที่จะตองมีความผสานกันเพื่อจะกอใหเกิดประโยชนตอการไดรับสุนทรียภาพไดอยางครบถวน

ขั้นตอนการสรางสรรควิธีการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธของขาพเจาเปนการกําหนดขึ้นโดย การประมวล

ความคิด และการสังเคราะหขอมูลที่ไดจากการศึกษามาสรางสรรคเปนผลงานศิลปะซึ่งมีขั้นตอนดังตอไปนี้

การสรางภาพจําลองเปนรูปแบบและวิธีการที่งายและรวดเร็วตอการสรางมโนภาพที่ไดจากการสังเคราะหขอมูล

โดยการสรางภาพจากคอมพิวเตอร เพื่อกําหนดโครงสรางของภาพอันประกอบไปดวยรูปทรง และขนาดของรูปทรง รวมไปถึงทิศทางการวางตัวของชิ้นงาน ทิศทางการเคลื่อนไหวของผูชมงาน เพื่อใหเกิดความสอดคลองระหวางเนื้อหา กับการแสดงออกทางทัศนศิลป ดวยวิธีการสรางภาพดวยคอมพิวเตอร

การสรางรูปจําลองผลงาน (Model)เปนขั้นตอนที่พัฒนาภาพรางจากคอมพิวเตอร ใหมีความใกลเคียงกับมโนภาพของขาพเจา

มากที่สุด ทั้งเทคนิคและวิธีการสรางสรรคจริงโดยการนําโครงสรางจากภาพในคอมพิวเตอร มาสรางแบบจําลองขึ้นในสัดสวนที่ยอขนาดลง เพื่องายตอการวางแผนในการทํางาน รวมไปถึงสามารถที่จะเห็นภาพโดยรวมของชิ้นงานได และสามารถที่ปรับเปลี่ยน และสามารถที่จะพัฒนาตอไปได

Page 42: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

33

ภาพที่ 6,7 รูปจําลองผลงาน (Model)

ขั้นตอนเทคนิคในการสรางสรรค- เก็บรวบรวมถัง 200 ลิตร ที่มีสีตามที่ตองการ- เตรียมพื้นโครงเหล็กที่มีขนาดตาง ๆ ตามที่ไดกําหนดเอาไว- กําหนดโครงสรางของรูปทรง และสวนรายละเอียดของภาพ โดยการตัดกระดาษเปน

แบบ- นําแบบกระดาษไปวัดและตัดแผนเหล็กออกใหไดตามขนาด- เร่ิมเชื่อมแผนเหล็กจากขนาดที่เล็กไปสูขนาดใหญ- เมื่อเชื่อมเสร็จจึงทําความสะอาดแลวทาน้ํายาเคลือบเงา- นําเอาชิ้นงานทั้งหมดมาประกอบกันเปนชิ้นงานที่สมบูรณ

Page 43: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

34

ภาพที่ 8 ถังน้ํามัน 200 ลิตร

ภาพที่ 9 ภาพโครงสราง

Page 44: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

35

ภาพที่ 10 เชื่อมเหล็กใหเปนรูปทรงตามที่ตองการ

ภาพที่ 11 เมื่อเชื่อมเสร็จ

Page 45: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

36

ภาพที่ 12 รายละเอียดของประตู

ภาพที่ 13 โครงสรางของประตู

Page 46: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

37

ภาพที่ 14 ตัดแผนเหล็กใหไดขนาด

ภาพที่ 15 เปรียบเทียบขนาด

Page 47: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

38

บทที่ 4

บทวิเคราะหพัฒนาการและการคลี่คลายผลงาน

ขาพเจาเชื่อวาปรัชญาและศิลปะเปนงานที่เกื้อกูลกันและกัน ปรัชญาเปนเครื่องมือใชแสวงหาความจริงดวยวิธีการของเหตุผล สวนศิลปะชวยใหนําความจริงที่คนพบนี้มาแสดงออกในรูปลักษณที่มองเห็นได โดยผานทัศนธาตุตาง ๆ ทางศิลปะกอเกิดเปนรูปรางขึ้นมา ดังนั้นปรัชญาและศิลปะจึงมีความสัมพันธใกลชิดกันมาก ขาพเจาสรางผลงานศิลปะข้ึนมาเพื่อใหเปนการแสดงออกของปรัชญาและคติทางความเชื่อสวนตัว ดงันั้นจึงไมมีความประสงคที่จะสรางเรื่องใหสมจริงแตอยางใด ดวยวาความเชื่อที่วาเสรีภาพและความวางเปลาเปนสิ่งเดียวกันสงผลใหผลงานศิลปะของขาพเจาไมมีลักษณะที่เฉพาะตายตัว ขาพเจาไมสามารถคาดหมายไดลวงหนาวาผลงานศิลปะเหลานี้จะมีปฏิกิริยาตอสถานการณที่เผชิญอยูหรือจะเผชิญตอไปในอนาคตอยางไรได เพราะผลงานศิลปะของขาพเจาไมมีลักษณะเฉพาะอยางหนึ่งอยางใดที่ตายตัวแนนอน อันจะชวยใหผูชมผลงานคาดหมายถึงพฤติกรรมไดลวงหนา การที่ผลงานศิลปะมีปฏิกิริยาอยางหนึ่งอยางใดตอสถานการณใดสถานการณหนึ่งนั้น ก็ไมอาจค้ําประกันไดวาขาพเจาจะตองมีปฏิกิริยาแบบเดิมตอไปในกรณีที่สถานการณทํานองเดียวกันเกิดขึ้นอีก วิธีเดียวที่ผูชมจะเขาใจในศิลปะของขาพเจาไดก็ดวยการดูการกระทําของผลงานศิลปะนั้นแตละครั้งในปจจุบัน โดยเหตุที่ขาพเจาสรางผลงาศิลปะข้ึนมาเพื่อเปนการแสดงออกของเสรีภาพ ดังนั้นผลงานของขาพเจาจึงไมสนใจที่จะแสดงออกใหเปนไปตามแบบแผนที่เคยปฏิบัติมาหรือเพียงเพื่อรักษาภาพพจนของขาพเจาใหเปนไปตามสังคมหรือที่ผูอ่ืนคาดหวังไวลวงหนา ลักษณะเชนนี้ของผลงานศิลปะของขาพเจาเปนไปตามปรัชญาของซารตรที่วามนุษยคือเสรีภาพ เราไมสามารถกําหนดลักษณะหนึ่งลักษณะใดของผลงานศิลปะใหเปนลักษณะประจําตัวของขาพเจาได ไมวาถาจะกําหนดลักษณะใดใหแกผลงานศิลปะของขาพเจาขาพเจาก็สามารถทําผลงานศิลปะของขาพเจาเองใหผิดแปลกจากลักษณะนั้นไดเสมอ ดวยเหตุนี้ขาพเจาจึงไมสามารถคาดหมายถึงผลงานศิลปะทั้งของตัวขาพเจาเองไดลวงหนา ขาพเจาตองรอใหสถานการณเกิดขึ้นเสียกอนหรือรอใหขาพเจาตัดสินใจกอน ขาพเจาจึงจะรูวาผลงานของขาพเจานั้นจะเปนอยางไรและจะเปนผลงานแบบใด ดังจะเห็นไดจากตลอดระยะเวลาจากการสรางสรรคศิลปะนิพนธในระดับปริญญาตรีจนถึงปจจุบันซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางชัดเจน สําหรับในบทวิเคราะห พัฒนาการและการคลี่คลายผลงาน ขาพเจาผูเขียนขอเสนอผลงานออกเปนสองระยะคือ “ผลงานกอนวิทยานิพนธ (Terminal Project)” และ “ผลงานวิทยานิพนธ (Thesis)” โดยใช

Page 48: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

39

องคประกอบของโครงสรางศิลปะ คือ รูปแบบทางศิลปะ (Style) เทคนิควิธีการในการสรางสรรค(Medium) และแนวความคิดรวบยอด เปนวิธีการดําเนินการวิเคราะหวิจารณ

การสรางสรรคผลงานกอนวิทยานิพนธขาพเจาไดคัดเลือกผลงานจํานวน 5 ภาพ เพื่อนํามาแสดงใหเห็นถึงอิทธิพลที่จะสืบเนื่องไป

สูผลงานวิทยานิพนธ ดังนี้

ภาพที่ 16 ผลงานกอนวิทยานิพนธชิ้นที่ 1 ชื่อ “หองขังหองเกา” ขนาด 2.5x2.5x2 เมตร

เปนผลงานที่สรางสรรคขึ้น เมื่อป พ.ศ.2545 และเปนผลงานชิ้นแรกที่ไดเร่ิมสรางผลงานในแบบใหมนี้ ซึ่งมีความแตกตางจากศิลปนิพนธในระดับปริญญาตรี โดยมุงเนนเพื่อเสนอสาระสําสําคัญในการคนหาสัจจะธรรมของความจริงแหงชีวิต ที่วาดวยในเรื่องของชีวิตและการเวียนวายตายเกิดอยางไมมีวันสิ้นสุด โดยมีสังขารคือรางกายที่เปรียบไดกับหองขังที่ไดกักขังมิใหวิญญาณสามารถออกจากรางไปได ตราบเทาที่ยังมีลมหายใจอยู แตวันเวลาก็เปนดังสนิมที่ไดกัดกรอนใหหองขังที่เปรียบไดกับรางการเริ่มถึงการอวสานในที่สุด ดั้งนั้นผูที่ติดอยูในหองขังที่มีสภาพเริ่มที่จะผุพังนี้ จึงตองแสวงหาทางออกดวยวาในไมชาหองขังก็จะพังทลายลง

ในแงคิดเริ่มแรกนี้ขาพเจาจึงไดเลือกใชเหล็กที่เปนสนิมมาใชเปนหลัก เพื่อใหตัวของวัสดุไดสงผลทางความรูสึกไดตรงตามแนวคิดที่ไดตั้งใจเอาไว และในเบื้องตนนั้นก็ยังมิไดนําเอาเรื่อง

Page 49: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

40

ของเสนในการลวงตามาใชแตอยางใด แตเนนไปที่ความรูสึกละลานตา ของเศษแผนเหล็กที่มีจํานวนมาก เพื่อสงผลตอความรูสึกในเรื่องของความไมมีที่สิ้นสุด

ภาพที่ 17 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 2 ชื่อ “หองขังสีฟา” มีขนาด 2x2x2 เมตร

เปนผลงานที่ตอเนื่องจากหองขังหองเกา โดยเริ่มมีความคิดวาโลกของเราที่เรียกวาดาวเคราะหสีฟานั้นก็เปนดังเชนหองขังที่ไดขังเราเอาไว มนุษยเราไมสามารถที่จะออกไปจากโลกแหงนี้ได ถึงแมวามนุษยจะสามารถที่จะบินออกนอกโลกไปไดแตในที่สุดจะตองกลับมาสูโลก ดังนั้นจึงไดสรางสรรคผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา และเริ่มศึกษาวาผลของสีนั้นมีผลตออารมณความรูสึกของผูชมงานหรือไม ซึ่งเมื่อนําผลงาน “หองขังหองเกา” กับ “หองขังสีฟา” ออกแสดงในการแสดงผลงานของนักศึกษาในระดับช้ันปริญญาโทของสาขาจิตรกรรมนั้น ผูชมสวนใหญสนใจผลงานหองขังสีฟามากกวาหองขังหองเกา ดวยวาสีสรรของผลงานไดดึงดูดความสนใจของผูชม รวมไปถึงการนําเสนอผลงานที่สามารถใหผูชมผลงานสามารถที่จะเดินเขาไปเหยียบผลผลงานไดนั้นยังเปนสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผูชมผลงานไดเปนอยางดี แตในเรื่องของขนาดของชิ้นงานนั้นก็เปนที่นาสนใจวา หองขังหองเกานั้นเมื่อผูที่เขามาชมงานจะถามวาขนยายมาอยางไร ดวยวาเปนชิ้นงานที่มีขนาดใหญและมีน้ําหนักมากจึงทําใหผูชมงานทึ่งตอความสามารถในการนําเสนอผลงานเปนอยางยิ่ง

Page 50: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

41

ภาพที่ 18 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 3 ชื่อ “หองขังสีแดง” ขนาด 2x2.5x2 เมตร

เปนการทดลองที่จะแสดงผลของสีที่มีผลทางความรูสึกตอผูชม และสงผลตออารมณทางการรับรูหรือไม โดยมีแนวความคิดที่วา การที่เรามีความเชื่อวาการกระทําที่ไมดีหรือที่เรียกวาเปนบาปนั้น ในที่สุดเมื่อเราตายไปนั้นก็จะนําพาเราใหไปสูที่ ๆ เรียกวา นรก ซึ่งเปนสภาพของการไปติดอยูหรือถูกกักขังอยู อยางไมรูวาจะสิ้นสุดเมื่อใด สภาพของการแสวงหาทางออกจากสภาวะของการที่จะตกนรก จึงไดสะทอนออกมาดวยสีแดงที่เปรียบไดกับความเชื่อในเรื่องของสภาพของนรกที่เต็มไปดวยไฟที่จะเผาผลาญและเปนไฟที่ไมมีที่สิ้นสุด ดังนั้นผลงานในชิ้นนี้จึงออกมาในโทนสีแดง แตยังคงใชเทคนิคในการแสดงออกเหมือนชิ้นอื่น ๆ ที่ไดกลาวมาแลวในขางตนทั้งสิ้น

Page 51: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

42

ภาพที่ 19 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 4 ชื่อ “หองขังสีเขียว” ขนาด 2X2.5x2 เมตร

ซึ่งในผลงานชิ้นนี้นั้นขาพเจาเองก็ยังคงทดลองในเรื่องของสีที่วาจะสงผลตอการรับรูทางความรูสึกทางอารมณของผูชมงานหรือไม โดยผลงานชิ้นนี้ไดแนวความคิดในเรื่องของสีมาจากภาพโฆษณาภาพยนตร คนเห็นผี “The eye” กลาวคือภาพจะมีโทนสีเขียวตุน ๆ ที่เมื่อดูแลวรูสึกถึงเร่ืองวิญญาณ ที่ดูแลวนากลัวรูสึกถึงความหลอกหลอนของวิญญาณไดเปนอยางดี ดังนั้นขาพเจาจึงไดเลือกนําเอาสีเขียวมาใชเพื่อจะสะทอนความคิดในเรื่องของวิญญาณที่ถูกกักขังอยูภายในรางกายของเรา ที่ตองการแสวงหาทางออกจากรางกายนี้ดวยเชนกัน ดวยเหตุนี้การนําเอาสีบางสีมาใชก็จะใหความรูสึกที่แตกตางกันไดเปนอยางดี

Page 52: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

43

ภาพที่ 20 ผลงานกอนวิทยานิพนธ ชิ้นที่ 5 ชื่อ “หองขังที่แตกตาง” ขนาด 2x2x2 เมตร

ขาพเจาไดลองตัดพื้นที่สวนพื้นออกเปนสามสวนใหญ ๆ ดวยวาเพื่อเปนการแกปญหาในเร่ืองของน้ําหนักที่มีปญหาในเรื่องของการขนยาย และนําพาไปสูการทดลองในขั้นตอนการทํางานในผลงานวิทยานิพนธ ดวยวาเมื่อขาพเจาพูดถึงการเวียนวายตายเกิดนั้นสภาพทางความรูสึกของผูชมควรจะใหรูสึกวาเดินขามจากหองหนึ่งสูหองหนึ่งที่มีความเหมือนกันแตมีความแตกตางกันในเร่ืองของสี ที่เปรียบไดกับการเวียนวายตายเกิดของเราที่เราเองก็ไมรูหลอกวาเราจะตองกลับมาเกิดเปนใคร จะเปนเพศชายหรือเพศหญิง จะเปนคนหรือเปนสัตว แตที่แน ๆ เราไมสามารถที่จะออกจากโลกนี้ไปไดเลย ดังนั้นผลงานชิ้นนี้จึงเริ่มไมมีความเปลี่ยนแปลงเพื่อนําไปสูแนวความคิดไดอยางเปนรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

Page 53: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

44

สรุปผลงานกอนวิทยานิพนธผลงานในชวงกอนวิทยานิพนธ คือการสรางสรรคเพื่อคนควาเพื่อการทดลองเปนหลักและ

สามารถที่จะสรุปได 3 ประเด็นเปาหมาย ดังนี้1.เปนการคนควาเพื่อเจาะประเด็นทางความคิด หรือการรวบยอดการแสดงออกตาง ๆ

เพื่อหาแนวความคิดกับการแสดงออกที่มีความชัดเจน รวมไปถึงการปรึกษากับอาจารยที่ปรึกษาอยางตอเนื่อง เพื่อใหทานชวยชี้แนะการแกไขในบางจุดหรือลดขอผิดผลาดใหเหลือนอยที่สุด แลวนําเอามาประมวลเพื่อนําไปใชในการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธตอไป

2.การพยายามสื่อสารเรื่องราวดวยการใชสีของวัสดุ เพื่อสรางบรรยากาศทางความรูสึก ที่สงผลตอจิตใจของผูชมเปนสําคัญ โดยใชการสอบถามจากผูที่ไดชมผลงานเปนหลัก เพื่อที่จะไดนํามาทดลองคนควาเพื่อใหผลงานสามารถที่จะสื่อสารกับผูชมผลงาน และสามารถไดรูความหมายไดมากยิ่งขึ้น

3.การแกไขปญหาในเรื่องของเทคนิควิธีการ ดวยการนําเอาเสนลวงทางสายตามาใชในการสรางสรรคผลงาน เพื่อสรางใหเกิดระยะลึกลวงขึ้นภายในผลงานใหมีความรูสึกวาลึกไดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังใชวิธีการแบงชิ้นงานออกเปนสวน ๆ เพื่องายตอการขนยาย และสะดวกตอการจัดการมากยิ่งขึ้น

การสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธของขาพเจาในหัวขอเร่ือง “ไมมีทางออก” (No Exit) เปน

การนําเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการเวียนวายตายเกิดของมนุษย ในวงจรอันเปนทุกข และการทวนกระแสของวงจรแหงการหมุนเวียนนี้ เพื่อใหหลุดพนจากหวงแหงสังสารวัฏ มาเปนจุดเริ่มตนและทิศทางในการสรางสรรคผลงานโดยการสื่อความหมายดวยรูปแบบทางศิลปะแบบนามธรรม อันจะแสดงออกถึงสภาวะของการแสวงหาทางออกจากการติดอยูในโลกแหงเวรกรรมนี้ ภาพของผลงานจึงสะทอนใหเห็นเปนราวกับวามีผูที่ติดอยูภายในผลงานชิ้นนี้ และ ณ ปจจุบันนี้เขาคนนั้นไดหายออกไปแลวจากการที่ไดคนพบทางออก เราเองผูที่ไดเขามาชมผลงานจะรูสึกวาคน ๆ นั้นมิใชใครเลยแตเปนตนเองนั้นไงที่เปนคนที่กําลังแสวงหาทางออกอยู และก็ไมรูวาทางออกที่แทจริงนั้นเปนทางไหนเพราะเมื่อดูและสังเกตแลวก็จะพบวาทุก ๆ ทางออกนั้นเปนทางตันทั้งสิ้น รวมไปถึงเมื่อตองการที่จะเดินออกจากผลงานชิ้นนี้กลับพบวา ทางเขาที่เปนประตูที่สามารถเดินทะลุเขามานั้น ไดหายไปแลวดวยเทคนิคของการซอนกันของประตู จึงยิ่งเราใหผูชมผลงานยิ่งเกิดสะภาวะของการไมมีทางออกไดอยางชัดเจนมากยิ่งขึ้น

Page 54: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

45

ในการสรางสรรคผลงานวิทยานิพนธของขาพเจานั้น มีผลงานที่สรางขึ้นเพียงชิ้นเดียว แตมีขนาดที่ใหญมาก กลาวคือมีขนาด 5x5 เมตร ซึ่งจะสามารถศึกษาถึงรายละเอียดของผลงานไดใน บทที่ 3

ภาพที่ 21 ผลงานวิทยานิพนธ ขนาด 5x5x2 เมตร

Page 55: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

46

บทที่ 5

บทสรุป

สภาวะของมนุษยที่วิตกกังวลกันมาก คือการที่คนแตละคนตองตายความตายทําลายลางทุกสิ่งทุกอยางใหสิ้นไปแมกระทั่งตัวเอง ดวยเหตุนี้ความตายจึงทําใหทุกสิ่งทุกอยางที่เราไดลงทุนลงแรงทํามาดูไรความหมายไมมีแกนสารอะไร และทําลายโอกาสเราที่จะทําศักยภาพที่มีอยูใหเปนจริงขึ้นมา ดังนั้นเวลานึกถึงความตาย เราจึงรูสึกหวาดกลัวและวิตกกังวลเพราะไมแนใจตัวเราเองนั้นจะถึงจุดจบเมื่อใด และจะสามารถทําทุกอยางไดสําเร็จตามที่ตั้งใจไวหรือไม ความตายมักเกิดขึ้นไมเร็วก็ชาเกินไป ดังนั้นจึงทําใหชีวิตทั่วไปมีสภาพเปนเพียงสวนหรือเสี้ยวหนึ่งเทานั้น ไมมีความสมบูรณในตัวเอง สิ่งนี้อาจทําใหคุณคาของชีวิตลดนอยลงได แตในขณะเดียวกัน ในบางกรณีเมื่อชีวิตยังไมสิ้นสุดลงเมื่อสมควรจะสิ้นสุด การมีชีวิตเรื้อรังยาวนานไปก็มีผลใหคุณคาชีวิตลดนอยลงไปเร่ือยๆ

ขาพเจาถือวาความตายไมใชเปนเรื่องสถิติหรือนามธรรมที่จะมาถกเถียงกันเลน ความตายเปนเรื่องของคนแตละคน เปนสิ่งที่ทุกคนจะตองเผชิญดวยตัวเอง ไมมีใครตายแทนกันได ดังนั้นเราจึงควรพุงความสนใจที่จะเรียนรูเร่ืองความตายของผูอ่ืนที่ปรากฏอยูในหนาหนังสือพิมพ มาเปนแรงจูงใจใหเราทํางานสําคัญไวเปนอนุสรณใหแกชีวิตของเราได ดังนั้นวิทยานิพนธนี้ จึงเปนการเนนย้ําความเชื่อ ความศรัทธาและจิตวิญญาณในตัวของมนุษยวา คือเครื่องมือชนิดเดียวที่มีศักยภาพและพละกําลังที่จะสามารถที่จะนําพาไปสูการหลุดพนจากกฏแหงพันธนาการทั้งสิ้น ไมวาจะเปนกฎแหงกรรม หรือแมแตเร่ืองของการเวียนวายตายเกิดก็ตาม ถึงแมวาความตายจะเปนเสมือนกําแพงที่ขวางกั้นอยูขางหนาชีวิต แตขาพเจาไมตองการใหความตายมามีอํานาจเหนือชีวิต ดวยวาชีวิตของเรานั้นเต็มเปยมไปดวยเสรีภาพ ดังนั้นเมื่อเรายังคงมีชีวิตอยู เราจึงควรที่จะแสวงหาความหมายและคําตอบที่แทจริงเหลานี้ใหไดวาชีวิตเกิดขึ้นมาทําไม และในที่สุดจะจบลงที่ใด และทางออกของชีวิตมีจริงหรือไม ขาพเจาก็ไดแตเพียงหวังวาขอใหผลงานวิทยานิพนธของขาพเจาชิ้นนี้ ไดเปนเครื่องเตือนใจแกผูที่ไดพบเห็น แลวไดลองคิดพิจารณาเพื่อทานจะไดไมตองตกอยูในสภาพ “ไมมีทางออก” ไปจนตราบชั่วนิรันดร

Page 56: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

47

ภาพที่ 22 ผลงานวิทยานิพนธชื่อภาพ ไมมีทางออก (No Exit)ขนาด 5x5x2 เมตร

Page 57: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

48

ภาพที่ 23, 24 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ

Page 58: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

49

ภาพที่ 25, 26 รายละเอียดผลงานวิทยานิพนธ

Page 59: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

50

บรรณานุกรม

กีรติ บุญเจือ. ปรัชญาลัทธิอัตถิภาวนิยม. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, 2522.กําจร สุนพงษศรี. ศิลปะสมัยใหม. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, 2523.ฌอง-ปอล ซารตร. ปรัชญาชีวิตของฌอง-ปอล ซารตร. แปลโดย พินิจ รัตนกุล. กรุงเทพมหานคร :

สํานักพิมพสามัญชน, 2541.ลีโอ ตอลสตอย. ศิลปคืออะไร. แปลโดย สิทธิชัย แสงกระจาง. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพถนน

หนังสือ, 2528.ศักดิ์ชัย นิรัญทวี. ปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลลิสม. พิมพคร้ังที่ 2. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพวลี,

2526.

Page 60: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

51

ประวัติผูวิจัย

ชื่อ-สกุล นายทายาท สุทธิ์เสงี่ยมที่อยู 78/100 หมูบานบุศรินทร-บางเขน ซอย 6 ถนนสายไหม แขวง

สายไหม เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220 โทร. 0-2982-3477,0-9185-7501

ที่ทํางาน มหาวิทยาลัยรังสิตประวัติการศึกษา

พ.ศ.2543 - สําเร็จการศึกษาศิลปบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพมหาวิทยาลัยศิลปากร

พ.ศ.2544 - ศึกษาตอระดับปริญญาศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตรกรรมบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร

ประวัติการแสดงงานพ.ศ.2543 - การแสดงศิลปกรรมแหงชาติ ครั้งที่ 46

- การแสดงศิลปกรรมรวมสมัยของศิลปนรุนเยาว ครั้งที่ 17- การแสดงศิลปกรรม “นําสิ่งที่ดีสูชีวิต” ครั้งที่ 12 โดยบริษัทโตชิบาประเทศไทย

พ.ศ.2544 - การแสดงศิลปกรรมแหงชาติ ครั้งที่ 47- การแสดงศิลปกรรม “นําสิ่งที่ดีสูชีวิต” ครั้งที่ 13 โดยบริษัทโตชิบาประเทศไทย- การแสดงศิลปกรรม ปตท. “ศิลปเพื่อแผนดินไทยงดงาม”ครั้งที่ 16- นิทรรศการศิลปนิพนธของนักศึกษาปริญญาตรีชั้นปสุดทายคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพมหาวิทยาลัยศิลปากร

พ.ศ.2545 - การแสดงศิลปกรรมแหงชาติ ครั้งที่ 48- นิทรรศการ เสนทางสูศิลปะ โดย นักศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิต จิตรกรรม

Page 61: ไม มีทางออก · บัณฑิิตวทยาลัย มหาวิทยาลัยศิ ลปากรอนุมัติ วิิใหทยานพนธ

52

เกียรติประวัติพ.ศ.2544 - รางวัลพิเศษ การแสดงศิลปกรรม “นําสิ่งที่ดีสูชีวิต” ครั้งที่ 13

โดยบริษัทโตชิบาประเทศไทย- รางวัลเกียรติยศ การแสดงศิลปกรรม ปตท.“ศิลปเพื่อแผนดินไทยงดงาม” ครั้งที่ 16

พ.ศ.2545 - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทสื่อประสมการแสดงศิลปกรรมแหงชาติ ครั้งที่ 48

ประวัติการทํางานพ.ศ.2545-ปจจุบัน อาจารยพิเศษ คณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต