คู่มือ - dnp.go.th · คู่มือจำ...
TRANSCRIPT
ระฆังทอง (Rakang Thong)Pauldopia ghorta (Buch. - Ham. ex G. Don) Steenis
ISBN : 978-616-316-281-6
ส�ำนักวิจัยกำรอนุรักษ์ป่ำไม้และพันธุ์พืช
กรมอุทยำนแห่งชำติ สัตว์ป่ำ และพันธุ์พืช
คู่มือจ�ำแนกพรรณไม้
คู่มือจ�ำแนกพ
รรณไม้
คู่มอืจ�ำแนกพรรณไม้ฉบับปรับปรุง
ดร. ก่องกำนดำ ชยำมฤต
ดร. วรดลต์ แจ่มจ�ำรูญ
สำ�นักง�นหอพรรณไม้ สำ�นักวิจัยก�รอนุรักษ์ป่�ไม้และพันธุ์พืช
กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพย�กรธรรมช�ติและสิ่งแวดล้อม
รำยละเอยีดหนังสอื
สำ�นักง�นหอพรรณไม้
ที่ปรกึษ� : ณรงค์ มหรรณพ ผู้อำ�นวยก�รสำ�นักวจิัยก�รอนุรักษ์ป่�ไม้และพันธุ์พชื
วชิัย อ่อนน้อม หัวหน้�สำ�นักง�นหอพรรณไม้
ดร. สมร�น สุดด ี หัวหน้�ฝ่�ยอนุกรมวธิ�นพชื สำ�นักง�นหอพรรณไม้
ผู้เรยีบเรยีง : ดร.ก่องก�นด� ชย�มฤต สำ�นักง�นหอพรรณไม้
ดร. วรดลต์ แจ่มจำ�รูญ สำ�นักง�นหอพรรณไม้
ออกแบบ/ประส�นง�น : เอกนิก ป�นสังข์
จำ�นวนพมิพ์ : 2,000 เล่ม สำ�หรับเผยแพร่ ห้�มจำ�หน่�ย
ข้อมูลท�งบรรณ�นุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งช�ติ
สำ�นักง�นหอพรรณไม้
คู่มอืจำ�แนกพรรณไม้.-กรุงเทพฯ: สำ�นักง�นหอพรรณไม้ สำ�นักวจิัยก�รอนุรักษ์ป่�ไม้และพันธุ์พชื.
กรมอุทย�นแห่งช�ต ิสัตว์ป่� และพันธุ์พชื, 2559.
240 หน้�.
1. ก�รจำ�แนก 2. พรรณไม้ 3. อนุกรมวธิ�น. I. ก่องก�นด� ชย�มฤต II. วรดลต์ แจ่มจำ�รูญ III. ชื่อเรื่อง
จัดทำ�โดย สำ�นักง�นหอพรรณไม้ กรมอุทย�นแห่งช�ต ิสัตว์ป่� และพันธุ์พชื 61 พหลโยธนิ แขลงล�ดย�ว
เขตจตุจักร กรุงเทพ
ISBN 978-616-316-304-2
พมิพ์ที่ ห้�งหุ้นส่วนจำ�กัด สทิธโิชค พริ้นติ้ง
12 ซ.เพชรเกษม 77 แยก 1 ถ.เพชรเกษม แขวงหนองค้�งพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ 10160
โทรศัพท์ : 0 2809 9318, 0 8421 4447 โทรส�ร : 0 2421 4447 มอืถอื : 089 782 4399, 083 075 1378
E-mail : [email protected]
ค�ำน�ำ ก�รจัดทำ�หนังสอืคู่มอืจำ�แนกพรรณไม้(ฉบับปรับปรุง) ขึ้นม�นี้เป็นก�รนำ�หนังสอืคู่มอืจำ�แนกพรรณไม้ที่เคยตี
พมิพ์จำ�หน่�ยม�ปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อให้เป็นเอกส�รที่ช�วป่�ไม้จะมไีว้เป็นคู่มอืในก�รตรวจห�ชื่อพรรณไม้ ได้พย�ย�ม
ใช้ภ�ษ�ที่อ่�นง่�ย มไิด้เป็นฉบับพสิด�รแต่อย่�งใด หนังสอืเล่มนี้จะเป็นคู่มอืให้เจ้�หน้�ที่ป่�ไม้ที่สนใจเข้�อบรมหลักสูตร
ต่�ง ๆ ที่มวีชิ�พฤกษศ�สตร์เข้�ไปเกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้สนใจในก�รจำ�แนกพรรณไม้ ได้ทำ�คว�มรู้จักกับวชิ�พฤกษศ�สตร์
ได้อย่�งง่�ยด�ย วชิ�พฤกษศ�สตร์ที่กล่�วถงึนี้เป็นวชิ�พฤกษศ�สตร์ด้�นก�รจำ�แนก หรอือนุกรมวธิ�นพชื ซึ่งวชิ�
พฤกษศ�สตร์ด้�นนี้มใิช่มรี�ยละเอยีดเพยีงแต่ปร�กฏอยู่ในหนังสอืเล่มนี้เท่�นัน้ เพร�ะผู้เขยีนพย�ย�มอย่�งเต็มที่ที่จะ
ถ่�ยทอดวชิ�พฤกษศ�สตร์ด้�นก�รจำ�แนกนี้ให้แก่ผู้ที่มคีว�มสนใจเพยีงเล็กน้อยก็ส�ม�รถเข้�ใจได้ ถ้�ท่�นใดต้องก�ร
ศกึษ�ให้ลกึซึ้งอย่�งพสิด�ร จำ�เป็นต้องเปิดตำ�ร�เล่มอื่นประกอบซึ่งมอีกีเป็นจำ�นวนม�ก
หนังสอืเล่มนี้มุ่งชี้แนะในก�รจำ�แนกพรรณไม้ในป่�ให้ได้แม่นยำ�ขึ้น เพร�ะผู้เขยีนมักได้ยนิเจ้�หน้�ที่ป่�ไม้ปร�รถให้
ฟังอยู่เสมอว่� ทำ�อย่�งไรจงึจะรู้จักพรรณไม้ในป่�ได้ทุกชนดิ ซึ่งเป็นก�รย�กม�กสำ�หรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับวชิ�พฤกษศ�สตร์
ด้�นก�รจำ�แนกนี้ นอกจ�กจะอ�ศัยคว�มจำ�เป็นเลศิเท่�นัน้ ท่�นเหล่�นี้ยังบ่นเสมอว่�พฤกษศ�สตร์ด้�นก�รจำ�แนกนี้ย�ก
ศัพท์ม�กม�ย ทำ�ยังไงก็ไม่เข้�ใจ จงึเป็นแรงบันด�ลใจให้คดิห�วถิที�งมุ่งทำ�หนังสอืเล่มนี้ขึ้นเพื่อสนองคว�มต้องก�รของ
ช�วป่�ไม้ทุกท่�น และผู้ที่สนใจ ดังนัน้อ�จกล่�วได้ว่� หนังสอืเล่มนี้คงพอจะทำ�ให้ท่�นได้รู้จักพรรณไม้ขึ้นม�บ้�งไม่ม�กก็น้อย
สำ�หรับหลักก�รใช้หนังสอืเล่มนี้ก่อนอื่นต้องขออธบิ�ยว่� ชื่อหนังสอืเล่มนี้อ�จจะทำ�ให้ท่�นสนใจ หรอือย่�งน้อยก็
เป็นก�รชักชวนให้ท่�นเกดิคว�มสนใจ แต่ขอชี้แจงว่�เมื่อท่�นได้เปิดดูแล้วท่�นอ�จคดิว่�วชิ�พฤกษศ�สตร์ด้�นก�รจำ�แนก หรอื
อนุกรมวธิ�นพชืนัน้ ไม่ใช่เรื่องง่�ยเลย เพร�ะอย่�งน้อยท่�นจะต้องใช้เวล�ทำ�คว�มเข้�ใจกับลักษณะต่�ง ๆ ของพชื ตลอดจน
ศัพท์พฤกษศ�สตร์(glossary) ต่�ง ๆ เสยีก่อน แล้วท่�นจงึจะม�ใช้รูปวธิ�น (key) หรอือ่�นลักษณะประจำ�วงศ์พชืให้เข้�ใจได้ แต่
เมื่อท่�นมหีนังสอืเล่มนี้ท่�นไม่จำ�เป็นต้องท่องจำ�ลักษณะหรอืศัพท์ต่�ง ๆ ท่�นส�ม�รถเปิดย้อนกลับไปม�ได้ เมื่อท่�นต้องก�ร
ทำ�คว�มเข้�ใจกับศัพท์พฤกษศ�สตร์ใด ๆ ท่�นก็อ�จจะพลกิม�อ่�นคำ�อธบิ�ย หรอืดูรูปตัวอย่�งลักษณะนัน้ ๆ ขอเพยีงแต่ว่�
ให้ท่�นขยันเปิดกลับไปม� อย่�ตดิค้�งคำ�ศัพท์ต่�ง ๆ ที่ท่�นไม่เข้�ใจไว้ จะยิ่งทำ�ให้ท่�นเพิ่มคว�มสับสนหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ
อย่�งไรก็ต�มหนังสอืเล่มนี้จะทำ�ให้ท่�นจำ�แนกพชืไปถงึลำ�ดับวงศ์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ได้พย�ย�มยกพรรณไม้
วงศ์ใหญ่ ๆ ที่สำ�คัญ ๆ ที่มคีว�มเกี่ยวข้องกับก�รป่�ไม้ ม�จัดจำ�แนกให้ได้ถงึสกุลและบ�งทถีงึชนดิ พรรณไม้วงศ์ใดที่ได้
มกี�รศกึษ�วจิัยและตพีมิพ์ในหนังสอื Flora of Thailand หรอื Thai Forest Bulletin (Botany) ซึ่งเป็นหนังสอืที่จัดทำ�โดย
สำ�นักง�นหอพรรณไม้ สำ�นักวจิัยก�รอนุรักษ์ป่�ไม้และพันธุ์พชื กรมอุทย�นแห่งช�ต ิ สัตว์ป่�และพันธุ์พชืแล้ว ก็ได้
วงเล็บชื่อหนังสอืบอกตอนและหน้�ไว้ที่ท้�ยวงศ์นัน้ ๆ เพื่อให้ผู้ที่ต้องก�รจะจำ�แนกพชืถงึชนดิได้ไปเปิดใช้รูปวธิ�นและ
อ่�นคำ�บรรย�ยลักษณะพชืต่อได้ แต่สำ�หรับพชืวงศ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่�วร�ยละเอยีดไว้ ก็ส�ม�รถเปิดห�เพิ่มเตมิได้ใน
หนังสอืพรรณพฤกษช�ตขิองประเทศเพื่อนบ้�นที่ได้เขยีนเป็นเอกส�รแนะนำ�ไว้ ซึ่งเอกส�รเหล่�นี้มอียู่ครบครันใน
ห้องสมุดพฤกษศ�สตร์ของหอพรรณไม้ กรมอุทย�นแห่งช�ต ิสัตว์ป่�และพันธุ์พชื
จงึหวังเป็นอย่�งยิ่งว่� หนังสอืเล่มนี้จะเป็นที่ถูกใจช�วป่�ไม้ และผู้สนใจทุก ๆ ท่�น นำ�ไปเป็นคู่มอืจำ�แนก
พรรณไม้ในป่�ได้ต่อไป ขอให้ท่�นทัง้หล�ยใช้คว�มพย�ย�มในก�รใช้หนังสอืคู่มอืเล่มนี้ แล้วท่�นจะพบว่�พฤกษศ�สตร์
ด้�นก�รจำ�แนกนัน้ไม่ย�กเลย ขอเพยีงให้ท่�นมคีว�มสนใจเท่�นัน้
ก่องก�นด� ชย�มฤต
วรดลต์ แจ่มจำ�รูญ
สำรบัญ1. อนุกรมวธิำน 1
คำ�จำ�กัดคว�ม 1
ขอบเขต 1
- ก�รระบุพชื 1
- ก�รบัญญัตชิื่อ 2
หมวดหมู่ต�มกฎเกณฑ์ที่กำ�หนดไว้เป็นส�กล 4
อ�ณ�จักรพชื 4
ช่ื่อต่�ง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องและใช้เป็นประจำ� 5
- วงศ์ (Family) 5
- สกุล (Genus) และคำ�ระบุชนดิ (Specific epithet) 6
ตัวอย่�งชื่อสกุล (generic name) 8
- ตัง้ต�มชื่อบุคคล 8
- ตัง้ต�มลักษณะของพชื 9
- ตัง้ต�มชื่อพื้นเมอืง 9
- ตัง้ต�มแหล่งที่พบ 10
ตัวอย่�งคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) 10
- ตัง้ต�มลักษณะของพชื 10
- ตัง้ต�มสถ�นท่ี่หรอืแหล่งที่พบครัง้แรก 10
- ชื่อที่ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิห่บุคคล่ 10
ก�รอ้�งชื่อผู้ตัง้ชื่อพชื 14
ก�รอ่�นชื่อพฤกษศ�สตร์ 15
ก�รจำ�แนกพชื 17
คว�มสำ�คัญ 21
2. กำรเก็บตัวอย่ำงพรรณไม้ 22
วัตถุประสงค์ 22
อุปกรณ์ 22
วธิเีก็บตัวอย่�งพรรณไม้ 24
วธิอีัดแห้งพรรณไม้ 28
วธิอี�บนำ�้ย�พรรณไม้ 28
วิธเีย็บพรรณไม้ 30
3. โครงสร้ำงภำยนอกของพชื 32
ลำ�ต้น 32
- ลำ�ต้นบนดนิ 33
- ลำ�ต้นใต้ดนิ 33
ร�ก 33
ต� 35
ใบ 35
- ก้�นใบ 37
- หูใบ 37
- ชนดิของใบ 37
- เส้นใบ 37
- รูปร่�งใบ 39
- ปล�ยใบ 41
- โคนใบ 41
- ขอบใบ 41
- เนื้อใบ 42
- ก�รเรยีงใบ 42
- สิ่งปกคลุมใบ 42
ดอก 44
- สมม�ตรดอก 44
- วงกลบีเลี้ยง 44
- วงกลบีดอก 46
- วงเกสรเพศผู้ 49
- วงเกสรเพศเมยี 49
- ก�รตดิของไข่ภ�ยในรังไข่ 52
- ชนดิของรังไข่ 52
- ช่อดอก 52
ผล 54
- ผลสด 54
- ผลแห้ง 55
- ผลแห้งแก่ไม่แตก 55
- ผลแห้งแก่แตก 55
เมล็ด 56
4. กำรวเิครำะห์ตัวอย่ำงพรรณไม้ 58
ขั้นตอนกำรวเิครำะห์พรรณไม้ 58
- ระดับวงศ์ 58
- ระดับสกุล 60
- ระดับชนดิ 60
- ก�รใช้รูปวธิ�น 60
- เอกส�รแนะนำ� 61
5. รูปธำนแยกวงศ์พชืที่พบบ่อยในประเทศไทย 65
6. ลักษณะประจ�ำวงศ์พชื 91
พชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperms) 91
พชืดอก (Angiosperms) 100
- พชืใบเลี้ยงคู่ 100
- พชืใบเลี้ยงเดี่ยว 100
ภำคผนวก 170
1. วงศ์พชืที่มลีักษณะประจำ�วงศ์ค่อนข้�งแน่นอน 170
2. วงศ์พชืที่มลีักษณะเฉพ�ะ 173
3. กลุ่มวงศ์พชืที่มลีักษณะคล้�ยกัน 176
ค�ำแปลศัพท์พฤกษศำสตร์ 180
เอกสำรอำ้งองิ 199
ดรรชนชีื่อพชื 202
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
1
1
อนุกรมวธิำนพชื (Plant taxonomy)
ค�ำจ�ำกัดควำม
ก�รจำ�แนกพรรณไม้นัน้ต้องอ�ศัย วชิ�พฤกษศ�สตร์ ส�ข�อนุกรมวธิ�นพชื (plant taxonomy) เป็นหลัก
ใหญ่ วชิ�พฤกษศ�สตร์ด้�นนี้จงึเป็นคว�มรู้พื้นฐ�นที่จำ�เป็นอย่�งยิ่งที่จะนำ�ไปใช้จำ�แนกพรรณไม้ได้โดยทั่วไป ไม่ว่�
พรรณไม้นั้น ๆ จะเป็นพรรณไม้ในถิ่นใด ถงึแม้ว่�จะไม่คุน้เคยกบัพรรณไม้นัน้ ๆ ม�ก่อนเลยกต็�มถ้�นำ�เอ�วชิ�ก�รด้�น
นี้เข้�ไปช่วยแล้วกจ็ะจำ�แนกพรรณไม้ได้อย่�งแน่นอน จงึนับได้ว่� อนุกรมธ�นพชื นี้เป็นหัวใจในก�รจำ�แนกพรรณไม้
ดังนัน้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับง�นด้�นนี้ จงึจำ�เป็นต้องให้คว�มสนใจกับวชิ�ก�รด้�นนี้พอสมควร
อนุกรมวิธ�น ตรงกับร�กศัพท์ภ�ษ�อังกฤษว่� taxonomy หรอื systematics เป็นศ�สตร์ที่มขีอบเขตกว้�ง
ขว�งในก�รศกึษ�วจิัยเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐ�นของ ๆสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยอ�ศัยข้อมูลหล�ย ๆด้�นของ ๆสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เหล่�นัน้ เมื่อนำ�วชิ�อนุกรมวธิ�นม�ใช้ในวชิ�พฤกษศ�สตร์ จงึหม�ยถงึวชิ� อนุกรมวธิ�นพชื (plant taxonomy หรอื
plant systematics) ถ้�จะพูดให้เข้�ใจง่�ยคอื ก�รจำ�แนกพรรณพชืนั่นเอง
วชิ�อนุกรมวธิ�นพชืนี้นับได้ว่�เป็นแม่บทของวชิ�พฤกษศ�สตร์ เพร�ะก่อนที่เร�จะเรยีนรู้เรื่องของพชืใน
ด้�นต่�ง ๆ ไม่ว่�จะเป็นด้�นสัณฐ�นวทิย� (mor[hology) สรรีวทิย� (physiology) ก�ยวภิ�ควทิย� (anatomy) ฯลฯ
จำ�เป็นต้องเรยีนรู้ชื่อและลักษณะเด่น ๆ ของพชืนัน้ ๆ เสยีก่อน จงึอ�จกล่�วได้ว่�ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพรรณพชืไม่ว่�จะ
เป็นท�งด้�นนวกรรม เกษตรกรรม เภสัชกรรม ตลอดจนก�รนำ�พชืไปใช้ประโยชน์ในอุตส�หกรรมด้�นต่�ง ๆ ต่�งก็
ต้องอ�ศัยผลง�นของ นักอนุกรมวธิ�นพชื (plant taxonomist) ด้วยกันทัง้นัน้ เพื่อที่จะรู้จักชื่อพรรณพชืต่�ง ๆ อย่�ง
ถูกต้องแน่นอน ผลง�นวจิัยใด ๆ ที่เกี่ยวกับพชื ถงึแม้ว่�จะมหีลักก�รและก�รว�งแผนปฏบิัตกิ�รดเีพยีงใดก็ต�ม
ถ้�ห�กเริ่มต้นด้วยชื่อของพชืที่ผดิพล�ดหรอืไม่ถูกต้องตรงต�มชนดิแล้ว ผลง�นวจิัยนัน้ย่อมไร้คุณค่�โดยสิ้นเชงิ
ขอบเขต
ขอบเขตของวิช�อนุกรมวธิ�นพชืมดีังนี้
1. ก�รระบุพชื (Plant Identification) พชืมอียู่ม�กม�ยทัง้ที่รู้จักแล้วและไม่รู้จัก ซึ่งต้องมวีธิกี�รตรวจสอบ
ห�ชื่อให้ได้ Plant Identification คอืก�รตรวจพจิ�รณ�ว่�พชืที่ต้องก�รตรวจสอบมลีักษณะคล้�ยคลงึหรอืเหมอืนกับ
พชืที่รู้จักแล้วหรอืไม่ ตรวจสอบแล้วอ�จพบว่�เป็นพชืชนดิใหม่ (new species) หรอืถ้�พชืมอียู่แล้วแต่ไม่เคยมี
ร�ยง�นก�รพบม�ก่อนก็เรยีกว่�เป็น new record ซึ่งจะต้องมกี�รเขยีนร�ยง�นออกม� ก�รตรวจสอบมบีทบ�ท
สำ�คัญในก�รที่จะนำ�เสนอข้อมูลและก�รสื่อคว�มหม�ยว่�พชืนัน้ ๆ คอือะไร มขี้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องบ้�ง ก�รที่จะ
ตรวจสอบได้ผู้ตรวจสอบจำ�เป็นต้องรู้จักส่วนประกอบต่�ง ๆ ของพชื ก�รตรวจสอบส�ม�รถทำ�ได้หล�ยวธิ ีตัวอย่�ง
เช่น
-ระบุพืชโดยใช้รูปวธิ�น (key) ซึ่งมลีักษณะเป็นข้อคว�มที่บรรย�ยเกี่ยวกับลักษณะของพชืที่นำ�
ม�ตรวจสอบ โดยทั่วไปจะมลีักษณะเป็น dichotomous key คอืจะมคีู่ของข้อคว�มที่แยกเป็นสองหัวข้อ โดยมรี�ย
ละเอยีดของลักษณะพชืที่แตกต่�งกัน เพื่อให้ผู้ที่ทำ�ก�รระบุเลอืกว่�ข้อคว�มใดตรงกับลักษณะพชืที่นำ�ม�ตรวจ
สอบ คู่ของข้อคว�มที่กล่�วถงึสิ่งเดยีวกันแต่มลีักษณะต่�งกันใน key นี้เรยีกว่� couplet แต่ละข้อคว�มเรยีก lead
2 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
3 เมื่อมกี�รสำ�รวจพรรณไม้ม�กขึ้น และพบพรรณไม้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นก็เกดิปัญห�ในก�รตัง้ชื่อพรรณไม้ใหม่
เหล่�นัน้ เพร�ะยังไม่มกีฎเกณฑ์ที่แน่นอนของก�รตัง้ชื่อ สำ�หรับชื่อพรรณไม้ชนดิใดที่ได้ประก�ศใช้เป็นชื่อแรกไป
แล้ว ก็เป็นที่ยอมรับ และไม่ใช้ซำ�้กันอกี ผู้ที่ตัง้ชื่อพรรณไม้ใหม่ ๆก็พย�ย�มหลกีเลี่ยงไม่ใช้ชื่อที่ซำ�้กัน ด้วยเหตุนี้นัก
พฤกษศ�สตร์จงึได้ตัง้กฏเกณฑ์ของก�รตัง้ชื่อขึ้นไว้ให้เป็นระบบส�กล เพื่อให้ทุก ๆคนที่ปฏบิัตงิ�นท�งด้�นอนุกรม
วธิ�นพชื ได้ใช้ชื่อที่ถูกต้องไม่ไขว้เขว
ก�รตัง้ชื่อจะต้องมตีัวอย่�งพรรณไม้ ชื่อผู้ตัง้ (author) ได้ใช้เป็นตัวอย่�งในก�รวเิคร�ะห์ (indentify) และ
บรรย�ยลักษณะ (describe) กฎเกณฑ์มดีังนี้ คอื เมื่อพบพรรณไม้ชนดิใหม่ (new species) ที่ยังไม่เคยมชีื่อม�ก่อน
เมื่อตัง้ชื่อแล้ว จะต้องเขยีนบรรย�ยลักษณะ และตพีมิพ์ในเอกส�รพฤกษศ�สตร์เผยแพร่ทั่วโลก ในก�รบรรย�ย
ลักษณะก็ต้องดูตัวอย่�งพรรณไม้ประกอบไปด้วย ตัวอย่�งพรรณไม้ที่ใช้ดูประกอบนี้ เรยีกว่�เป็น type specimen
ในก�รเรยีกชื่อหมวดมู่ของพรรณไม้ใดต้องปฏบิัตติ�ม ลำ�ดับก่อนหลังของก�รตพีมิพ์ (Priority of Publication)
คอื ตพีมิพ์ก่อน และถูกต้องต�มกฏ คอื ยดึชื่อพรรณไม้ที่ได้ตัง้ชื่อถูกต้องต�มกฏเกณฑ์ และได้ตพีมิพ์ในเอกส�ร
ก่อนเป็นอันถูกต้อง ชื่อพชืและทุก ๆหมวดหมู่ของพชื (taxonomic group) จงึมชีื่อที่ถูกต้อง (correct names) เพยีงชื่อ
เดยีว
ก�รกำ�หนดชื่อให้กับ taxon (พหูพจน์ taxa) ของพชืให้ถูกต้องต�มระบบที่เป็นส�กล กฏเกณฑ์ในก�รตัง้ชื่อ
วทิย�ศ�สตร์ของพชืได้ม�จ�กก�รประชุม International Botanical Congress (IBC) ซึ่งเป็นก�รประชุมระดับน�น�ช�ติ
และได้รับก�รตพีมิพ์ออกม�เป็นหนังสอืที่เรยีกว่� International Code of Nomenclature for algae, fungi, and plants
(ICN) แต่ก่อนใช้ชื่อว่� International Code of Botanical Nomenclature (ICBN) เหตุผลของก�รเปลี่ยนชื่อเนื่องจ�กว่�
คำ�ว่� “Botanical” อ�จทำ�ให้เกดิคว�มสับสนกับผู้ใช้ว่�กฎเกณฑ์นี้ใช้เฉพ�ะพชืเท่�นัน้ แต่คว�มจรงิแล้วกฎเกณฑ์นี้
ครอบคลุมไปถงึก�รตัง้ชื่อของเห็ด ร� และส�หร่�ยด้วย ก�รเปลี่ยนชื่อนี้เป็นผลม�จ�กก�รประชุม International
Botanical Congress (IBC) ครัง้ที่ 18 ที่ กรุง Melbourne ประเทศออสเตรเลยี เมื่อเดอืนกรกฎ�คม 2011 ก�ร
เปลี่ยนแปลงสำ�คัญอกีอย่�งหนึ่งจ�กจ�กประชุมครัง้ที่ 18 ก็คอื ตัง้แต่ 1 มกร�คม ปี 2012 เป็นต้นไป ก�รตัง้ชื่อพชื
เห็ดร� หรอืส�หร่�ยชนดิใหม่ ก�รบรรย�ยลักษณะสำ�คัญ (Diagnosis) จะเป็นภ�ษ�อังกฤษหรอืละตนิก็ได้ ซึ่งแต่
ก่อนให้ใช้ละตนิอย่�งเดยีว และในก�รตพีมิพ์ครัง้แรก อ�จไม่ต้องเป็นรูปแบบก�รพมิพ์เหมอืนแต่ก่อน ซึ่งจะออกม�
เป็นเอกส�รตพีมิพ์ในรูปว�รส�รหรอืหนังสอืเป็นเล่ม ๆ แต่อนุญ�ตให้ตพีมิพ์ในรูป online ได้ โดยมรีะบบไฟล์เป็น
Portable Document Format (PDF) และมหีม�ยเลข International Standard Serial Number (ISSN) สำ�หรับว�รส�ร
หรอื International Standard Book Number (ISBN) สำ�หรับหนังสอื ก�รประชุม IBC นี้จะจัดขึ้นทุก 6 ปี โดยเปลี่ยน
สถ�นที่ประชุมเวยีนไปต�มประเทศต่�ง ๆ ครัง้ที่ 17 จัดประชุมที่กรุง Vienna ประเทศออสเตรยี เมื่อเดอืนกรกฎ�คม
2005 ครัง้ที่ 16 ประชุมที่เมอืง Saint Louis สหรัฐอเมรกิ� ในปี 1999 ก่อนหน้�นัน้เป็นก�รประชุมที่เมอืง Yogohama
ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1993 ก�รประชุมครัง้ที่ 19 จะจัดขึ้นที่เมอืง Shenzhen ประเทศจนี ระหว่�งวันที่ 23-29
กรกฎ�คม ปี 2017
กฎน�น�ช�ตขิองก�รกำ�หนดชื่อวทิย�ศ�สตร์ของพชื (ICN) ประกอบไปด้วย 3 ส่วนคอื
-หลักก�ร (Principles) เป็นหลักสำ�คัญที่กำ�หนดให้เป็นพื้นฐ�นของระบบก�รตัง้ชื่อพชื
-กฎ (Rules) เป็นข้อบังคับ ซึ่งแบ่งออกเป็นม�ตร� (Articles) ต่�ง ๆ
-ข้อแนะนำ� (Recommendations) เป็นข้อแนะนำ�เพื่อเสรมิให้กฏมคีว�มชัดเจนในก�รปฏบิัตมิ�กยิ่งขึ้น
รูปแบบของ dichotomous key มสีองแบบ คอื indented หรอื yoked key และ bracketed key ทัง้สองแบบมขี้อดแีละ
ข้อเสยีแตกต่�งกันไป แบบแรกได้รับคว�มนยิมม�กกว่�
-ระบุโดยก�รเปรยีบเทยีบ (comparison) โดยนำ�พชืที่ยังไม่รู้จักไปเปรยีบเทยีบลักษณะกับ
ตัวอย่�งแห้งของพชืที่มชีื่อที่ถูกต้องกำ�กับในพพิธิภัณฑ์พชื หรอืเปรยีบเทยีบกับภ�พถ่�ย ภ�พว�ด หรอืคำ�บรรย�ย
ของพชืที่รู้จักแล้ว ข้อนี้จะใช้เวล�น้อยลงถ้�ได้มกี�รใช้ key ให้ได้ชื่อก่อน แล้วจงึอ่�นคำ�บรรย�ยและเปรยีบเทยีบ
ตัวอย่�งเพื่อคว�มมั่นใจ
-ระบุโดยก�รถ�มผู้เชี่ยวช�ญที่ทำ�ก�รศกึษ�วจิัยพชืในกลุ่มที่กำ�ลังตรวจสอบอยู่ กรณนีี้ต้องรู้
ก่อนว่�พชืที่จะตรวจสอบจัดอยู่ในวงศ์ใด ร�ยชื่อผู้เชี่ยวช�ญหรอืผู้ที่รับผดิชอบทำ�ก�รวจิัยวงศ์ต่�ง ๆ สำ�หรับ
โครงก�รพรรณพฤกษช�ตปิระเทศไทย ส�ม�รถตรวจสอบได้จ�กโฮมเพจของหอพรรณไม้ (http://www.dnp.go.th/
botany)
2. ก�รบัญญัตชิื่อพชื (nomenclature) คอืก�รกำ�หนดตัง้ชื่อพรรณพชื ภ�ยหลังจ�กที่ได้ทำ�ก�รวเิคร�ะห์
พรรณไม้ชนดิใดชนดิหนึ่งแล้ว ก็จะต้องให้ชื่อที่ถูกต้อง (correct name) แก่พรรณไม้นัน้ ๆ เป็นหน้�ที่ของนักอนุกรม
วธิ�นพชื ที่จะพสิูจน์ว่�ชื่อใดเป็นที่ยอมรับ ชื่อใดเป็นชื่อพ้อง หรอืชื่อใดที่ใช้ไม่ได้
ถึงแม้ว่�พรรณไม้แต่ละชนดิจะมชีื่อเรยีกกันอยู่แล้ว เช่น กุหล�บ จ�มจุร ีนนทร ีเป็นต้น แต่ชื่อที่กล่�วม�นี้
เป็นชื่อทั่วไป (common names) หรอื ชื่อพื้นเมอืง (vernacular หรอื local name) ซึ่งเป็นชี่อที่เรยีกกันเฉพ�ะท้องถิ่น
หนึ่งเท่�นัน้ ถ้�เร�นำ�ไปพูดถงึยังท้องถิ่นอื่น ๆ ก็อ�จจะไม่รู้จักได้ เช่น กรุงเทพฯ เรยีก สับปะรด ภ�คใต้ เรยีก ย�นัด
หรอื กรุงเทพฯ เรยีก ฝรั่ง ภ�คใต้ เรยีก ชมพู่ ซึ่งจะม�ซำ�้กับชมพู่ ที่คนกรุงเทพฯ เรยีก หม�ยคว�มถงึไม้อกีชนดิหนึ่ง
พรรณไม้ต้นหนึ่งเรยีกชนดิหนึ่งที่มคีว�มสำ�คัญม�กอ�จมหีล�ยชื่อ แต่ถ้�ไม่มคีว�มสำ�คัญก็มักจะไม่มชีื่อ เช่น พวก
ไม้ล้มลุกที่เป็นวัชชพชืมักจะเรยีกกันว่� ดอกหญ้�จนเคยป�ก ส่วนต้นไม้บ�งชนดิก็ยังไม่มขี้อยุตจิะเรยีกอะไรกันแน่
ดังนัน้พรรณไม้ชนดิเดยีวมักจะมหีล�ยชื่อ เรยีกแตกต่�งกันไปต�มแต่ละท้องถิ่น ส่วนใหญ่แล้วมักจะมหีล�ยชื่อทัง้
นัน้ เช่น จ�มจุร ีฉำ�ฉ� ก้�มปู ชื่อพื้นเมอืงบ�งชื่อก็ซำ�้กัน คอืพรรณไม้ 3-2 ชนดิ มชีื่อเหมอืนกัน เช่น ต้นรัก มทีัง้ที่
เป็นไม้ต้นให้ย�งรัก ทำ�เครื่องเขนิ ย�งเป็นพษิ ถ้�แพ้ก็เกดิอ�ก�รคันต�มผวิหนัง รักที่เป็นไม้พุ่ม นำ�ม�ร้อยม�ลัย มี
รักอกีชนดิหนึ่งขึ้นรมิทะเล อ�จเรยีกว่� รักทะเล ถ้�พูดว่�ต้นรัก ก็อ�จเกดิคว�มเข้�ใจผดิกันได้เพร�ะไม่รู้ว่�ต้นไหน
แน่
นอกจ�กนี้พรรณไม้ชนดิเดยีวกัน ต่�งช�ตติ่�งภ�ษ�ก็เรยีกชื่อแตกต่�งกันออกไป เช่น น้อยหน่� ไทยเรยีก
น้อยหน่� อนิเดยีเรยีก สติผล ญี่ปุ่นเรยีก ปันเรฮชิ ิ จนีเรยีก ฟ�นลซิี้ (พังไหล) เขมรเรยีก เตรยีมโสภ� ล�วเรยีก
หม�กเขยีบ ญวณเรยีก กว�หน� มล�ยูเรยีก พอน� อังกฤษเรยีก Castard apple, Sugar apple แม้คนไทยเร�เองก็
ยังเรยีกแตกต่�งกันไปต�มสำ�เนยีงของแต่ละภ�ค และต�มชนในเผ่�ต่�ง ๆ เช่น น้อยหน่� มะนอแน ล�หนัง มะออจ้�
แต่ถ้�เป็นชื่อพฤกษศ�สตร์แล้วจะมเีพยีงชื่อเดยีวเท่�นัน้ คอื Annona squamosa L.
ดังนั้นเมื่อชื่อ common names และ vernacular names ไม่เหม�ะสมในก�รเรยีกชื่อพรรณไม้ นักพฤกษศ�สตร์
จงึตกลงที่จะใช้ชื่อ botanical name เป็นชื่อพรรณไม้ เป็นชื่อ ๆ เดยีวที่ทุก ๆ ช�ต ิทุก ๆ ภ�ษ�ใช้เรยีกพรรณไม้ และเป็น
ส�กล (International) ก�รบัญญัตชิื่อพฤกษศ�สตร์นี้ กำ�หนดให้พรรณไม้แต่ละชนดิ มชีื่อเป็น 2 วรรค คอื วรรคแรก
เป็นชื่อสกุล (Generic name) ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่ วรรคที่สองเป็นชื่อชนดิ (specific epithet) เขยีนด้วยตัวอักษร
เล็ก และต�มด้วยชื่อคนตัง้ (author) ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่ ทัง้หมดนี้เป็นชื่อพฤกษศ�สตร์ (Botanical name) ของ
พชื ชื่อพชืจะเป็นภ�ษ�ล�ตนิ เพร�ะเป็นภ�ษ�ที่ต�ย เรยีกก�รตัง้ชื่อแบบนี้ว่� Binomial nomenclature
4 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
5 Subtribe Rosinae
Genus (สกุล) -a, -is, -on, -us, -um Rosa, Castanopsis, Rhododendron, Lithocarpus,
Pterospermum
Subgenus Rosa subgenus Eurosa
Section Rosa section Gallicanae
Subsection Rosa subsection Pimpinellifoliae
Series Rosa series Stylosae
Species (ชนดิ) Rosa gallica
Subspecies Syzygium cacuminis ssp. inthanonense
Variety Markhamia stipulata var. kerrii
Subvariety Saxifraga aizoon var. aizoon subvar. brevifolia
Forma Tectona grandis f. punctata
หมำยเหตุ ตัวเข้ม ต้องก�รเน้นเพื่อให้ทร�บว่�เป็นคำ�ลงท้�ยที่บังคับ ตัวขดีเส้นใต้เป็นลำ�ดับที่มีคว�มสำ�คัญซึ่งมี
ก�รใช้อยู่เป็นประจำ�
สำ�หรับคำ�ว่� Division กับ Phylum แต่ก่อนใช้แทนกันได้ คอือ�จจะเห็นก�รใช้คำ�ว่� Phylum กับ
พชื แต่ปัจจุบันนยิมใช้คำ�ว่� Division สำ�หรับพชื และใช้คำ�ว่� Phylum สำ�หรับสัตว์
ศัพท์ที่มักพบบ่อยได้แก่ พชืดอก (Angiosperm) พชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperm) ซึ่งทัง้พชืดอก
และพชืเมล็ดเปลอืยมักรวมเรยีกว่� พชืมเีมล็ด (Spermatophyte หรอื Phanerogams) ส่วนพชืกลุ่มที่เหลอืจัดเป็นพชื
ไร้เมล็ด (Cryptogams) แต่ถ้�รวมเฟิร์นและพชืกลุ่มใกล้เคยีงเฟิร์น (pteridophyte) เข้�กับพชืเมล็ดเปลอืย
(Gymnosperm) และพชืดอก (Angiosperm) จะเกดิกลุ่มที่เรยีกว่�พชืมที่อลำ�เลยีง (tracheophyte หรอื vascular
plant) ส่วนพชืกลุ่มมอส ลเิวอร์เวริ์ต และฮอร์นเวริ์ต จัดเป็นกลุ่มพชืไม่มที่อลำ�เลยีง (bryophyte หรอื non vascular
plant)
ชื่อต่ำง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องและใช้เป็นประจ�ำ
วงศ์ (Family) ชื่อวงศ์จะต้องลงท้�ยด้วย –aceae ต�มกฎของ ICN แต่มขี้อยกเว้นสำ�หรับชื่อพชืบ�งวงศ์ที่ไม่ได้ลงท้�ย
ด้วย –aceae โดยชื่อเหล่�นี้ถูกใช้ม�เป็นเวล�น�นและเป็นที่คุ้นเคยหรอืนยิมม�กกว่� ICN จงึอนุญ�ตให้ใช้ชื่อวงศ์เหล่�นี้ได้
เรยีก alternative names ซึ่งหม�ยถงึชื่อที่ส�ม�รถถูกเลอืกใช้แทนชื่อวงศ์ที่ถูกต้องต�มกฎได้ ชื่อวงศ์เหล่�นี้ได้แก่
ซึ่ง ICN นี้มรี�ยละเอยีดปลกีย่อยม�ก โดยเฉพ�ะในเรื่องของชื่อตัง้แต่ระดับวงศ์ลงไป ส่วนชื่อเหนอืระดับ
วงศ์ขึ้นไปนั้นถึงแม้ว่�เร�จะไม่ค่อยได้ใช้แต่ในเอกส�รฉบับนี้จะแสดงให้ทร�บไว้เพื่อให้เข้�ใจถึงก�รให้ชื่อกำ�กับ
หมวดหมู่ต่�ง ๆ ชื่อของ taxon ในลำ�ดับที่ต้องเกี่ยวข้องและใช้เป็นประจำ�ก็คอืชื่อวงศ์ สกุล และชนดิ ซึ่งจำ�เป็นจะ
ต้องเน้นเป็นพเิศษเพื่อให้เกดิคว�มเข้�ใจและมคีว�มมั่นใจในก�รใช้
หมวดหมู่ตำมกฎเกณฑ์ที่ก�ำหนดไว้เป็นสำกล เป็นก�รจัดหมวดหมู่แล้วเรยีงเป็นลำ�ดับ มชีื่อกำ�กับ
หมวดหมู่ต�มกฎเกณฑ์ที่กำ�หนดไว้เป็นส�กล โดยมคีำ�ลงท้�ยในแต่ละลำ�ดับแตกต่�งกันไป
อำณำจักรพชื (Kingdom Plantae)
Subkingdom เช่น Embryobionta
Division (หมวด) ลงท้�ยด้วย -phyta (-mycota สำ�หรับเห็ดร� เช่น Eumycota)
Thallophyta ใช้ในก�รแบ่งหมวดหมู่สมัยก่อน หม�ยถงึ Algae, Fungi และ Lichens
Bryophyta ได้แก่ มอส (Mosses), ลเิวอร์เวริ์ต (Liverworts) และ ฮอร์นเวริ์ต (Hornworts)
Pteridophyta ได้แก่ เฟิร์นและกลุ่มใกล้เคยีงเฟิร์น (fern & fern allies) ได้แก่ หว�ยตะมอย
(Psilotum) หญ้�ถอดปล้อง (Equisetum) ส�มร้อยยอด (Lycopodium) และตนีตุ๊กแก
(Selaginella)
Spermatophyta ได้แก่พชืมเีมล็ด ประกอบไปด้วยพชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperm) และพชื
ดอก (Angiosperm)
Pteridophyta กับ Spermatophyta อ�จรวมเรยีกว่� Tracheophyta (พชืมที่อลำ�เลยีง)
Subdivision Spermatophytina (-mycotina สำ�หรับเห็ดร� เช่น Eumycotina)
Class (ชัน้) Magnoliopsida (-phyceae สำ�หรับส�หร่�ย เช่น Chlorophyceae
-mycetes สำ�หรับเห็ดร� เช่น Basidiomycetes)
Subclass Rosidae (-phycidae สำ�หรับส�หร่�ย เช่น Cyanophysidae
-mycetidae สำ�หรับเห็ดร� เช่น Basidiomycetidae)
Order (อันดับ) Rosales
Suborder Rosineae
Family (วงศ์) Rosaceae
Subfamily Rosoideae
Tribe Roseae
6 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
7(ชื่อในภ�ษ�ใด ๆ ที่ไม่ใช่ภ�ษ�ละตนิและอังกฤษ) ไม่ส�ม�รถสื่อคว�มหม�ยหรอืแสดงให้เห็นถงึคว�มสัมพันธ์
ระหว่�ง genus และ family เช่น ถ้�เขยีนคำ�ว่� มะม่วงหรอื Mango จะไม่แสดงให้เห็นคว�มสัมพันธ์ใด ๆ แต่ถ้�เขยีน
ชื่อพฤกษศ�สตร์เพิ่มขึ้นม�เป็น Mangifera indica L. จะทำ�ให้ทร�บว่�มะม่วงนัน้อยู่ในสกุล Mangifera ซึ่งจัดอยู่ใน
วงศ์ Anacardiaceae หรอืเมื่อเขยีนชื่อพชืชนดิหนึ่งว่� ‘รัก’ โดยไม่มชีื่อพฤกษศ�สตร์กำ�กับ ก็ไม่อ�จทร�บได้ว่�
หม�ยถงึพชืชนดิใดกัน เพร�ะชื่อต้นไม้ที่มชีื่อพื้นเมอืงเรยีกว่� ‘รัก’ หม�ยถงึพชืหล�ยชนดิและอยู่ต่�งวงศ์กัน แต่ถ้�
มชีื่อพฤกษศ�สตร์กำ�กับเป็น Gluta laccifera (Pierre) Ding Hou ก็ทำ�ให้ทร�บว่�เป็นไม้ต้นที่อยู่ในวงศ์ Anacardiaceae
เช่นเดยีวกับมะม่วง โดยรักชนดินี้มชีื่อเรยีกทั่วไปว่� รัก แต่ท�งภ�คอสี�นเรยีก นำ้�เกลี้ยง ท�งใต้เรยีกรักเข� เป็นต้น
นอกจ�กนี้ชื่อส�มัญ ชื่อพื้นเมอืง หรอืชื่อท้องถิ่นไม่ส�ม�รถนำ�ไปใช้ในก�รสื่อคว�มหม�ยท�งวชิ�ก�รได้
เนื่องจ�กเป็นชื่อที่ใช้อยู่เฉพ�ะท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ไม่เป็นภ�ษ�ส�กล นอกจ�กปัญห�ในคว�มไม่เป็นส�กลของชื่อ
ส�มัญ ชื่อพื้นเมอืง หรอืชื่อท้องถิ่นแล้ว พชืบ�งชนดิอ�จมชีื่อส�มัญ ชื่อพื้นเมอืง หรอืชื่อท้องถิ่นหล�ยชื่อม�ก และ
ในท�งตรงข้�มพชืหล�ยชนดิอ�จมชีื่อส�มัญชื่อเดยีวกันหรอืเหมอืนกัน รวมทัง้พชืบ�งชนดิไม่มชีื่อส�มัญ ชื่อพื้น
เมอืง หรอืชื่อท้องถิ่นให้ใช้เรยีก สำ�หรับหนังสอืชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยของ ศ. เต็ม สมตินิันทน์ ในอดตีเป็น
หนังสอืที่รวบรวมชื่อพฤกษศ�สตร์เฉพ�ะพชืที่มชีื่อพื้นเมอืงเรยีกเท่�นัน้ แต่ในฉบับปรับปรุงใหม่ปี 2557 ได้ใส่ชื่อ
พฤกษศ�สตร์ของพชืจ�กหนังสอืพรรณพฤกษช�ตปิระเทศไทยที่ตพีมิพ์แล้วแต่ยังไม่มชีื่อพื้นเมอืงไว้ด้วย ยังมพีชืป่�
ไทยอีกจำ�นวนม�กที่ไม่มชีื่อพื้นเมอืงเรยีก หรอืมแีต่ผู้บันทกึข้อมูลไม่ทร�บ
ชื่อพฤกษศ�สตร์หรอืชื่อวทิย�ศ�สตร์ ประกอบด้วยคำ�สองคำ� เป็นระบบชื่อที่เรยีกว่� binomial nomenclature
ดังกล่�วข้�งต้น คำ�แรกเป็นชื่อสกุล (generic name) คำ�ที่สองเป็นคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) ไม่ใช่เป็นชื่อ species
อย่�งที่ชอบเรยีกหรอืเข้�ใจผดิกัน ตัวอย่�งเช่นไม้ซ้อมชีื่อวทิย�ศ�สตร์ว่� Gmelina arborea Roxb. ชื่อ species ของ
ซ้อคอื Gmelina arborea ไม่ใช่เฉพ�ะ arborea คำ�หลัง หรอืมะม่วงมชีื่อพฤกษศ�สตร์ว่� Mangifera indica L. ชื่อ
species ของมะม่วงคอื Mangifera indica ไม่ใช่เฉพ�ะ indica คำ�หลัง ในก�รเขยีนชื่อพฤกษศ�สตร์ที่สมบูรณ์จะต้อง
มชีื่อบุคคลผู้ตัง้ชื่อพชืนัน้ (author) ต่อท้�ยด้วย ดังเช่นต�มตัวอย่�งข้�งต้น Roxburg และ Linnaeus เป็นผู้ตัง้ชื่อ
พฤกษศ�สตร์ของซ้อและมะม่วงต�มลำ�ดับ หลักก�รเขยีนชื่อ author ให้ยดึต�มหนังสอื Authors of Plant Names
ของสวนพฤกษศ�สตร์ควิ สหร�ชอ�ณ�จักร
ชื่อพฤกษศ�สตร์มักมชีื่อพ้อง (synonym) เสมอ ชื่อใดเป็นชื่อที่ถูกต้อง (correct name) ต้องถอืหลัก priority
เป็นสำ�คัญ ชื่อใดที่ตพีมิพ์ก่อนและถูกต้องต�มกฎ ICN จะได้รับก�รยอมรับให้เป็นชื่อที่ถูกต้องซึ่งทุกประเทศยอมรับ
ชื่อใดจะเป็นชื่อที่ถูกต้องนั้นเป็นหน้�ที่ของนักพฤกษศ�สตร์ส�ข�อนุกรมวิธ�นพืชที่จะต้องศึกษ�ทบทวนเพร�ะต้อง
ใช้คว�มรู้และประสบก�รณ์ม�ก ตัวอย่�งเช่น แต่ก่อนเร�รู้จักชื่อพฤกษศ�สตร์ของพะยอมว่� Shorea talura Roxb.
แต่ภ�ยหลังชื่อที่ถูกต้องของพะยอมถูกเปลี่ยนเป็น Shorea roxburghii G. Don เป็นต้น ชื่อ Shorea talura Roxb. จงึ
กล�ยเป็นชื่อพ้องไป หรอืในทำ�นองเดยีวกัน กล้วยไม้ดนิน�งอัว้ส�ครกิ Pecteilis hawkessiana (King & Pantl.) C. S.
Kumar ม ีPecteilis sagarikii Seidenf. เป็นชื่อพ้อง เป็นต้น
ชื่อ generic name ให้เขยีนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ส่วนชื่อ specific epithet ให้เขยีนขึ้นต้นด้วยตัวเล็ก ยกเว้นชื่อ
ที่ม�จ�กชื่อบุคคล หรอืชื่อที่เคยเป็นชื่อสกุลม�ก่อน ในอดตีอ�จเขยีนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ แต่ปัจจุบันนยิมให้เขยีนเป็น
ตัวเล็กหมด (เช่น พุดร�ช� Clerodendrum Schmidtii ให้เขยีนเป็น Clerodendrum schmidtii) ทัง้ generic name และ
specific epithet ให้ขดีเส้นใต้ พิมพ์เป็นตัวหน� หรอืพมิพ์เป็นตัวเอน เพื่อให้รู้ว่�เป็นชื่อในภ�ษ�ละตนิ ส่วนชื่อ author
ให้เขยีนไปต�มปกต ิคอืไม่ขดีเส้นใต้ ไม่เป็นตัวหน� หรอืไม่เป็นตัวเอน ตัวอย่�งเช่น
Alternative name ชื่อตำมกฎ ICBN สกุลต้นแบบ
(type genus)
ตัวอย่ำง
Compositae Asteraceae Aster L. ส�บเสือ ท�นตะวัน โด่ไม่รู้ล้ม
Cruciferae Brassicaceae Brassica L. ผักก�ด คะน้� กะหล่ำ�ปลี
Gramineae Poaceae Poa L. หญ้� ไผ่ แขม อ้อย ข้�ว
Guttiferae Clusiaceae Clusia L. ติ้ว รง ชะมวง มังคุด กระทิง
Labiatae Lamiaceae Lamium L. สัก ซ้อ ตีนนก กะเพร�
Leguminosae Fabaceae Faba Mill. แดง ประดู่ มะค่�โมง ถั่ว
Palmae Arecaceae Areca L. หม�ก ป�ล์ม หว�ย มะพร้�ว
Umbelliferae Apiaceae Apium L. ผักชี ผักชีฝรั่ง
สำ�หรับวงศ์ถั่ว (Leguminosae หรอื Fabaceae) ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่ สถ�บันท�งพฤกษศ�สตร์บ�งแห่งใช้ระบบ
ก�รจำ�แนกที่แบ่งเป็น 3 วงศ์ย่อย (subfamily) ได้แก่ Caesalpinioideae, Mimosoideae และ Papilionoideae (หรอื
Faboideae) ส่วนบ�งแห่งอ�จใช้ระบบก�รจำ�แนกที่แบ่งเป็น 3 วงศ์ได้แก่ Caesalpiniaceae, Mimosaceae และ
Papilionaceae (หรอื Fabaceae) ดังนัน้ก�รใช้คำ�ว่� Fabaceae จงึมคีว�มหม�ยได้ 2 แบบ คอื แบบแรกหม�ยถงึวงศ์
ใหญ่ทัง้วงศ์ (ใช้สลับกับ Leguminosae ได้) เป็นคว�มหม�ยแบบกว้�ง แบบที่สองถ้�วงศ์ถั่วถูกแบ่งแยกเป็น 3 วงศ์
คอื Caesalpiniaceae, Mimosaceae และ Papilionaceae คำ�ว่� Fabaceae จะใช้สลับกับ Papilionaceae ได้ เป็นคว�ม
หม�ยแบบแคบ
สกุล (Genus) และค�ำระบุชนดิ (Specific epithet) ชื่อสกุลและคำ�ระบุชนดิชนดิมักถูกใช้คู่กัน
เสมอเป็นชื่อพฤกษศ�สตร์ (Botanical name) หรอืชื่อวทิย�ศ�สตร์ (Scientific name) ของพชื ชื่อพฤกษศ�สตร์กับชื่อ
วทิย�ศ�สตร์มคีว�มหม�ยเหมอืนกันและใช้แทนกันได้ สกุลในภ�ษ�อังกฤษใช้คำ�ว่� genus ถ้�หล�ยสกุลเป็น
พหูพจน์ให้ใช้คำ�ว่� genera
ชื่อพฤกษศ�สตร์ของพชืในสมัยโบร�ณมักประกอบด้วยคำ�ส�มคำ�หรอืม�กกว่�ขึ้นไป เรยีกว่� polynomials
ตัวอย่�งเช่น ในหนังสอืของ Clusius (1583) เขยีนชื่อของต้นหลวิชนดิหนึ่งเป็น Salix pumila angustifolia altera
เป็นก�รอธบิ�ยว่�เป็นต้นแคระ ใบแคบและเรยีงสลับ ซึ่งเป็นชื่อที่ย�วม�ก ไม่สะดวกในก�รใช้ ปัจจุบันชื่อ
พฤกษศ�สตร์ของพชืใช้ระบบ binomial nomenclature ซึ่งประกอบไปด้วยคำ� 2 คำ� คอืชื่อสกุลกับคำ�ระบุชนดิ
หนังสอื Species Plantarum ของ Linnaeus ที่ตพีมิพ์ในปี 1753 ถอืเป็นจุดเริ่มต้นของระบบ binomial nomenclature
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ชื่อพฤกษศ�สตร์หรอืชื่อวทิย�ศ�สตร์ของพชืกำ�หนดให้เป็นภ�ษ�ละตนิ หรอืคำ�ที่ม�จ�กภ�ษ�อื่นแต่ถูก
แปลงให้เป็นภ�ษ�ละตนิแล้ว ที่พบได้บ่อยคอืคำ�ที่มรี�กศัพท์ม�จ�กภ�ษ�กรกีโบร�ณ เหตุที่กำ�หนดชื่อพฤกษศ�สตร์
ให้เป็นภ�ษ�ละตนิเพร�ะภ�ษ�ละตนิเป็นภ�ษ�เก่�แก่ เป็นร�กภ�ษ�ของช�ตติ่�ง ๆ ในยุโรป ภ�ษ�ละตนิไม่มกี�ร
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอกีต่อไปแล้ว ทำ�ให้ไม่มกี�รเปลี่ยนแปลงของคว�มหม�ย หรอืไม่มกี�รกร่อนของภ�ษ� และ
ไม่ได้ใช้เป็นภ�ษ�พูดประจำ�ช�ตใิดช�ตหินึ่งในปัจจุบัน ซึ่งทำ�ให้ผู้ใช้เกดิคว�มเต็มใจ ไม่เกดิอคตเิวล�ใช้ (ไม่ควรเรยีก
ว่�เป็นภ�ษ�ที่ต�ยแล้วดังปร�กฏต�มเอกส�รต่�ง ๆ)
เหตุที่ต้องใช้ชื่อพฤกษศ�สตร์สำ�หรับพชืเพร�ะว่� ชื่อส�มัญ (ชื่อในภ�ษ�อังกฤษ)ชื่อพื้นเมอืง หรอืชื่อท้องถิ่น
8 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
9 สกุลถั่วแปบช้�ง Afgekia (Leguminosae-Papilionoideae), สกุลป�ล์มเจ้�เมอืงถล�ง Kerriodoxa (Palmae)
ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ A. F. G. Kerr น�ยแพทย์ช�วไอรชิ ผู้บุกเบกิสำ�คัญในก�รสำ�รวจพรรณพฤกษช�ตขิอง
ประเทศไทย ท่�นได้เก็บพันธุ์ไม้ทั่วประเทศม�กกว่� 25,000 หม�ยเลข
สกุลเสี้ยว Bauhinia (Leguminosae-Caesalpinioideae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Caspar Bauhin
นักพฤกษศ�สตร์ช�วสวสิ
สกุลไม้ฝ�ง Caesalpinia (Leguminosae-Caesalpinioideae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Andrea Caesalpino
นักพฤกษศ�สตร์ช�วอติ�เลยีน ซึ่งเป็นนักอนุกรมวธิ�นพชืคนแรก
สกุล Garrettia (Labiatae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ H. B. G. Garrett ช�วอังกฤษ อดตีข้�ร�ชก�รกรมป่�ไม้
สำ�รวจและเก็บตัวอย่�งพันธุ์ไม้บรเิวณจังหวัดเชยีงใหม่และเชยีงร�ย
สกุลเอื้องเข็มหนู Smitinandia (Orchidaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ศ. ดร. เต็ม สมตินิันทน์ ผู้เชี่ยวช�ญ
ด้�นพฤกษศ�สตร์ผู้มบีทบ�ทสำ�คัญในก�รก่อตัง้โครงก�รพรรณพฤกษช�ตปิระเทศไทย (Flora of Thailand Project)
สกุลแคสันตสิุข Santisukia (Bignoniaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ศ. ดร. ธวัชชัย สันตสิุข ผู้เชี่ยวช�ญ
ด้�นสำ�รวจและจำ�แนกพันธุ์ไม้ประจำ�หอพรรณไม้
สกุลเอื้องหนวดพร�หมณ์ Seidenfadenia (Orchidaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Dr. Gunnar Seidenfaden
อดตีเอกอัครร�ชทูตเดนม�ร์กประจำ�ประเทศไทย ผู้บุกเบกิก�รศกึษ�ท�งด้�นอนุกรมวธิ�นของกล้วยไม้เมอืงไทย
สกุล Thawatchia (Podostemaceae) สกุลพชืดอกขน�ดเล็กชอบขึ้นบนล�นหนิในลำ�ธ�รมนีำ�้ไหล ตัง้ให้เป็น
เกยีรตแิก่ ศ. ดร. ธวัชชัย สันตสิุข และน�ยธวัชชัย วงศ์ประเสรฐิ นักพฤกษศ�สตร์หอพรรณไม้
ตั้งตำมลักษณะของพชื ตัวอย่�งเช่น
สกุลประดู่ Pterocarpus (Leguminosae-Papilionoideae) ตัง้ต�มลักษณะผลที่มปีีก Ptero-carpus ม�จ�ก
ร�กศัพท์ในภ�ษ�กรกีว่� Pteran ซึ่งแปลว่�ปีก กับ karpos ซึ่งแปลว่� ผล
สกุลเทยีน Impatiens (Balsaminaceae) ตัง้ต�มลักษณะของผลที่แตกง่�ยเมื่อสัมผัส impatiens เป็นภ�ษ�
ละตนิหม�ยถงึ impatient ในภ�ษ�อังกฤษ ซึ่งแปลว่� ไม่อดทน หรอืใจร้อน
สกุลคร�ม Indigofera (Leguminosae-Papilionoideae) ตัง้ต�มลักษณะพชืที่ให้สนีำ้�เงนิซึ่งใช้ย้อมผ้� indigo
เป็นเฉดสหีนึ่งของสนีำ�้เงนิ ส่วน fera ม�จ�ก fer แปลว่� ชักนำ� หรอืทำ�ให้เกดิ
สกุลย�ง Dipterocarpus (Dipterocarpaceae) ตัง้ต�มลักษณะผลที่มปีีกย�ว 2 ปีก คล้�ยกับชื่อสกุล
Pterocarpus แต่มคีำ�ว่� di ซึ่งแปลว่�ว่� สอง
สกุลตังต�บอด Excoecaria (Euphorbiaceae) ตัง้ต�มลักษณะย�งที่มพีษิทำ�ให้ต�บอด
ตั้งตำมชื่อพื้นเมอืง ตัวอย่�งเช่น
สกุลอบเชย Cinnamomum (Lauraceae) ตัง้ต�มชื่อพื้นเมอืงภ�ษ�กรกี Kinnamomon
สกุลกล้วย Musa (Musaceae) ตัง้ต�มชื่อภ�ษ� อ�ร�บคิ Mauz, Mouz หรอื Muza
ย�งน� Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don มะม่วง Mangifera indica L.
Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don Mangifera indica L.
Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don Mangifera indica L.
ก�รขดีเส้นใต้ ปกตนิยิมใช้เมื่อเขยีนด้วยมอืหรอืพมิพ์ด้วยเครื่องพมิพ์ดดี ส่วนก�รพมิพ์ด้วยเครื่อง
คอมพวิเตอร์นยิมให้เป็นตัวเอนหรอืตัวหน� ปัจจุบันต�มเอกส�รท�งวชิ�ก�รทั่วไปนยิมใช้เป็นตัวเอนม�กที่สุด ถ้�ม ี
subspecies (ใช้ตัวย่อ subsp. หรอื ssp. ) หรอื variety (ใช้ตัวย่อ var.) ให้คำ�ว่� subsp., ssp. หรอื var. เขยีนเป็นตัว
ปกต ิคอื ไม่ขดีเส้นใต้ ไม่หน�หรอืเอน ตัวอย่�งเช่นติ้วขน Cratoxylum formosum (Jack) Dyer supsp. pruniflorum
(Kurz) Gogel. หรอื Cratoxylum formosum (Jack) Dyer ssp. pruniflorum (Kurz) Gogel. งิ้วป่�ดอกข�ว Bombax
anceps Pierre var. anceps
ถ้�เป็นชื่อพันธุ์ปลูก (cultivar names) ให้เขยีนชื่อพันธุ์ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ในเครื่องหม�ยอัญประก�ศเดี่ยว
‘ ’ (ไม่ใช่ “ ”) และให้เขยีนเป็นตัวปกต ิคอืไม่เอยีง ไม่เอน ไม่หน� ชื่อ author ไม่ต้องอ้�ง เช่น คัทลยี�ควนิสริกิติิ์
Cattleya ‘Queen Sirikhit’ ดอนญ่�ควนิสริกิติิ์ Mussaenda philippica ‘Queen Sirikit’ ไทรย้อยใบด่�ง Ficus benjamina
‘Variegata’ ไฮแดรนเยยี Hydrangea macrophylla ‘Ami Pasquier’ ตัวย่อ cv. แต่ก่อนอนุญ�ตให้ใช้ได้แต่ปัจจุบัน
ห้�มใช้ ตัวอย่�งเช่น กุหล�บควนีสริกิติิ์ Rosa cv. Queen Sirikit หรอื Rosa cv. ‘Queen Sirikit’ เป็นก�รเขยีนที่ผดิ
ที่ถูกต้องคอื Rosa ‘Queen Sirikit’ โดยต้องตัดคำ�ว่� cv. ออก ก�รเขยีนและตัง้ชื่อพันธุ์ปลูกถูกควบคุมโดย
International Code of Nomenclature for Cultivated Plants
ถ้�เป็นชื่อลูกผสม (hybrid names) จะมเีครื่องหม�ยคูณ (×) แสดงให้ทร�บว่�เป็นลูกผสม ตัวอย่�งเช่น
Agrostis L. × Polypogon Desf.; Mentha aquatic L. × M. arvensis L. × M. spicata L. เครื่องหม�ยคูณ (×) ต้องไม่
เอยีง ถ้�ไม่มเีครื่องหม�ยนี้ในคอมพวิเตอร์ให้ใช้ตัวอักษร x แทนได้ แต่ต้องเป็นตัวพมิพ์เล็กเท่�นัน้ ในเอกส�รท�ง
วชิ�ก�รทั่วไป ชื่อ generic name เมื่อกล่�วถงึเป็นครัง้ที่สอง อ�จใช้ตัวย่อจ�กอักษรตัวแรกที่เป็นตัวพมิพ์ใหญ่ได้
ตร�บใดที่ไม่ทำ�ให้เกดิคว�มสับสน ตัวอย่�งเช่น เมื่อกล่�วถงึ ประดู่ป่� Pterocarpus macrocarpus Kurz แล้ว เมื่อ
กล่�วถงึประดู่กิ่งอ่อนทหีลัง อ�จใช้ตัวย่อได้ เช่น P. indicus Willd. เป็นต้น ส่วนก�รกล่�วถงึชื่อสกุลถ้�กล่�วถงึโดย
รวมโดยไม่ระบุว่�เป็นชนดิใดอ�จใช้ spp. ต่อท้�ยชื่อสกุลได้ เช่นถ้�ต้องก�รเขยีนป้�ยปักไว้หน้�แปลงกล้�ไม้ในสกุล
ย�งซึ่งมหีล�ยชนดิ แต่ไม่มกี�รระบุให้แน่ชัดว่�เป็นชนดิใดบ้�ง อ�จเขยีนเป็น Dipterocarpus spp. แต่ถ้�เป็นก�ร
กล่�วถงึต้นไม้ชนดิเดยีวที่ทร�บชื่อสกุลแต่ไม่ทร�บว่�เป็นชนดิใดให้ใช้ sp. ต่อท้�ย ตัวอย่�งเช่นต้องก�รเขยีนป้�ย
แสดงชื่อต้นไม้ต้นหนึ่งต�มเส้นท�งศกึษ�ธรรมช�ตซิึ่งทร�บแน่นอนว่�เป็นพชืสกุลย�งแต่ไม่ทร�บชนดิ อ�จเขยีนได้
เป็น Dipterocarpus sp. กรณนีี้ห้�มใช้ Dipterocarpus spp. โดยเด็ดข�ดเพร�ะเป็นพหูพจน์หม�ยถงึหล�ยชนดิ
ชื่อสกุล (generic name) และคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) อ�จมทีี่ม�ได้หล�ยท�ง อ�จกำ�หนดต�ม
ลักษณะของพชื ชื่อบุคคล ชื่อพื้นเมอืง หรอืแหล่งที่พบพชื
ตัวอย่ำงชื่อสกุล (generic name)
ตั้งตำมชื่อบุคคล ตัวอย่�งเช่น
สกุลเอื้องศร ี(ศรปีระจมิ ศรอี�คะเนย์ และศรเีชยีงด�ว) Sirindhornia (Orchidaceae) เป็นสกุลกล้วยไม้ และ
สกุลเครอืเทพรัตน์ Thepparatia (Malvaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่สมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี
10 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
11 หน�ดคำ� Clerodendrum vanprukii Craib ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่พระย�วันพฤกษ์พจิ�รณ์ (ทองคำ� เศวตศลิ�)
มะพลับเจ้�คุณ Diospyros winitii H. R. Fletcher (Ebenaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่พระย�วนิจิวนันดร
เหยื่อเลยีงผ� Impatiens kerriae Craib (Balsaminaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ภรรย�หมอค�ร์
เทยีนน�ยเนย Impatiens noei Craib (Balsaminaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่น�ยเนย อศิร�งกูร ณ อยุธย�
ผู้ช่วยหมอค�ร์
ตองแห้งอนันต์ Hedyotis nalampoonii Fukuoka (Rubiaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่น�ยอนันต์ ณ ลำ�พูน
อดตีข้�ร�ชก�รกรมป่�ไม้
กระดุมเต็ม Eriocaulon smitinandii Moldenke (Eriocaulaceae) หญ้�ก�บแดง Fimbristylis smitinandii T.
Koyama (Cyperaceae) กุลเข� Madhuca smitinandii Chantar. (Sapotaceae) กรกนก Typhonium smitinandii
Sookch. & J. Murata (Araceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ศ. ดร.เต็ม สมตินิันทน์
โมกก�ระเกตุ Wrightia karaketii D. J. Middleton (Apocynaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่น�ยปรชี� ก�ระเกตุ
เจ้�หน้�ที่หอพรรณไม้ผู้ถ่�ยภ�พและเก็บตัวอย่�ง
ข้อสังเกต ชื่อสกุล (generic name) กับคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) จะต้องสอดคล้องกัน ถูกต้อง
ต�มกฎไวย�กรณ์ละตนิ ชื่อ specific epithet จะต้องสอดคล้องกับเพศของ generic name ซึ่งแบ่งได้เป็นเพศช�ย
(Masculine) เพศหญงิ (Feminine) และไม่มเีพศ (Neuter) ก�รกำ�หนดเพศให้กับชื่อสกุลให้เป็นไปต�มธรรมเนยีม
ปฏบิัตทิ�งพฤกษศ�สตร์ ถ้�ไม่มธีรรมเนยีมปฏบิัต ิก็ให้เป็นไปต�มที่ author สำ�หรับสกุลนัน้ ๆ กำ�หนด สิ่งเหล่�นี้เป็น
เรื่องยุ่งย�ก ต้องใช้ประสบก�รณ์ และมขี้อยกเว้นม�กม�ย แม้แต่นักพฤกษศ�สตร์เองก็ใช่ว่�ทุกคนจะเข้�ใจได้
ถ่องแท้ อย่�งไรก็ต�มพอยกตัวอย่�งได้คร่�ว ๆ สำ�หรับคำ�ที่ลงท้�ยด้วย a, us, um และ is ซึ่งต้องสอดคล้องระหว่�ง
ชื่อสกุลกับคำ�ระบุชนดิดังนี้
ชื่อสกุลเพศหญงิ ชื่อสกุลเพศช�ย ชื่อสกุลไม่มเีพศ
Rosa damascena Pterocarpus indicus Clerodendrum paniculatum
กุหล�บมอญ ประดู่กิ่งอ่อน พนมสวรรค์
(a, us, um คำ�ลงท้�ยของคำ�ระบุชนดิต้องเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสกุลเพศหญงิ ช�ย และสกุลไม่มเีพศ)
Vanilla siamensis Calamus siamensis Baliospermum siamense
พลูช้�ง หว�ยขม เปล้�ตองแตก
(is คำ�ลงท้�ยของคำ�ระบุชนดิสำ�หรับสกุลเพศหญงิและช�ยใช้เหมอืนกัน เปลี่ยนเฉพ�ะสกุลไม่มเีพศ)
คำ�ระบุชนดิ (specific epithet) ที่ไม่ลงท้�ยด้วย a, us, um และ is ต�มแบบข้�งต้น แต่ลงท้�ยด้วยคำ�อื่น เช่น
-ans, -ens, -or, -x ไม่ต้องมกี�รเปลี่ยนแปลงไม่ว่�ชื่อสกุลจะเป็นเพศหญงิ เพศช�ย หรอืไม่มเีพศ ตัวอย่�งเช่น
ตั้งตำมแหล่งที่พบ ตัวอย่�งเช่น
สกุลว่�นแผ่นดนิไทย Thaia (Orchidaceae) เป็นสกุลกล้วยไม้ดนิที่พบเฉพ�ะในประเทศไทย (endemic)
สกุลกกเข�สก Khaosokia (Cyperaceae) เป็นกกสกุลใหม่พบบนหน้�ผ�หนิปูนเหนอือ่�งเก็บนำ�้เขื่อนรัชช
ประภ� อุทย�นแห่งช�ตเิข�สก
ตัวอย่ำงค�ำระบุชนดิ (specific epithet)
ตั้งตำมลักษณะของพชื ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นคำ�คุณศัพท์ ตัวอย่�งเช่น alba (สขี�ว)
rubra (สแีดง) alatus (มปีีก) angustifolia (ใบแคบ) aquaticus (อยู่ในนำ�้) aureus (สทีอง) barbatus (มขีน) bicolor (สอง
ส)ี canescens (สเีท�) edulis (กนิได้) erectus (ตัง้ตรง) foetidus (กลิ่นเหม็น) grandiflorus (ดอกใหญ่) macrophyllus
(ใบใหญ่) nigrescens (สดีำ�) parviflorus (ดอกเล็ก) viridis (สเีขยีว)
ตั้งตำมสถำนที่หรอืแหล่งที่พบครั้งแรก ตัวอย่�งเช่น thailandica, siamensis,
siamense (ไทย) chinensis, chinense (จนี) japonica (ญี่ปุ่น) malayana (ม�เลเซยี) nepalensis (เนป�ล) annamense
(ภ�คกล�งของเวยีดน�ม) attopeuensis (แขวงอัตตะปือ ล�ว) chiangdaoense (เชยีงด�ว เชยีงใหม่) ก�รตัง้ชื่อ
ลักษณะนี้ไม่ได้หม�ยคว�มว่�พชืที่เร�กล่�วถงึจะพบได้ม�ก หรอืพบเฉพ�ะในที่นัน้ ๆ เท่�นัน้ (เป็นเพงีแค่ก�รตัง้ชื่อ
อ�จพบม�กหรอืน้อยก็ได้) ตัวอย่�งเช่น เกล็ดตะเข้ Albizia attopeuensis (Pierre) I. C. Nielsen (Leguminosae-
Mimosoideae)) ไม่ได้หม�ยคว�มว่�พชืชนดินี้ม�จ�กแขวงอัตตะปือ ภ�คใต้ของล�ว หรอืพบม�กเฉพ�ะที่แขวงอัตตะ
ปือเท่�นัน้ เป็นเพยีงแต่ว่�เมื่อมกี�รตัง้ชื่อครัง้แรก พชืที่นักพฤกษศ�สตร์ตรวจสอบเป็นพชืที่เก็บม�จ�กแขวงอัตต�
ปือ ในไทยส�ม�รถพบพชืนดินี้ได้ทั่วไปในป่�เต็งรัง อกีตัวอย่�งหนึ่ง เช่นก่วมเชยีงด�ว Acer chiangdaoense Santisuk
(Aceraceae) พบครัง้แรกที่ดอยเชยีงด�ว เชยีงใหม่ แต่เมื่อมกี�รสำ�รวจเพิ่มขึ้นก็พบได้อกีที่เข�หนิปูนดอยตุง
เชยีงร�ย เป็นต้น
ชื่อที่ตั้งให้เป็นเกยีรตแิก่บุคคล ตัวอย่�งเช่น
โมกร�ชนิ ี Wrightia sirikitiae D. J. Middleton & Santisuk (Apocynaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่สมเด็จ
พระน�งเจ้�ฯ พระบรมร�ชนินี�ถ
สิรนิธรวัลล ีBauhinia sirindhorniae K. Larsen & S. S. Larsen (Leguminosae-Caesalpinoideae) และจำ�ปี
สริธิร Magnolia sirindhorniae H. P. Nooteboom & P. Chalermglin (Magnoliaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่สมเด็จ
พระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�ร ี
เปล้�สันตสิุข Croton santisukii H. K. Airy Shaw (Euphorbiaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ศ. ดร.ธวัชชัย สันตสิุข
ประก�ยแสด Mallotus kongkandae Welzen & K. Phattarahirankanok (Euphorbiaceae) เปล้�ศรรี�ช�
Croton kongkandanus Esser (Euphorbiaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ดร. ก่องก�นด� ชย�มฤต
ดอกใต้ต้น Sauropus poomae Welzen & Chayamarit (Euphorbiaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ดร.ร�ชันย์ ภู่ม�
เสม็ดนำ�้ Syzygium putii P. Chantaranothai & J. Parnell (Myrtaceae) ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่น�ยพุฒ
ไพรสุรนิทร์ ผู้ช่วยหมอค�ร์
12 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
13 ประดับหนิอัสสัม Argostemma khasianum
แห้วประดู่ Eriosema chinense
ชื่อคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) ที่ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่บุคคล โดยมคีำ�ลงท้�ยเป็น -i, -ii, -ae, -iae มหีลัก
ดังนี้
ถ้�ชื่อบุคคลลงท้�ยด้วย e, i, o, u, y หรอื er ให้เตมิ i สำ�หรับเพศช�ย ae สำ�หรับเพศหญงิ ยกเว้นลงท้�ย
ด้วย a ให้เตมิ e ไม่ว่�เป็นเพศช�ยหรอืหญงิ ตัวอย่�งเช่น
เปล้�เลอืด Croton poilanei Gagnep. ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mr. E. Poilane
ต�นหก Litsea pierrei Lecomte ตัง้ให้เป็นเกยีรต ิMr. L. Pierre
- Cleistocalyx phengklaii Chantar. & J. Parn. ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่
ดร. จำ�ลอง เพ็งคล้�ย (Phengklai)
- Cynanchum katoi Ohwi ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mr. Kato
เอื้องผึ้ง Dendrobium lindleyi Steud. ตัง้ให้เป็นเกรีตแิก่ Mr. J. Lindley
กุหล�บข�ว Rhododendron lyi H. Lév. ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mr. Ly
- Smitinandia helferi (Hook. f.) Garay ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mr. Helfer
หม้อแกงลิง Nepenthes hookerae Hort. ex G. Beck ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mrs. Hooker
(เพศหญงิ)
ประก�ยแสด Mallotus kongkandae Welzen & K. Phattarahirankanok ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่
ดร. ก่องก�นด� ชย�มฤต (Kongkanda)
ดอกใต้ต้น Sauropus poomae Welzen & Chayamarit ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ดร.ร�ชันย์ ภู่ม�
(Pooma)
ก�บเชงิเทยีน Aglaonema chermsiriwattanae Sookch. ตัง้ให้เป็นเกรีตแิก่ ดร. จริ�ยุพนิ
จันทรประสงค์ (น�มสกุลเดมิ เจมิศริวิัฒน์, Chermsiriwattana)
ถ้�ชื่อบุคคลลงท้�ยด้วยพยัญชนะ (ยกเว้น er) ให้เตมิ i ไปก่อนหนึ่งตัว แล้วต�ม i อกีหนึ่งถ้�เป็นเพศช�ย
หรอืต�มด้วย ae ถ้�เป็นเพศหญงิ ตัวอย่�งเช่น
โมกร�ชนี ี Wrightia sirikitiae D. J. Middleton & Santisuk ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่สมเด็จ
พระน�งเจ้�ฯ พระบรมร�ชนินี�ถ (Sirikit)
สิรนิธรวัลล ี Bauhinia sirindhorniae K. Larsen & S. S. Larsen ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่สมเด็จ
พระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�ร ี(Sirindhorn)
เปล้�สันตสิุข Croton santisukii H. K. Airy Shaw ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ ศ. ดร. ธวัชชัย สันตสิุข
(Santisuk)
ชื่อสกุลเพศหญงิ ชื่อสกุลเพศช�ย ชื่อสกุลไม่มเีพศ
Rosa elegans Acanthus elegans Allium elgans
Rosa simplex Acanthus simplex Allium simplex
Ludwigia repens Ranunculus repens Trifolium repens
Ludwigia bicolor Ranunculus bicolor Trifolium bicolor
จะเห็นว่� is ใช้ลงท้�ย specific epithet ได้ทัง้สกุลที่เป็นเพศช�ยและเพศหญงิ (Vanilla siamensis
ชื่อสกุลเป็นเพศหญงิ Calamus siamensis ชื่อสกุลเป็นเพศช�ย) ส่วน e ใช้ลงท้�ย specific epithet ของสกุลไม่มเีพศ
เท่�นัน้ เพร�ะฉะนัน้ ถ้�เห็นคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) ลงท้�ยด้วย ensis ชื่อสกุลอ�จเป็นเพศช�ยหรอืหญงิก็ได้
แต่ถ้�ลงท้�ยด้วย ense แสดงว่�เป็นชื่อสกุลที่ไม่มเีพศ
สกุลของไม้ต้นบ�งสกุลที่ลงท้�ยด้วย –us ถงึแม้ว่�คำ�ลงท้�ยจะแสดงว่�เป็นเพศช�ย แต่
ธรรมเนยีมปฏบิัตใิห้ถอืเป็นเพศหญงิ ตัวอย่�งเช่น
ก่อขี้กว�ง Quercus acutissima (ไม่ใช่ acutissimus)
ก่อต�คว�ย Quercus brandisiana (ไม่ใช่ brandisianus)
พลัม Prunus domestica (ไม่ใช่ domesticus)
กุหล�บหนิ Rhamnus crenata (ไม่ใช่ crenatus)
สำ�หรับ Eucalyptus ไม่มธีรรมเนยีมปฏบิัตวิ�งไว้ ผู้ตพีมิพ์ครัง้แรกได้กำ�หนดให้เป็นเพศหญงิ ดังนัน้ชื่อชนดิ
จงึเขยีนเป็น Eucalyptus alba แทนที่จะเป็น Eucalyptus albus
ชื่อสกุลที่ลงท้�ยด้วย -ceras, -dendron, -nema, -stigma, -stoma และสกุลส่วนใหญ่ที่ลงท้�ยด้วย -ma
เป็นกลุ่มสกุลไม่มเีพศ ตัวอย่�งเช่น
กล้วยไม้น้อย Pteroceras ciliatum (= Biermannia ciliata)
กุหล�บผ� Rhododendron longiflorum
ไม้ขัน Amesiodendron chinense
เครือน่อง Anodendron affine
เขยีวหมื่นปี Aglaonema modestum
เอื้องข้�วตอกหนิ Amitostigma thailandicum
ย่�นเลอืด หรอืนมวัว Fissistigma rubiginosum
โคลงเคลง Melastoma malabathricum
ห�งเสอืล�ย Platostoma cochinchinense
14 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
15ตพีมิพ์โดยสวนพฤกษศ�สตร์ Kew สหร�ชอ�ณ�จักร หนังสอืชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยของ ศ. ดร. เต็ม สมติิ
นันทน์ ก็ยดึรูปแบบก�รย่อต�มหนังสอืเล่มนี้ ตัวอย่�งเช่นชื่อย่อของ Linnaeus ให้ย่อว่� L. ไม่ใช่ Linn. ซึ่งอ�จจะ
สับสนกับชื่อย่อ Linn (ไม่มจีุดต�มหลัง) ของ Manson Bruce Linn นักพฤกษศ�สตร์ที่ทำ�ก�รวจิัยเกี่ยวกับเห็ดร�
(Mycology) ทำ�นองเดยีวกัน ชื่อย่อของลูกช�ยลนิเนยีสให้ย่อว่� L. f. ไม่ใช่ Linn. f.
ชื่อ author มคีว�มสำ�คัญเพร�ะจะส�ม�รถชี้ให้เห็นคว�มเป็นม�หรอืประวัตขิองชื่อได้ ที่พบบ่อยคอืชื่อใน
วงเล็บ ชื่อที่เชื่อมด้วย ex, et หรอื & ตัวอย่�งเช่น
Nuttall ตัง้ชื่อ Gossypium tomentosum แต่ไม่ได้ตพีมิพ์ให้ถูกต้องต�มกฎ ภ�ยหลัง Seemann ได้ม�ทำ�ก�ร
ตพีมิพ์ให้ถูกต้อง ชื่อพฤกษศ�สตร์อ�จเขยีนได้เป็น Gossypium tomentosum Nutt. ex Seem. หรอื Gossypium
tomentosum Seem. โดยไม่อ้�ง Nutt. ก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะอ้�งเพื่อเป็นก�รให้เกยีรตผิู้ที่ตัง้ชื่อไว้ก่อน
เมื่อคนสองคนร่วมกันตัง้ชื่อ ให้เชื่อมด้วย et หรอืเครื่องหม�ย & เช่น สงิโตอ�จ�รย์เต็ม พบที่เข�หลวง
นครศรธีรรมร�ช จะใช้ชื่อพฤกษศ�สตร์ว่� Bulbophyllum smitinandii Seidenf. et Thorat หรอื Bulbophyllum
smitinandii Seidenf. & Thorat ก็ได้ ถ้�ม�กกว่�สองคนร่วมกันตัง้ชื่อ ให้อ้�งชื่อทุกคนในก�รตพีมิพ์ครัง้แรก ภ�ยหลัง
เมื่อมกี�รอ้�งถงึ อ�จใช้เฉพ�ะชื่อคนแรกแล้วต�มด้วย “et al.” หรอื “& al.” ตัวอย่�งเช่น Aporusa glabra
Hesseltine, J. N. Porter, Deduck, Hauck, Bohonos & J. H. William เมื่อตพีมิพ์ครัง้แรกให้อ้�งทัง้หมด ภ�ยหลังเมื่อ
เร�นำ�ชื่อม�ใช้ อ�จอ้�งได้เป็น Aporusa glabra Hesseltine et al. หรอื Aporusa glabra Hesseltine & al.
ชื่อพฤกษศ�สตร์เมื่อมกี�รเปลี่ยนแปลง เช่น ยกระดับจ�ก variety หรอื subspecies เป็น species หรอืย้�ย
จ�กสกุลหนึ่งไปยังอกีสกุลหนึ่งและยังคงชื่อคำ�ระบุชนดิ (specific epithet) เดมิไว้ ให้ใส่ชื่อ author เดมิไว้ในวงเล็บ
แล้วต�มด้วยชื่อ author ที่ทำ�ก�รย้�ยหรอืเปลี่ยนแปลงนัน้ ตัวอย่�งเช่นเมื่อ Medicago polymorpha var. orbicularis
L. ถูกยกระดับขึ้นให้เป็น species โดย Allioni ชื่อใหม่ที่ได้จะเขยีนเป็น Medicago orbicularis (L.) All. หรอืถ้�เป็นก�ร
ย้�ยสกุล เช่น ขี้เหล็กไทย Cassia siamea Lam. ตัง้โดย Lamarck แต่ Irwin และ Barneby เห็นว่�น่�จะจัดอยู่ในสกุล
Senna ก็ทำ�ก�รย้�ยเป็น Senna siamea (Lam.) Irwin & Barneby ชื่อเดมิก่อนก�รเปลี่ยนแปลงเรยีกว่� basionym ใน
ที่นี้คอื Medicago polymorpha var. orbicularis L. และ Cassia siamea Lam. ต�มลำ�ดับ
กำรอ่ำนชื่อพฤกษศำสตร์ ก�รอ่�นชื่อพฤกษศ�สตร์มักเป็นปัญห�เสมอสำ�หรับผู้ที่ต้องใช้ชื่อเป็นประจำ�
เช่นเจ้�หน้�ที่ป่�ไม้ หรอืนสิติ นักศกึษ�ในส�ข�ชวีวทิย� ทัง้นี้เนื่องจ�กไม่มคีว�มมั่นใจว่�ควรจะออกเสยีงชื่อนัน้ ๆ
อย่�งไร ก�รอ่�นชื่อพฤกษศ�สตร์ไม่มขี้อบังคับที่แน่นอนในก�รออกเสยีง แต่ละช�ตแิต่ละสถ�บัน หรอืแม้แต่
นักพฤกษศ�สตร์ในสถ�บันเดยีวกันก็มกี�รออกเสยีงไม่เหมอืนกัน ถ้�มคีว�มรู้เกี่ยวกับชื่อนัน้ ๆ อยู่บ้�ง หรอืรู้ภ�ษ�
ละตินพอสมควร ก็จะช่วยเพิ่มคว�มมั่นใจในก�รอ่�นออกเสยีงม�กยิ่งขึ้น อย่�งไรก็ต�มพอจะแบ่งก�รอ่�นได้เป็น
2 แบบ คอื English Method กับ Continental Method (หรอื Academic Method, Latin Method) ก�รอ่�นแบบแรกจะ
นยิมในประเทศที่พูดภ�ษ�อังกฤษ ก�รอ่�นแบบที่สองนยิมในยุโรปผนืแผ่นดนิใหญ่ (ไม่รวมเก�ะอังกฤษและ
ไอร์แลนด์) ข้อแตกต่�งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ก�รออกเสยีงตัวท้�ยของ generic name และ specific epithet ตัวอย่�งเช่น
(English Method) (Continental Method)
ระฟ้�ปู Psilotum nudum ไซโลตัม นูดัม ซโิลตุม นูดุม
ก่อหม ี Lithocarpus auriculatus ลโิทค�ปัส ออรคิูล�ตัส ลโิทค�ปุส ออรคิูล�ตุส
ขี้ขม Ligustrum confusum ไลกัสตรัม คอนฟูซัม ไลกัสตรุม คอนฟูซุม
ก�รตัง้ชื่อให้เป็นเกยีรตแิก่บุคคลต้องยดึถอืต�มกฎดังกล่�วข้�งต้น ถ้�มขี้อผดิพล�ด ให้ถอืว่�เป็นคว�ม
ผดิพล�ดซึ่งต�มกฎ ICN ส�ม�รถแก้ไขให้ถูกต้องได้เมื่อมกี�รเขยีนชื่อโดยไม่ต้องทำ�ก�รตพีมิพ์ใหม่ (หม�ยถงึก�รตี
พมิพ์ที่ต้องทำ�ต�มกฎเกณฑ์ท�งพฤกษศ�สตร์) ชื่อสมัยก่อนจะพบม�กที่ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ผู้หญงิที่มคีำ�ลงท้�ยชื่อ
เป็นพยัญชนะ แล้วเตมิเฉพ�ะ ae โดยไม่เตมิ i ก่อน ตัวอย่�งเช่น มังกรค�บแก้ว (Clerodendrum thomsoniae) ตัง้ชื่อ
ให้เป็นเกยีรตแิก่น�ง Thomson (ชื่อลงท้�ยด้วยพยัญชนะ n) ในเอกส�รสมัยก่อนจะพบชื่อพฤกษศ�สตร์เขยีนเป็น
Clerodendrum thomsonae (ไม่ม ีi ต�มหลัง n) ข้อผดิพล�ดที่เกดิขึ้นลักษณะนี้ ในปัจจุบันเวล�เขยีนชื่อให้เตมิ i ไปได้
เลย เป็น Clerodendrum thomsoniae
ตัวอย่�งพชืที่มักเขยีนชื่อพฤกษศ�สตร์ผดิ
ชื่อที่มักเขยีนผดิ ชื่อที่ถูกต้อง
กิ่งขึ้น Mitrephora collinsae Mitrephora collinsiae
พลับยอดดำ� Diospyros collinsae Diospyros collinsiae
หญ้�ใต้ใบ Actephila collinsae Actephila collinsiae
เสยีว Phyllanthus collinsae Phyllanthus collinsiae
ข�เปี๋ย Premna collinsae Premna collinsiae
ตะแบกใบเล็ก Lagerstroemia collinsae Lagerstroemia collinsiae
พลิังส� Ardisia collinsae Ardisia collinsiae
ข่อยหิน Gardenia collinsae Gardenia collinsiae
เข็มใหญ่ Ixora collinsae Ixora collinsiae
เข็มข�ว Tarenna collinsae Tarenna collinsiae
หนอนต�ยหย�ก Stemona collinsae Stemona collinsiae
รสสุคนธ์ Tetracera loureiri Tetracera loureiroi
จันทน์ผ� Dracaena loureiri Dracaena loureiroi
ป�ล์มสบิสองปันน� Phoenix loureiri Phoenix loureiroi
แห้วกระต่�ย Murdannia loureiri Murdannia loureiroi
ชื่อกลุ่มแรกเป็นชื่อที่ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mrs. D. J. Collins ผู้สำ�รวจและเก็บตัวอย่�งพันธุ์ไม้แถบ
ศรรี�ช�ในยุคเดยีวกับหมอค�ร์ ชื่อกลุ่มที่สองเป็นชื่อที่ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่ Mr. Loureiro
กำรอ้ำงชื่อผู้ตั้งชื่อพชื (Author Citation)
ชื่อ author มรีูปแบบก�รย่อที่เป็นม�ตรฐ�นต�มหนังสอื Authors of plant names ของ Brummitt & Powell
16 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
17 oe ออกเสยีงเหมอืนเป็นตัว e หรอื o เช่น Aloe อโล Rhoeas รแีอส dioecious ไดอเีชยีส
monoecious โมนเีชยีส Ipomoea ไอโปเมยี Phoenix ฟีนกิ Lagerstroemia ล�เกอร์สโตรเมยี (ตัง้ให้เป็นเกยีรตแิก่
Magnus Lagerstroem ช�ว Swedish เพื่อนของ Linnaeus) Boea เบยี หรอื โบเอยี Coelogyne ซโีลไกเน หรอืซโีลจนิี
y, j ออกเสยีงเหมอืนเป็นตัว i เช่น Berrya เบอร์เรยีหรอืเบอร์รอี� Buddleja บัดเลยี Byttneria บทิทเนอเรยี
Cryptocarya ครบิโตค�เรยี Cyrtandra เซอร์แทนดร� Myrtaceae เมอร์เตซ ีMicrostachys ไมโครสเตคสี Eurya ยูเรยี
eu ออกเสียงเป็น u เช่น Eucalyptus ยูค�ลปิตัส Eurycarpus ยูรคิ�ร์ปัส
ph ออกเสียงเป็น f เช่น Phyllanthus ฟิลแลนทัส
ch ออกเสียงเป็น k เช่น Chloranthus คลอแรนทัส
คำ�บ�งคำ�มเีครื่องหม�ยจุดสองจุดอยู่ด้�นบน เป็นก�รแสดงให้รู้ว่�ต้องออกเสยีงแยกจ�กพยัญชนะ
ตัวหน้� เช่น Isoëtes อ่�นว่� ไอโซอเีทส หรอื ไอโซอทีสิ
3. ก�รจำ�แนก (Classification) คอื ก�รจำ�แนกพรรณพชืขึ้นเป็นหมวดหมู่ต่�ง ๆ ก�รจำ�แนกอย่�งง่�ย ๆ คอื
จัดพชืเป็นพวกไม้ต้น ไม้พุ่ม ไม้เถ� และไม้ล้มลุก หรอืจัดเป็นจำ�พวกผักกูด จำ�พวกไม้สน จำ�พวกพชืใบเลี้ยงคู่
ใบเลี้ยงเดี่ยว เหล่�นี้ พอจะกล่�วได้ง่�ย ๆ ว่�ก�รจำ�แนกคอื ก�รจัดหมวดหมู่พชืที่มลีักษณะคล้�ยคลงึกันเข้�ไว้ด้วย
กัน ต�มหลักปฏบิัตนิัน้พรรณพชืที่มลีักษณะคล้�ยกันหล�ยประก�รนัน้ก็จัดขึ้นเป็นสกุลหนึ่ง (genus) ดังเช่น กุหล�บ
ทุกชนดิ (species) นัน้ต่�งก็กำ�หนดให้อยู่ในสกุล Rosa เป็นต้น พชืสกุลอื่น ๆที่มลีักษณะละม้�ยคล้�ยกุหล�บ เช่น
ท้อ สตรอเบอรี่ เชอรี่ ก็ถูกจัดอยู่ในสกุลอื่น ๆ แต่พชืเหล่�นี้ถูกจำ�แนกให้รวมอยู่ในวงศ์ (family) เดยีวกัน คอื
Rosaceae
หน่วยของก�รจำ�แนกที่ใช้กันเสมอ ๆ ก็คอื
Kingdom
Division
Class
Order
Family
Genus
Species
Variety
กำรจ�ำแนกพชื (Plant Classification) เป็นก�รจัดพชืให้เป็นกลุ่มหรอืหมวดหมู่โดยอ�ศัยลักษณะคว�ม
คล้�ยคลงึ (similarities) และคว�มแตกต่�ง (differences) ของลักษณะต่�ง ๆ ที่ศกึษ� กลุ่มพชืที่ถูกจำ�แนกต�มหลัก
อนุกรมวธิ�นนี้เรยีก หน่วยอนุกรมวธิ�น (taxon) ซึ่งมกี�รจัดระดับเป็นหมวดหมู่ที่มขีน�ดใหญ่เล็กลดหลั่นกันไปต�ม
ลำ�ดับ โดยหมวดหมู่ที่เป็นหลักสำ�คัญม ี7 ระดับได้แก่ Kingdom, Division, Class, Order, Family, Genus, Species
เจ็ดช้�งส�ร Lasianthus marginatus ล�ซแิอนทัส ม�จนิ�ตัส ล�ซแิอนทุส ม�จนิ�ตุส
มะลไิส้ไก่ Jasminum elongatum จัสไมนัม อลีองก�ตัม จัสมนีุม อลีองก�ตุม
เนื่องจ�กไม่มขี้อบังคับในก�รอ่�นว่�แบบไหนถูกแบบไหนผดิ ถ้�ดูคำ�แนะนำ�หน้� (6)-(8) ใน
หนังสอืชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมตินิันทน์ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเตมิ 2544) ก็จะช่วยแก้ปัญห�เรื่องก�รอ่�นได้
บ้�ง เพื่อคว�มมั่นใจในก�รอ่�นและเพื่อเป็นตัวอย่�ง จะขอยกตัวอย่�งก�รออกเสยีงต�มแบบภ�ษ�อังกฤษดังนี้
คำ�ที่ขึ้นต้นด้วยตัว cn, ct, gn, kn, mn, pn, ps, pt, tm ให้อ่�นออกเสยีงเน้นไปที่ตัวหลัง ตัวอย่�ง เช่น
หงอนไก่หน่วย Cnestis palala เนส-ทสิ ป�-ล�-ล�
ผักกะเหรียง Gnetum gnemon น-ีตัม น-ีมอน
- Gnaphalium แนบ-ฟ�-เลยีม
ซ้อ Gmelina arborea เมล-ไล-น� อ�-บอ-เรยี
เลอืดแรด Knema globularia น-ีม� กโล-บู-ล�-เรยี (Kn ออกเสยีงเหมอืน kn ใน knife)
- Gentiana pneumonanthe เจน-ท-ิอ�-น� นวิ-โม-แนน-เท
เฒ่�หลังล�ย Pseuderanthermum graciliflorum ซู-เดอ-แรน-เทอ-มัม กร�-ซ-ิล-ิฟลอ-รัม
บุกเข� Pseudodracontium kerrii ซู-โด-ดร�-คอน-เตยีม เคอ-ร-ีไอ
ฝรั่ง Psidium guajava ไซ-เดยีม กว�-จ�-ว�
งูก้�นปล้อง Psychotria serpens ไซ-โค-เตรยี เซอ-เพนส
กระบ�ก Anisoptera costata อน-ีซอบ-เทอ-ร� คอส-ต�-ต�
เครอืเข�ขม Myriopteron extensum ไม-ร-ิโอ-เทอ-รอน เอ๊ก-ซ-เทน-ซัม
กูดเกี๊ยะ Pteridium aquilinum เทอ-ร-ิเดยีม เอ-คว-ิไล-นัม
กูดห�งค่�ง Pteris biaurita เทอ-รสิ ไบ-ออ-ร-ิต�
ประดู่ป่� Pterocarpus macrocarpus n เทอ-โร-ค�ร-ปัส แมค-โคร-ค�ร-ปัส
ปออีเก้ง Pterocymbium tinctorium เทอ-โร-ซมิ-เบยีม ทงิค-ทอ-เรยีม
แก้วต�ไว Pterolobium macropterum เทอ-โร-โล-เบยีม แมค-โคร-เทอ-รัม
กะหน�นปลงิ Pterospermum acerifolium เทอ-โร-สเปอร-มัม อ�-เซอ-ร-ิโฟ-เลยีม
- Tmesipteris ม-ีซบิ-เทอ-รสิ
ก�รอ่�นออกเสยีงสระ บ�งครัง้อ่�นได้หล�ยแบบ ตัวอย่�งเช่น
ae ออกเสยีงเหมอืนเป็นตัว e เช่น laevis ลวีสิ หรอื เลวสิ
18 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
19ที่ผ่�นม�ได้แก่ระบบของ Robert F. Thorne (Classification and Geography of Flowering Plants), Athur Cronquist
(The Evolution and Classification of Flowering Plants) และ Armen Takhtajan (Diversity and Classification of
Flowering Plants) สองคนแรกเป็นนักอนุกรมวธิ�นพชืช�วอเมรกิัน ส่วน Takhtajan เป็นช�วรัสเซยีน ระบบของทัง้
Thorne, Cronquist และ Takhtajan มักถูกกล่�วถงึว่�เป็นก�รจัดระบบโดยอ�ศัยคว�มเหมอืนหรอืแตกต่�งของ
ลักษณะท�งสัณฐ�นวทิย�เป็นหลัก ซึ่งไม่สะท้อนถงึคว�มสัมพันธ์ท�งววิัฒน�ก�รที่แท้จรงิของไม้ดอก
ก�รจัดหมวดหมู่ที่กำ�ลังดำ�เนนิก�รอยู่ในปัจจุบันนอกจ�กจะใช้ลักษณะท�งสัณฐ�นวทิย�และศ�สตร์ต่�ง ๆ
ดังกล่�วข้�งต้นม�ช่วยแล้ว ยังมกี�รใช้ศ�สตร์ท�งด้�นชวีวทิย�โมเลกุล (Molecular Biology) เข้�ม�เกี่ยวข้องด้วย
คือใช้ข้อมูล DNA ร่วมกับข้อมูลจ�กศ�สตร์ด้�นอื่น ๆ ในก�รศกึษ�ถงึคว�มสัมพันธ์ท�งววิัฒน�ก�รของพชื ซึ่งต้อง
มกี�รสกัด DNA จ�กใบพชื ผ่�นขัน้ตอนกระบวนก�รต่�ง ๆ ในห้องปฏบิัตกิ�ร แล้วใช้โปรแกรมคอมพวิเตอร์ช่วยใน
ก�รศกึษ�ห�รูปแบบของคว�มสัมพันธ์ ผลที่ได้จะอยู่ในรูปแผนภูมทิี่เรยีก phylogenetic tree หรอื cladogram ซึ่ง
ต้องอ�ศัยคว�มรู้คว�มชำ�น�ญในก�รตคีว�มหรอืแปลคว�มหม�ยของรูปแบบคว�มสัมพันธ์ที่เกดิขึ้นบน cladogram
ระบบที่กำ�ลังมคีว�มก้�วหน้�เป็นอย่�งดใีนปัจจุบันคอืระบบของ APG (Angiosperm Phylogeny Group) ซึ่งเป็นกลุ่ม
ที่เกดิจ�กก�รรวมตัวของนักวจิัยที่มคีว�มสนใจศกึษ�อนุกรมวธิ�นของพชืดอกกลุ่มหนึ่ง โดยได้ตพีมิพ์เผยแพร่ผล
ง�นครัง้แรกในว�รส�ร Missouri Botanical Garden ฉบับที่ 85 ปี 1998 เรยีกว่� APGI และมกี�รศกึษ�ข้อมูลเพิ่มเตมิ
และตพีมิพ์อกีครัง้ในว�รส�ร Botanical Journal of the Linnean Society ฉบับที่ 141 ปี 2003 เรยีกว่� APGII ปัจจุบัน
ได้มกี�รปรับปรุงและตพีมิพ์เป็น APGIII โดยตพีมิพ์ในว�รส�ร Botanical Journal of the Linnean Society ฉบับที่ 161
(2) ปี ในปี 2009 ในระบบของ APG ไม่ได้แบ่งพชืดอกออกเป็นพชืใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่เหมอืนดั่งที่เคยเป็นม�
แต่แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื พชืใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocots) พชืใบเลี้ยงคู่ (Eudicots) และกลุ่มพชืใบเลี้ยงคู่เดมิที่ถูก
จับแยกออกม� และไม่ถูกจัดให้เป็นพชืใบเลี้ยงเดี่ยวหรอืพชืใบเลี้ยงคู่ โดยพชืดอกทั่วโลกถูกจำ�แนกออกเป็น 413
families ใน 59 orders (APGIII)
ววิัฒน�ก�รของพชืที่เกดิขึ้นตลอดเวล� ทำ�ให้พชืที่เห็นอยู่ในปัจจุบันมลีักษณะที่แสดงถงึคว�มใกล้ชดิกับ
พชืที่เป็นบรรพบุรุษน้อยลงเรื่อย ๆ ก�รนำ�หมวดหมู่พชืม�เรยีงเป็นลำ�ดับชัน้เพื่อแสดงคว�มสัมพันธ์ท�งววิัฒน�ก�ร
จงึเป็นสิ่งจำ�เป็นอย่�งยิ่ง
ปัจจุบันพืชมเีมล็ดในโลก (seed plants) ค�ดว่�มปีระม�ณ 250,000 ชนดิ เฟิร์นและกลุ่มใกล้เคยีงเฟิร์น
(pteridophyte หรอื fern & fern allies) ประม�ณ 12,000 ชนดิ ไบรโอไฟต์ (bryophyte) ประม�ณ 23,000 ชนดิ
ส�หร่�ย (algae) ประม�ณ 17,000 ชนดิ และยังมเีห็ดร�ต่�ง ๆ อกีม�กม�ย นักพฤกษศ�สตร์ตัง้แต่อดตีจนถงึ
ปัจจุบันได้จัดระบบก�รจำ�แนกพชืไว้หล�ยระบบ ซึ่งอ�จมทีัง้คว�มแตกต่�งหรอืคล้�ยคลงึกัน หรอืมขี้อดแีละข้อ
ด้อยในแต่ละระบบที่แตกต่�งกันไป โดยไม่มรีะบบใดที่จัดได้ว่�ดทีี่สุด ปัจจุบันนักพฤกษอนุกรมวธิ�นยังคงทำ�ก�ร
ศกึษ�กันอยู่อย่�งต่อเนื่อง มผีลง�นตพีมิพ์เผยแพร่คว�มก้�วหน้�ของก�รศกึษ�อยู่เป็นระยะ ซึ่งนักพฤกษศ�สตร์จะ
ต้องตดิต�มก�รเปลี่ยนแปลงต่�ง ๆ ให้ทัน แล้วนำ�ม�ดัดแปลงใช้หรอืถ่�ยทอดให้ผู้ที่ทำ�ง�นเกี่ยวข้องทร�บถ้�
พจิ�รณ�แล้วเห็นว่�มคีว�มเหม�ะสม
ทัง้นี้ร�ยละเอยีดในก�รจำ�แนกของนักพฤกษอนุกรมวธิ�นแต่ละคน หรอืในแต่ละยุคสมัยอ�จแตกต่�งกัน ทำ�ให้
ระบบของก�รจัดจำ�แนก (system of classification) อ�จมไีด้หล�ยระบบ
ก�รจัดลำ�ดับหมวดหมู่ท�งพฤกษอนุกรมวิธ�นมีจุดเริ่มต้นจ�กก�รนำ�เอ�พืชซึ่งมีอยู่ในสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว
ม�ใช้ประโยชน์ เช่นเป็นอ�ห�ร ย�รักษ�โรค หรอืบ�งชนดิเป็นอันตร�ย มพีษิ กลุ่มบุคคลที่ได้ศกึษ�เกี่ยวกับพชืก่อน
บุคคลอื่นคอืหมอหรอืนักสมุนไพร (Herbalists) ซึ่งจำ�เป็นต้องรวบรวมพชืไว้เพื่อใช้ศกึษ� เมื่อจำ�นวนชนดิของพชืเพิ่ม
ม�กขึ้นจงึต้องพย�ย�มห�วธิทีี่จะทำ�ให้รู้จักหรอืจดจำ�พชืได้ง่�ยขึ้น ดังนัน้จงึเริ่มมกี�รจำ�แนกพชืออกเป็นกลุ่ม ต�ม
ลักษณะบ�งประก�รที่เหมอืนหรอืใกล้เคยีงกัน และยังทำ�ให้เห็นคว�มแตกต่�งระหว่�งกลุ่มที่จำ�แนกได้อกีด้วย ใน
สมัยโบร�ณลักษณะง่�ย ๆ ที่ใช้ในก�รจำ�แนกพชืได้แก่ ลักษณะวสิัย เช่น ไม้ต้น ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย ต่อม�จงึใช้ลักษณะ
อื่น ๆ เพิ่มเตมิประกอบขึ้นม� เช่นลักษณะดอก ทัง้นี้เพื่อให้กลุ่มที่จัดหรอืจำ�แนกมคีว�มสอดคล้องหรอืใกล้เคยีงกับ
คว�มเป็นจรงิของที่เกดิขึ้นในธรรมช�ตมิ�กที่สุด ต่อม�เมื่อมวีวิัฒน�ก�รม�กขึ้นก็มกี�รตัง้ชื่อให้แต่ละกลุ่มที่แบ่ง
แยกไว้ ต่�งคนต่�งทำ�ก็เกดิก�รซำ�้ซ้อนกัน ต้องมกี�รประชุมและตัง้กฎเกณฑ์ขึ้นม�ใช้บังคับในเรื่องก�รตัง้ชื่อพชื
(Plant Nomenclature)
ก�รจัดลำ�ดับพชืให้เป็นหมวดหมู่ต�มที่กล่�วข้�งต้น ส�ม�รถแบ่งคร่�ว ๆ ได้ 3 ระบบต�มแนวคว�มคดิที่
พัฒน�หรอืเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย ได้แก่ Artificial classification, Natural classification และ Phylogenetic
classification
Artificial classification เป็นก�รจัดหมวดหมู่โดยดูจ�กลักษณะที่สังเกตได้ง่�ย ๆ เช่นดูลักษณะวสิัยว่�
เป็นไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น ดูสหีรอืจำ�นวนของลักษณะต่�ง ๆ ที่เหมอืนกัน จำ�นวนลักษณะที่ใช้อ�จมไีม่ม�ก มัก
ใช้เพยีงหนึ่งถงึสองลักษณะ เช่น ก�รจัดหมวดหมู่แบบ sexual system ของลนิเนยีส ที่ใช้จำ�นวนเกสรเพศผู้เป็น
ลักษณะในก�รจำ�แนกพชืดอกจัดว่�เป็น Artificial classification ระบบก�รจำ�แนกต�มแนวคดิแบบนี้ทำ�ให้มกี�รรวม
กลุ่มพชืที่มคีว�มแตกต่�งกันอย่�งม�กเอ�ไว้ด้วยกัน เนื่องจ�กใช้ลักษณะที่มรี่วมกันเพยีงลักษณะเดยีวหรอืสอง
ส�มลักษณะเท่�นัน้
Natural classification เป็นก�รจัดหมวดหมู่โดยนำ�เอ�ลักษณะที่เหมอืนกันหล�ย ๆ ลักษณะให้ม�กที่สุด
เท่�ที่จะทำ�ได้ม�ใช้ในก�รจัดกลุ่ม ในอดตีนยิมใช้เฉพ�ะลักษณะท�งสัณฐ�นวทิย�เท่�นัน้ ต่อม�ภ�ยหลังจงึได้ใช้
ลักษณะอื่น ๆ เข้�ม�ประกอบ เช่น ลักษณะท�งก�ยวภิ�คศ�สตร์ของพชื (Plant Anatomy) เอ็มบรโิอโลย ี
(Embryology) เป็นต้น ตัวอย่�งระบบก�รจำ�แนกที่มชีื่อเสยีงต�มแนวคดินี้คอืหนังสอื Genera Plantarum ในศตวรรษ
ที่ 18 ที่เขยีนโดย Bentham และ Hooker นักพฤกษศ�สตร์ช�วอังกฤษซึ่งทำ�ง�นอยู่ที่สวนพฤกษศ�สตร์ Kew
Phylogenetic classification เป็นก�รจัดหมวดหมู่ที่พจิ�รณ�และให้คว�มสำ�คัญเกี่ยวกับคว�มสัมพันธ์ท�งด้�น
ววิัฒน�ก�รของหมวดหมู่ที่จัดขึ้น โดยอ�ศัยแนวคว�มคดิที่ว่�พชืที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน น่�จะจัดอยู่ในกลุ่มเดยีวกัน
ก�รจำ�แนกระบบนี้เป็นก�รจัดลำ�ดับพืชให้เป็นหมวดหมู่สมัยใหม่โดยยึดเอ�คว�มสัมพันธ์ท�งด้�นพันธุกรรมและ
ววิัฒน�ก�รของพชืเข้�ม�เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะต้องอ�ศัยคว�มรู้ในส�ข�วชิ�ต่�ง ๆ ม�เกี่ยวข้องม�กม�ย เช่น
สัณฐ�นวทิย�ของพชื (Plant Morphology) พันธุศ�สตร์ (Genetics) ก�ยวภิ�คศ�สตร์ของพชื (Plant Anatomy)
สรรีวทิย�ของพชื (Plant Physiology) เซลวทิย� (Cytology) เรณูวทิย� (Palynology) ววิัฒน�ก�ร (Evolution) เอมบริ
โอโลย ี (Embryology) ชวีเคม ี (Biochemistry) ธรณวีทิย� (Geology) นเิวศวทิย� (Ecology) และก�รศกึษ�ท�งด้�น
บรรพพฤกษศ�สตร์ (Paleobotany) เป็นต้น
ระบบก�รจำ�แนกหรอืจัดหมวดหมู่พชืที่ค่อนข้�งได้รับคว�มนยิม มกี�รอ้�งองิถงึเป็นจำ�นวนม�กในหล�ยปี
20 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
21อย่�งไรก็ต�มนักพฤกษศ�สตร์จำ�ต้องใส่ใจอยู่เสมอว่� พชืที่มีลักษณะละม้�ยคล้�ยคลงึกัน ไม่จำ�เป็นจะต้องมคีว�ม
สัมพันธ์อย่�งใกล้ชดิ (ส�ยพันธุ์เดยีวกัน) เสมอไป เช่น พชืสกุล Euphorbia จำ�พวกสลัดได ของวงศ์ Euphorbiaceae
ลำ�ต้นและลักษณะภ�ยนอกดูอย่�งผวิเผนิคล้�ยคลงึกับวงศ์ Cactaceae (กะบองเพชร) เป็นอันม�ก แต่ต�มหลัก
คว�มสัมพันธ์ท�งช�ตวิงศ์ (Phylogeny) แล้วพชืทัง้สองสกุลนี้มคีว�มสัมพันธ์กันน้อยม�ก กล่�วได้ว่�มวีวิัฒน�ก�ร
คนละส�ยพันธุ์ แต่คว�มละม้�ยคล้�ยคลงึที่เกดิขึ้นได้นัน้เนื่องม�จ�กพชืทัง้สองกลุ่มนี้ ต่�งปรับตัวให้เข้�กับสภ�พ
ภูมอิ�ก�ศแห้งแล้งนั่นเอง เมื่อคว�มรู้เรื่องพรรณพฤกษช�ตขิองโลกมเีพิ่มม�กขึ้น นักอนุกรมวธิ�นพชืก็ส�ม�รถรู้
ถงึคว�มสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของพรรณพชืต่�ง ๆ และได้อ�ศัยคว�มรู้นี้กำ�หนดวธิกี�รจำ�แนกพรรณพชืให้ดยีิ่งขึ้น
อกีทัง้ก�รสบืส�วและห�พชืชนดิใหม่ ๆ ที่มคีว�มสัมพันธ์ใกล้เคยีงกับชนดิพชืที่ทำ�ก�รศกึษ�วจิัยอยู่เดมิ อันอ�จจะ
นำ�ไปสู่ก�รปรับปรุงพันธุ์ใหม่ หรอืพบพันธุ์ใหม่ที่อ�จเป็นทรัพย�กรพชืที่มคี่�ของประเทศต่อไป
ควำมส�ำคัญ
อนุกรมวธิ�นพชืจงึมบีทบ�ทสำ�คัญอยู่ม�ก แต่มักจะถูกละเลย จุดประสงค์เบื้องแรกของอนุกรมธ�นพชืไม่
ใช่เพยีงให้คนได้แต่จะรู้จักชนดิพรรณพชืเท่�นัน้ ยังได้รู้ซึ้งไปถงึคุณสมบัตติ่�ง ๆ ของพชือกีด้วย ก�รศกึษ�ด้�น
อนุกรมธ�นพชื (Plant taxonomy) จงึเป็นร�กฐ�นสำ�คัญของก�รศกึษ�คว�มหล�กล�ยของทรัพย�กรธรรมช�ตขิอง
ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อประเมนิค่�ของวัตถุดบิต่�ง ๆ ในกจิกรรมทัง้หล�ย เช่น วนกรรม เภสัชกรรม เกษตรกรรม ตลอดจน
อุตส�หกรรม วชิ�อนุกรมวธิ�นพชืสอนให้เร�ทร�บเรื่องคว�มผดิแปลกแตกต่�งของพชืต�มธรรมช�ตแิละคว�ม
สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คว�มรู้เหล่�นี้มปีระโยชน์ต่อก�รศกึษ�ศ�สตร์ด้�นอื่น ๆ เช่น ด้�นพันธุ์ศ�สตร์ (genetics) และ
ววิัฒน�ก�ร (evolution) เป็นต้น นักพฤกษศ�สตร์ส�ข�ต่�ง ๆ เช่น ส�ข�สรรีวทิย� นเิวศวทิย� ก�ยภ�ควทิย�
เซลวทิย� ฯลฯ ต่�งก็ได้อ�ศัยคว�มรู้ด้�นอนุกรมวธิ�นพชื ช่วยวเิคร�ะห์ห�ชื่อพรรณพชืซึ่งตนดำ�เนนิก�รศกึษ�อยู่
ปัจจุบันยังมพีืชอกีหล�ยร้อยหล�ยพันชนดิในอ�ณ�จักรพชืที่มนุษย์ยังไม่รู้จักและห�ท�งนำ�ม�ใช้ประโยชน์ ปัญห�
ใหญ่และหน้�ที่หลักของนักอนุกรมธ�นพชื ก็คอืพย�ย�มรบีเร่งศกึษ� ค้นคว้� วจิัยพชืชนดิต่�ง ๆ ในโลก เพื่อให้ได้
ข้อมูลเบื้องต้นท�งพฤกษศ�สตร์ไว้ก่อนให้ได้ม�กที่สุด ก่อนที่พชืบ�งชนดิจะสูญพันธุ์ไป
CLASSIFICATION OF ORDERS AND FAMILIES OF FLOWERING PLANTS APGIII
Cladogram แสดงกำรจ�ำแนกพชืดอกในระดับ orders และ families ของ APG (Angiosperm Phylogeny
Group) ตพีมิพ์ลงในวำรสำร Botanical Journal of the Linnean Society ฉบับที่ 161 (2) ปี ในปี 2009
4. ก�รบรรย�ยลักษณะ (description) พชืแต่ละชนดิก็มรีูปพรรณสัณฐ�นลักษณะต่�ง ๆ แตกต่�งกันไป
เมื่อวเิคร�ะห์ (identify) พชืชนดิใดชนดิหนึ่งได้อย่�งถูกต้อง ต่อไปจำ�เป็นจะต้องบรรย�ยลักษณะต่�ง ๆ ของพชืขนดิ
นัน้ เช่น ลักษณะลำ�ต้น เรอืนยอด เปลอืก ใบ ดอก ผล เมล็ด ฯลฯ เป็นต้น ทัง้นี้เพื่อคว�มกระจ่�งในก�รถ่�ยทอด
ข้อมูลต�มหลักอนุกรมวธิ�นพชื นอกจ�ก description ของ species แล้ว ก็ม ีdescription ของสกุล (genus) และวงศ์
(family) อื่น ๆ อกี
5. คว�มสัมพันธ์ (relationships) ของพชื ช่วยให้เร�จำ�แนกชื่อพรรณไม้ได้อย่�งถูกต้อง หรอืใกล้เคยีงม�ก
ที่สุด พชืในสกุล (genus) เดยีวกัน จะมคีว�มละม้�ยคล้�ยคลงึกันม�กกว่�พชืในสกุลอื่น ๆ หรอืพชืวงศ์ (family) อื่น ๆ
22 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
23แผงได้อย่�งดี
5. ดนิสอดำ�อย่�งด ี ในก�รบันทกึข้อคว�มควรใช้ดนิสอดำ�ดกีว่�ป�กก� เพร�ะเวล�ฝนตกเปียกนำ�้จะไม่
เปรอะเปื้อนหรอืจ�งไป
6. สมดุบนัทกึ อ�จทำ�สมดุพเิศษทีอ่อกแบบสำ�หรบัก�รเกบ็พรรณไม้โดยเฉพ�ะ (ภ�พที ่1)
Locality
Altitude Date
Local name
Notes
Collector No.
ภ�พที่ 1 สมุดบันทกึที่ออกแบบสำ�หรับก�รเก็บพรรณไม้
2
กำรเก็บตัวอย่ำงพรรณไม้
วัตถุประสงค์
ก�รที่จะทำ�คว�มรู้จักกับพรรณไม้ต่�ง ๆ นัน้ ก็ต้องอ�ศัยก�รสำ�รวจพรรณไม้เป็นหลักใหญ่ แม้ว่�จะได้มี
ก�รสำ�รวจพรรณไม้กันม�ในประเทศเป็นเวล�กว่� 100 ปีแล้วก็ต�ม แต่ก็ยังไม่สิ้นสุด เพร�ะพื้นที่ป่�ของประเทศไทย
มอียู่กว้�งขว�งประกอบขึ้นด้วยพรรณไม้ม�กม�ยหล�ยชนดิ ค�ดกันว่�เฉพ�ะพชืดอกประเภทเดยีว ก็มไีม่น้อยกว่�
10,000 ชนดิแล้ว ถ้�ต้องก�รจะทร�บจำ�นวนชนดิของพรรณไม้ในท้องที่ต่�ง ๆ ก็จะต้องทำ�ก�รสำ�รวจพร้อมทัง้เก็บ
ตัวอย่�งพรรณไม้ แล้วนำ�ม�วเิคร�ะห์ห�ชื่อ
ง�นสำ�รวจพรรณไม้นัน้นับได้ว่�เป็นง�นที่ต้องใช้เวล� ท้องที่หนึ่ง ๆที่ต้องทำ�ก�รสำ�รวจใช่ว่�จะเข้�ไปครัง้
เดยีวแล้วได้พรรณไม้ครบทุกชนดิ พรรณไม้ที่จะเก็บม�วเิคร�ะห์ จะต้องมกีิ่งที่มทีัง้ใบ ดอก หรอืผลตดิอยู่ ดังนัน้
ก�รเข้�ไปแต่ละครัง้พรรณไม้บ�งชนดิอ�จไม่ตดิดอกหรอืตดิผล ต้องเฝ้�ตดิต�มคอยฤดูก�ลที่ออกดอกตดิผล
ก�รสำ�รวจพรรณไม้จงึต้องหมั่นสำ�รวจ จงึจะได้พรรณไม้จำ�นวนม�กชนดิเท่�ที่จะม�กได้
ดังนัน้วัตถุประสงค์ของก�รเก็บตัวอย่�งพรรณไม้ คอื
1. เพื่อนำ�ม�วเิคร�ะห์ห�ชื่อที่แน่นอน เพื่อให้ทร�บจำ�นวนชนดิของพชืในท้องที่ต่�ง ๆที่ทำ�ก�รสำ�รวจ
2. เพือ่เกบ็ตวัอย่�งไว้เป็นหลกัฐ�นอ้�งองิ ไว้เทยีบเคยีงในก�รตรวจวเิคร�ะห์ห�ชือ่พรรณไม้ในครัง้ต่อไป
3. เพือ่เป็นก�รทร�บถงึจำ�นวนประช�กร ถิ่นกำ�เนดิ และเขตก�รกระจ�ยพนัธ์ุ ของพรรณไม้ต่�ง ๆ ด้วย
4. เป็นก�รรวบรวมจำ�นวนพรรณพฤกษช�ตขิองประเทศไทย ว่�มจีำ�นวนทัง้สิ้นกี่ชนดิ
อุปกรณ์
ในก�รสำ�รวจและเก็บตัวอย่�งพรรณไม้ มอีุปกรณ์ที่จำ�เป็นต้องใช้ดังนี้
1. แผงอัดพรรณไม้ พร้อมด้วยเชอืกรัด แผงนี้อ�จทำ�ง่�ย ๆ ด้วยไม้ไผ่ โดยผ่�เป็นซกีแล้วส�นแบบขัดแตะ
หรอือ�จทำ�ด้วยไม้อื่น หรอืทำ�ด้วยลวดเหล็กอื่น ๆ ก็ได้ เพื่ออัดพรรณไม้ให้เรยีบอยู่ตัว ไม่หงกิงอเมื่อแห้ง แผงนี้มี
ขน�ดประม�ณ 12 นิ้ว x 18 นิ้ว หนึ่งคู่ ประกอบเป็น 1 แผง (ภ�พที่ 5) ในก�รเก็บพรรณไม้ต�มท้องที่ เพื่อเป็นก�ร
ประหยัดและทุ่นแรงง�น ควรใช้ไม้ไผ่ เพร�ะห�ได้ง่�ยมอียู่ทั่วไปประกอบกับนำ�้หนักเบ� แม้จะไม่เป็นก�รถ�วร แต่
ก็ได้ประโยชน์ดเีช่นเดยีวกับแผงที่ทำ�ด้วยลวดเหล็ก
2. กระด�ษอัดพรรณไม้ ใช้กระด�ษหนังสอืพมิพ์ในก�รประกอบอัดพรรณไม้ในแผง เพื่อกระด�ษจะได้ดูด
ซมึคว�มชื้นจ�กพรรณไม้
3. กรรไกรตัดกิ่ง ใช้ตัดกิ่งไม้และตกแต่งกิ่งเมื่ออัด ในก�รเก็บพรรณไม้ควรมมีดีคม ๆตดิไปด้วย ขณะที่เก็บ
พรรณไม้จ�กต้นแล้ว นอกจ�กนี้พลั่วมอืบ�งครัง้จำ�เป็นสำ�หรับก�รขุดพรรณไม้ที่ต้องก�รทัง้ร�กหรอืหัวใต้ดนิด้วย
4. ถุงพล�สตกิสำ�หรับใส่พรรณไม้เมื่อเก็บจ�กต้นแล้วขณะเดนิป่� จะป้องกันพรรณไม้เหี่ยวแห้งก่อนอัดใน
24 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
25
วธิเีก็บตัวอย่ำงพรรณไม้
ก�รตรวจห�ชื่อพรรณไม้ (Identification) นัน้ ต้องอ�ศัยลักษณะต่�ง ๆ ของใบ ดอก และผล เป็นหลัก
สำ�คัญ ส่วนม�กตรวจจ�กส่วนประกอบต่�ง ๆ ของดอก คอื จำ�นวนลักษณะ ขน�ดของเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี
รังไข่ กลบีดอก และกลบีเลี้ยง และลักษณะขน�ดของผล พชืบ�งชนดิมลีักษณะเด่นชัด ส�ม�รถตรวจห�ชื่อได้
(identify) เพยีงแต่เห็นใบ บ�งชนดิต้องตรวจถงึดอกด้วย แต่บ�งชนดิตรวจจ�กใบและดอกเท่�นัน้ยังไม่พอ ต้อง
อ�ศัยลักษณะของผลช่วยด้วยจงึจะห�ชื่อได้ ดังนัน้ในก�รเก็บตัวอย่�งพรรณไม้ จงึต้องพย�ย�มเก็บให้ได้ตัวอย่�งที่
สมบูรณ์ คอื มคีรบทัง้ใบ ดอก และผล เพือ่สะดวกในก�รตรวจห�ชื่อ วธิเีกบ็ตวัอย่�งพรรณไม้นัน้ แล้วแต่ประเภทของ
พรรณไม้
ประเภทไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้ล้มลุกบำงชนดิ เก็บแต่เฉพ�ะกิ่งที่มดีอก หรอืผลที่ตดิกับใบ
ขน�ดย�วประม�ณ 1 ฟุต (ภ�พที่ 3A) ห�กช่อดอกหรอืใบมลีักษณะย�วเกนิหน้�กระด�ษอัดก็ควรหักพับให้พอด ีไม่
ต้องตัดทิ้ง เพร�ะจะได้ทร�บขน�ดที่แท้จรงิ ควรเก็บใบ ดอก ผล และเนื้อไม้จ�กต้นเดยีวกัน ข้อควรสังเกตคอื
1. ใบ เลอืกเก็บแต่ใบที่สมบูรณ์ไม่ถูกแมลงหรอืสัตว์กัดทำ�ล�ย หรอืใบเป็นโรคหงกิงอ ไม่ควรเก็บใบที่เกดิ
ต�มหน่อหรอืแตกจ�กตอ หรอืกิ่งที่ถูกตัดไป เพร�ะมักจะมขีน�ดสัดส่วนผดิไปจ�กปกต ิควรเป็นใบที่แก่จัด และเก็บ
ม�ทัง้ช่อ ไม่ใช่เด็ดม�เป็นใบ ๆ ถ้�เป็นใบประกอบ เช่น ใบของเง�ะ ลำ�ใย ต�เสอื หรอืยมหนิ ฯลฯ ก็ต้องเก็บตลอด
คว�มย�วของกิ่งใบใหญ่ พร้อมทัง้ใบย่อยครบทุกใบ (ภ�พที่ 2)
2. ดอก เก็บเป็นช่อ ควรเก็บให้ได้ทัง้ดอกตูมและดอกบ�นเต็มที่แล้ว แต่ไม่ใช่ดอกที่ร่วงหล่นจ�กต้น และ
เก็บช่อดอกที่ตดิกับใบด้วย
3. ผล เก็บให้ตดิกับใบเช่นกัน ควรเก็บให้ได้ทัง้ผลอ่อนและผลแก่จัด ซึ่งตดิอยู่บนต้น ไม่ควรเก็บผลที่หล่น
อยู่ใต้ต้น ถ้�ผลเป็นผลแห้งขน�ดใหญ่ เช่น ผลกะเบ� นุ่น ช้�งแหก สะบ้� หรอืผลสด เช่น มะม่วง ตังหน ก็ให้ต�กแห้ง
แล้วตดิป้�ยหม�ยเลขให้ตรงกับหม�ยเลขของตัวอย่�งใบและดองไว้ ผลสดนี้อ�จต�กแห้งโดยผ่�นผ่�ครึ่งต�มย�ว
เพื่อรักษ�รูปทรงของผลนัน้ไว้ หรอือ�จใช้ดองในขวดที่ใส่แอลกอฮอล์ 70 % และตดิป้�ยที่ขวดไว้เช่นกัน
ประเภทไม้ล้มลุกต้นเล็ก ๆ เช่น หญ้� หรอืพวกพชืชัน้ตำ่�อื่น ๆ เช่น มอสส์ เฟิร์นต้นเล็ก ๆ ให้เก็บทัง้ต้นทัง้
ร�กถ้�ม ี(ภ�พที่ 3B)
พรรณไม้ชนดิหนึ่งนัน้ให้เก็บตัวอย่�งประม�ณ 8-3 ชิ้น แล้วแต่กรณ ี เก็บใส่ถุงพล�สตกิเมื่อเวล�เดนิ
สำ�รวจ และนำ�ออกม�อัดในแผงอัดพรรณไม้ ถ้�เป็นไปได้ควรรบีอัด เพื่อพรรณไม้จะคงคว�มเขยีว และจัดแต่งง่�ย
ใบจะเรยีบ แต่ถ้�ไม่มเีวล�ก็นำ�ม�อัดเมื่อกลับถงึที่พักในตอนเย็นก็ได้
ร�ยละเอยีดในก�รบันทกึ มดีังนี้
1. ท้องที่ที่เก็บ (locality) โดยระบุจังหวัด อำ�เภอ ตำ�บล ท้องที่ป่� ฯลฯ
2. คว�มสูงจ�กระดับนำ�้ทะเล (altitude) ใช้เครื่องวัดคว�มสูงจ�กระดับนำ้�ทะเลวัด ขณะที่เก็บพรรณไม้
จ�กระดับนัน้ ๆ
3. วันที่ (date) หม�ยถงึวันที่ที่เก็บพรรณไม้นัน้ จะทำ�ให้ทร�บถงึฤดูก�ลก�รออกดอกออกผลของ
พรรณไม้นัน้ ๆ ด้วย
4. ชื่อพื้นเมอืง (local name หรอื vernacular) คอื ชื่อที่เรยีกพรรณไม้นัน้ในท้องที่นัน้ ๆ ควรสอบถ�มชื่อจ�ก
ช�วบ้�นแถบนัน้
5. บันทกึ (notes) ควรบันทกึดังต่อไปนี้
5.1 ชนดิป่� เช่น ป่�ดบิ ป่�ผลัดใบ ป่�ช�ยเลน ฯลฯ ขึ้นต�มสันเข�หุบเข� รมิห้วย
5.2 จำ�นวนประช�กรพชืว่�มมี�กน้อยเพยีงใด
5.3 ลักษณะของพรรณไม้ ตัง้แต่ลักษณะของลำ�ต้น ใบ ดอก ผล โดยมรี�ยละเอยีดดัง้นี้ คอื
- วสิัยพชื เป็นไม้ต้น ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย หรอืไม้ล้มลุก บอกส่วนสูงโดยประม�ณ ถ้�เป็นไม้ต้นบอก
ขน�ดโตวัดรอบต้นสูงจ�กดนิ 1.30 ม. ไว้ด้วย
- ลำ�ต้น ตรง คด มพีูพอน ร�กคำ�้จุน ฯลฯ
- เปลอืก บันทกึเป็นสองลักษณะ
1. เปลอืกชัน้นอกสอีะไร เรยีบ ขรุขระ แตกเป็นร่อง หรอืล่อนเป็นสะเก็ด ฯลฯ
2. เปลอืกชัน้ในเมื่อสับดูสอีะไร มกีลิ่นอย่�งไร มนีำ�้ย�งหรอืไม่ ถ้�มสีอีะไร ข้น หรอืใส
- ใบ ต�มปกตลิักษณะของใบย่อมบ่งชัดอยู่ในตัวเองแล้ว ข้อที่ควรบันทกึก็คอื สขีองใบอ่อนและ
ใบแก่ที่จวนจะร่วง หรอืห�กมขี้อสังเกตอื่นที่เมื่อใบแห้งแล้วจะมองไม่เห็นก็ให้บันทกึไว้ด้วย
- ดอก สขีองดอก กลิ่น ดอกไม้บ�งชนดิไม่มกีลิ่น แต่อ�จมแีมลงตอมอยู่ ก็ควรบันทกึไว้ด้วย
- ผล ส่วนม�กผลไม้เมื่ออ่อนสเีขยีว ห�กเป็นสอีื่น ก็ควรบันทกึไว้ด้วย แต่เมื่อแก่หรอืสุกจะมสีี
ต่�งจ�กสขีองผลอ่อน ต้องบันทกึไว้ นอกจ�กนี้ก็มกีลิ่นและรส รับประท�นได้หรอืไม่ หรอืเป็นพษิ
- ประโยชน์ ห�กทร�บว่�มกี�รใช้ประโยชน์จ�กส่วนใดส่วนหนึ่งของพรรณไม้นี้ ควรบันทกึไว้ด้วย
6. ชื่อผู้เก็บและหม�ยเลข (Collector No.) ให้ลงชื่อผู้เก็บและหม�ยเลขเรยีงต�มลำ�ดับไว้ ผู้เก็บแต่ละคนใช้
หม�ยเลขของตนตดิต่อกันไปไม่ว่�จะเดนิท�งไปเก็บในท้องที่ใด เช่น สมศร ี เจรญิชัย 1 หรอื S. Charoenchai 1
เป็นต้น
26 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
27
ภ�พที่ 3 A. เก็บตัวอย่�งที่สมบูรณ์มทีัง้ใบ ดอก หรอืผล; B. เก็บตัวอย่�งพชืล้มลุก เช่น หญ้� มอสส์ และพชืขน�ดเล็กภ�พที่ 2 ก�รตัดกิ่งต้องตัดให้ก้�นใบตดิกับส่วนของลำ�ต้น A. ใบเดี่ยว (simple leaf), B. ใบประกอบแบบขนนก
(pinnate leaf); C. ใบประกอบแบบนิ้วมอื (palmate leaf)
28 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
29
ภ�พที่ 4 A. ก�รจัดเรยีงตัวอย่�งพรรณไม้ลงในกระด�ษและแผงอัด 1. เล็มใบทิ้งบ�งส่วน 2. พับใบ 3. ตัดตัวใบทิ้งแต่
เหลอืส่วนโคนไว้ 4. ตัดกิ่งทิ้ง; B. พับกิ่งเพื่อให้พอดกีับกระด�ษ; C. ตัดใบที่บังดอกหรอืผลออก
วธิอีัดแห้งพรรณไม้
เมื่อได้เก็บพรรณไม้โดยตัดกิ่งจ�กต้นที่ต้องก�รแล้ว ก็เขยีนชื่อผู้เก็บพร้อมหม�ยเลขลงบนป้�ยตดิไว้กับ
พรรณไม้ และบันทกึข้อคว�มต่�ง ๆ ลงในสมุดบันทกึ ในก�รอัดจะจัดเรยีงตัวอย่�งพรรณไม้ว�งลงในหน้�กระด�ษ
หนังสอืพมิพ์ซึ่งพับเป็นคู่ ๆ จัดให้ขน�ดพอด ีอย่�ให้เกนิหน้�กระด�ษและแผงอัด ถ้�ใหญ่เกนิแผงให้หักพับบ้�ง เรยีง
ให้ใบควำ่�บ้�งหง�ยบ้�ง (ภ�พที่ 4) เพื่อจะได้เห็นลักษณะของใบทัง้สองด้�นขณะแห้งแล้ว แล้วพลกิกระด�ษแผ่นที่
เป็นคู่นัน้ปิดทับลงไป ระหว่�งพรรณไม้ชนดิหนึ่ง ๆ นัน้ให้สอดกระด�ษลูกฟูกขัน้ไว้เพื่อช่วยให้คว�มชื้นระเหยออกไป
ได้เร็ว เสร็จแล้วก่อนผดิแผง ใช้กระด�ษลูกฟกูปิดทบัทัง้สองด้�นและผกูมดัไว้ให้แน่น เพือ่เวล�แห้งพรรณไม้จะได้เรยีบ
แผงหนึ่ง ๆ อัดพรรณไม้ได้หล�ยตัวอย่�ง (ภ�พที่ 5)
นำ�แผงที่อัดแล้วนี้ต�กแดด โดยให้ว�งตัง้แผงขึ้นท�งใดท�งหนึ่ง อย่�ว�งนอนต�มด้�นร�บ ทัง้นี้เพื่อให้
คว�มชื้นในพรรณไม้ได้ระเหยได้ง่�ย ก�รต�กแดดพรรณไม้มักจะแห้งช้� ฉนัน้ต้องหมั่นเปิดออกตรวจ เพร�ะบ�งที
อ�จมแีมลงกัดกนิดอกใบอยู่ ก็เก็บออกเสยี และเปลี่ยนกระด�ษใหม่ เอ�กระด�ษที่ชื้นออก เพื่อช่วยให้แห้งเร็วขึ้น
ก�รต�กแดดนี้ห�กมแีดดและเอ�ใจใส่ดปีระม�ณ 3 วัน พรรณไม้ก็จะแห้ง และมสีสีดเกอืบเหมอืนธรรมช�ติ
ถ้�ในท้องที่ใดไม่มแีสงแดด เช่น ไปตัง้ที่พักในป่�ดบิ หรอืในฤดูฝน ก�รทำ�ให้พรรณไม้แห้งต้องอ�ศัยคว�ม
ร้อนจ�กไฟช่วย ต้องทำ�ร้�นย่�งสูงจ�กดนิประม�ณ 1 เมตร ก�รตัง้แผงก็ทำ�เช่นเดยีวกันกับก�รต�กแดด ก�รใช้ไฟ
ย่�งต้องเอ�ใจใส่ดูแลอยู่เสมอ เพร�ะไฟอ�จไหม้ตดิกระด�ษหรอืแผงพรรณไม้ไหม้เกรยีมเสยีหมด ต้องคอยหมั่น
กลับแผง และใช้ไฟให้พอเหม�ะอย่�แรงเกนิไป เมื่อแห้งสนทิแล้วก็เลกิย่�งได้ ถ้�ไปในที่มไีฟฟ้�เข้�ถงึสมควรจะเอ�
เต�อบพรรณไม้ชนดิเคลื่อนที่ตดิไปด้วย ใช้หลอดไฟเป็นอุปกรณ์ทำ�คว�มร้อน ต�มวธินีี้พรรณไม้จะแห้งเร็วม�ก
เป็นก�รทุ่นเวล�และแรงง�นม�ก ตัวอย่�งพรรณไม้เมื่อทำ�ให้แห้งได้ที่ดแีล้ว ก็เก็บรวบรวมเข้�กล่องที่พร้อมจะ
ดำ�เนนิก�รตรวจห�ชื่อต่อไป
วธิอีำบน�้ำยำพรรณไม้
พรรณไม้ที่อบหรอืผึ่งแห้งเสร็จแล้วนัน้ ถ้�จะเก็บไว้น�น ๆ เป็นเวล�หล�ยสบิปี ก็จะต้องนำ�พรรณไม้แห้ง
เหล่�นัน้ไปอ�บนำ�้ย�กันแมลงเสยีก่อน มฉิะนัน้แล้วเพยีงเวล�ไม่เกนิ 2 ปีแมลงจะกัดทำ�ล�ยเสยีห�ยหมด นำ�้ย�ที่ใช้
อ�บที่หอพรรณไม้ กรมป่�ไม้ ใช้อยู่ในปัจจุบันมสี่วนผสมดังนี้
1. Mercuric chloride 250 มลิลลิติร
2. Phenol 50 มลิลลิติร
3. Alcohol 90% 10 ลิตร
วธิอีำบ
เอ�นำ�้ย�ที่ผสมและคนเข้�กันดแีล้ว ใส่ลงในภ�ชนะที่ป�กกว้�ง ๆ เช่น กะละมัง หรอือ่�งพล�สตกิ เป็นต้น
เอ�ป�กคบีหนบีพรรณไม้จุ่มลงในนำ�้ย� พย�ย�มกดให้เปียกนำ้�ย�ทั่วถงึกัน แช่ไว้ประม�ณครึ่งน�ท ี แล้วคบี
พรรณไม้ออกว�งบนกระด�ษหนังสอืพมิพ์เดมิที่ว�งซ้อนอยู่บนกระด�ษลูกฟูก ทำ�เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดพรรณไม้
ที่จะอ�บ แล้วแบ่งมัดเป็นแผง ๆ เอ�เข้�อบอกีครัง้หนึ่งจนแห้งสนทิ
30 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
31
ภ�พที่ 6 เลอืกพรรณไม้ชิ้นที่สมบูรณ์จัดเรยีงบนกระด�ษแข็งแล้วเก็บ A. ตดิกระด�ษบันทกึ B. ดอกหรอืผลที่ร่วง
เอ�ใส่ซองกระด�ษแข็งอกีทหีนึ่ง; C. พชืขน�ดเล็ก นำ�บ�งชิ้นม�เย็บตดิส่วนที่เหลอืเก็บไว้ในซองกระด�ษ
ภ�พที่ 5 แผงอัดพรรณไม้ที่มัดเรยีบร้อยแล้ว
ข้อควรระวังในก�รอ�บนำ�้ย� พย�ย�มอย่�ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่�งก�ยถูกนำ�้ย�เป็นอันข�ด เวล�อ�บ
นำ�้ย�ควรใส่ถุงมอืย�ง และมผี้�กรองอ�ก�ศหรอืหน้�ก�กสวมป้องกันพษิ ในขณะอ�บนำ�้ย�พรรณไม้ดอกเล็ก ๆ
มักจะร่วงหล่น จะต้องใช้ป�กคบีใส่ซองกระด�ษแล้วสอดไว้กับพรรณไม้ชนดินัน้ให้หมด สำ�หรับพรรณไม้แห้งที่จะ
นำ�เข้�เก็บในพพิธิภัณฑ์พรรณไม้ จำ�เป็นต้องทำ�ก�รเก็บหรอืประกอบพรรณไม้ตดิกับกระด�ษ
วธิเีย็บพรรณไม้
พรรณไม้ที่อ�บนำ�้ย�และอบแห้งดแีล้ว ถ้�ต้องก�รเก็บไว้เป็นตัวอย่�งอ้�งองิ จะเก็บด้วยก�รหุ้มกระด�ษ
อ่อนนัน้ ย่อมจะไม่สะดวกแก่ก�รนำ�เข้�ๆ ออก ๆ ในก�รตรวจดูภ�ยหลัง เพร�ะพรรณไม้ยิ่งเก็บไว้น�นก็จะยิ่งเปร�ะ
หักง่�ย ฉะนัน้ก่อนเก็บก็ต้องนำ�พรรณไม้ม�ประกอบตดิกับกระด�ษแข็ง ให้มคีว�มหน�ประม�ณ 300 แกรม ขน�ด
27 x 42 ซม. เสยีก่อนชิ้นพรรณไม้ที่จะเอ�ม�ประกอบตดิกับกระด�ษแข็ง จะต้องเลอืกเอ�ชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุด ให้มี
พร้อมทัง้ใบ ดอกหรอืผล แล้วว�งลงบนกระด�ษแข็ง เอ�ด้�ยเย็บพรรณไม้ให้ตดิกับกระด�ษอกีทหีนึ่ง ถ้�ไม่ใช้ด้�ย
อ�จใช้ก�วท�ตดิกับกระด�ษ หรอืใช้กระด�ษชิ้นเล็ก ๆ ท�ก�วตดิก็ได้ แต่ก�รท�ก�วตดินี้มขี้อเสยีคอื เมื่อเก็บไว้น�น ๆ
จะทำ�ให้กระด�ษที่ท�ก�วยดึพรรณไม้ไว้กบักระด�ษแข็งล่อนหรอืฉกีข�ดได้ ทำ�ให้พรรณไม้หลุดจ�กกระด�ษแข็ง ส่วน
ดอกหรอืผลที่ร่วงจะต้องเอ�ใส่ซองกระด�ษตดิไว้ที่กระด�ษแข็งนัน้ด้วย ที่มุมด้�นล่�งของกระด�ษให้ตดิป้�ยแสดง
ร�ยละเอยีดต่�ง ๆ ที่จดบันทกึไว้ในขณะเก็บพรรณไม้ไว้ด้วย (ภ�พที่ 6)
32 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
33 ลำ�ต้นนอกจ�กเป็นที่ตดิของใบและดอกแล้ว ลำ�ต้นอ�จเปลี่ยนรูปร่�งและหน้�ที่ไปได้ ซึ่งมทีัง้ลำ�ต้นบนดนิ
และลำ�ต้นใต้ดนิ ดังนี้ คอื
ล�ำต้นบนดนิ (aerial stem) ลำ�ต้นของพชืส่วนม�กจะเจรญิอยู่บนดนิ แยกเป็นชนดิต่�ง ๆ คอื
-ไหล (stolon, runner) ลำ�ต้นจะทอดร�บไปต�มพื้นดนิ มปีล้องย�ว ร�ก ใบ ดอก เกดิที่ข้อ เช่น บัวบก
- ลำ�ต้นคล้�ยใบ (phylloclade) ลำ�ต้นที่มลีักษณะและทำ�หน้�ที่คล้�ยใบ มสีเีขยีว เช่น สลัดได
- มอืพัน (stem tendril) ลำ�ต้นเปลี่ยนไปทำ�หน้�ที่เก�ะหรอืยดึกับสิ่งที่อยู่ใกล้เคยีง เช่น ตำ�ลงึ พวงชมพู
ฟักทอง องุ่น ฯลฯ
ล�ำต้นใต้ดนิ (subterranean stem) พชืบ�งชนดิมลีำ�ต้นอยู่ใต้ดนิ ทำ�หน้�ที่เก็บสะสมอ�ห�ร
ส่วนม�กมักมปีล้องสัน้ ๆ แยกเป็นชนดิต่�ง ๆ คอื
-เหง้� (rhizome) ลำ�ต้นมักขน�นไปกับพื้นดนิ มปีล้องและข้อสัน้ ๆ มใีบเกล็ด (scale leaf) คลุมที่ข้อ มตี�ที่
ข้อ ซึ่งจะเตบิโตเป็นใบและแทงขึ้นสู่พื้นดนิ เช่น ขงิ ข่� ขมิ้น ฯลฯ
- หัวแบบมันฝรั่ง (tuber) ลำ�ต้นสูงใหญ่มตี� (bud) โดยรอบ เช่น มันฝรั่ง ฯลฯ
- หัวแบบเผอืก (corm) ลำ�ต้นอวบอ้วน บรเิวณส่วนกล�งมักพองโต มขี้อและปล้องสัน้ ๆ มใีบ เกล็ดหุ้มที่
ข้อ เช่น แห้ว ฯลฯ
- หัวแบบหอม (bulb) ลำ�ต้นตรง ต�มปล้องมใีบเกล็ดซ้อนกันหล�ยชัน้หุ้มลำ�ต้นไว้ บ�งส่วนอ�จพ้นดนิขึ้น
ม�บ้�ง ใบเกล็ดด้�นนอกจะบ�งเพร�ะไม่มอี�ห�รสะสมไว้ ส่วนในสุดเป็นลำ�ต้นที่แท้จรงิ มขี้อและปล้องสัน้ ๆ มรี�ก
งอกออกม�ด้วย เช่น หัวหอม กระเทยีม พลับพลงึ เป็นต้น
รำก (root)
ชนดิของ ร�ก แบ่งออกได้ดังนี้ คอื
1. ร�กแก้ว (primary root หรอื tap root) เป็นร�กแรกของพชืที่งอกจ�กมล็ดและหยั่งลกึลงไปในดนิท�ง
แนวดิ่งทำ�ให้ต้นไม้ยนืต้นอยู่ได้
2. ร�กแขนง (secondary root หรอื lateral root) เป็นร�กที่แตกแขนงจ�กร�กแก้ว แผ่ออกไปต�มแนวระดับ
ร�กที่เกดิต�มใบหรอืต�มลำ�ต้นทำ�หน้�ที่ต่�ง ๆ กัน ได้แก่
3. ร�กพเิศษ (adventitious root) เป็นร�กทีเ่กดิต�มใบหรอืต�มลำ�ต้น ทำ�หน้�ทีต่่�ง ๆ กัน
นอกจ�กนี้ยังมรี�กที่ดัดแปลงไป (modified root) คอื
- ร�กคำ้�จุน (prop root) เป็นร�กที่แตกจ�กข้อของลำ�ต้นที่อยู่เหนอืพื้นดนิแล้วพุ่งลงสู่ดนิเพื่อคำ�้
ยันลำ�ต้น เช่น โกงก�ง เตย ไทรย้อย
- ร�กสังเคร�ะห์แสง (photosynthetic root) เป็นร�กที่แตกจ�กลำ�ต้นหรอืกิ่งห้อยอยู่ในอ�ก�ศ
ส่วนปล�ยสเีขยีว สังเคร�ะห์แสงได้ เช่น กล้วยไม้
3
โครงสรำ้งภำยนอกของพชื ก�รจำ�แนกชนดิพชืดอก (Amgiosperms) นัน้ ใช้ลักษณะโครงสร้�งของดอกและผลเป็นหลัก นอกจ�กนี้
ลักษณะต่�ง ๆ ที่เด่นชัดของพชื ก็เป็นลักษณะที่สนับสนุนก�รจำ�แนกชนดิได้ ถงึแม้ลักษณะบ�งลักษณะเร�คดิว่�จะ
ไม่ใช่ลักษณะสำ�คัญ แต่ลักษณะเหล่�นี้ก็เป็นลักษณะสำ�คัญของพชืบ�งวงศ์ เช่น ลักษณะพชืที่เป็นไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื
ไม้ล้มลุก พชืในอันดับ Amentiferae นัน้ พชืต่�งก็เป็นไม้ต้นเนื้อแข็งแทบทัง้สิ้น ดังนัน้ถ้�เร�มตีัวอย่�งพชืที่เป็นไม้พุ่ม
ละไม้ล้มลุก ก็สรุปได้เลยว่�ไม่ใช่พชืที่อยู่ในอันดับ Amentiferae แน่นอน นอกจ�กนี้ลักษณะโครงสร้�งภ�ยนอกของ
พชืนี้ยังได้นำ�ม�ใช้บรรยบ�ยรูปพรรณสัณฐ�นของพชื ใช้จำ�แนกพชืออกเป็นกลุ่มต่�ง ๆ เช่น วงศ์ (family) สกุล
(genus) ชนดิ (species) โดยดูจ�กลักษณะที่คล้�ยกันหรอืลักษณะที่แตกต่�งกัน ก�รเรยีนรู้ถงึลักษณะโครงสร้�ง
ภ�ยนอกของพชืจงึจำ�เป็นอย่�งยิ่งในก�รศกึษ�ด้�นอนุกรมวธิ�น
ลักษณะโครงสร้�งภ�ยนอกของพชืเรยีงต�มลำ�ดับ มดีังต่อไปนี้
ล�ำต้น (stem)
ลำ�ต้น ประกอบด้วย
ข้อ (node) คอืรอยต่อเป็นระยะ ๆ
ปล้อง (internode) คอืส่วนของลำ�ต้นระหว่�งข้อ
ลำ�ต้นของพชืดอกจะแตกต่�งกันที่ขน�ดอ�ยุ และลักษณะที่ปร�กฏให้เห็นเรยีกว่� วสิัยของพชื (plant
habit) ทำ�ให้แบ่งพชืออกได้ดังนี้
ไม้ล้มลุก (herb) มลีำ�ต้นอ่อนนุ่ม เนื่องจ�กประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่เป็นเนื้อไม้เพยีงเล็กน้อย ลำ�ต้น
จะต�ยไปเมื่อหมดฤดูเจรญิเตบิโต แบ่งย่อยเป็น
-พชืปีเดยีว (annual) พชืมอี�ยุได้ 1 ปี ดดยจะมวีงจรชีวติที่สมบูรณ์ภ�ยใน 1 ปี หรอื 1 ฤดูก�ลแล้ว
ต�ยไป
- พชืสองปี (biennial) พชืมอี�ยุได้ 2 ปี ขะออกดอกในปีที่ 2 โดยมกี�รเจรญิเตบิโตที่ไม่เกี่ยวกับ
ก�รสบืพันธุ์ในปีที่หนึ่ง
- พชืหล�ยปี (perennial) พชืมอี�ยุได้หล�ยปีและมักจะอกดอกทุกปี
ไม้พุ่ม (shrub) เนื้อแข็ง ขน�ดเล็กหรอืขน�ดกล�ง มักมหีล�ยลำ�ต้น แต่ไม่มลีำ�ต้นหลัก เช่น ทรง
บ�ด�ล กระถนิ ฯลฯ
ไม้ต้น (tree) เนื้อแข็ง สูง มลีำ�ต้นหลักเพยีงหนึ่งเห็นได้ชัด เช่น ประดู่ อนิทนลิ มะข�ม ฯลฯ
ไม้เถ� (climber) ลำ�ต้นมไีด้ทัง้ที่เป็นเนื้ออ่อน (herbaceous) และเนื้อแข็ง (woody) ลำ�ต้นมักจะเล็ก
เรยีว เลื้อยพันกับไม้อื่นเพื่อพยุงลำ�ต้น เช่น พวงชมพู รสสุคนธ์ ฯลฯ
34 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
35 - ร�กห�ยใจ (pneumatophore) เป็นร�กที่แทงตัง้ฉ�กขึ้นม�จ�กผวิดนิเพื่อทำ�หน้�ที่ห�ยใจ เช่น
ลำ�พู ลำ�แพน ประสัก
- ร�กเก�ะ (climbing root) เป็นร�กที่แตกออกม�จ�กข้อของลำ�ต้น เก�ะหลัก เส� หรอืไม้อื่น เช่น
พลู พรกิไทย
- ร�กสะสมอ�ห�ร (shorage root) เป็นร�กที่มลีักษณะอวบ อุ้มนำ�้ เช่น กระช�ย แครอท
ตำ (bud)
ต� ของต้นพชื แบ่งต�มตำ�แหน่งที่เกดิได้ ดังนี้
-ต�ยอด (terminal bud) เป็นต�ที่ปล�ยสุดของลำ�ต้นหรอืกิ่ง
-ต�ข้�ง (lateral bud หรอื axillary bud) เป็นต�ที่อยู่ด้�นข้�งของลำ�ต้น หรอือยู่บรเิวณง่�มใบ
นอกจ�กนี้ต�ยังแบ่งก�รพัฒน�ไปเป็นส่วนต่�ง ๆ ของพชืได้ คอื
- ต�ใบ (leaf bud) เป็นต�ที่เจรญิไปเป็นใบ
- ต�ดอก (flower bud) เป็นต�ที่เจรญิไปเป็นดอก
- ต�รวม (mixed bud) เป็นต�ที่มเีนื้อเยื่อที่จะเจรญิไปเป็นทัง้ใบและดอก
ใบ (leaves)
ใบ ประกอบด้วย
- แผ่นใบ (blade หรือ lamina)
- ก้�นใบ (petiole หรอื leaf stalk) และ
- หูใบ
แผ่นใบ (leaf blade หรอื lamina) ลักษณะเป็นแผ่น มขีน�ด รูปร่�ง และเนื้อใบแตกต่�งกันไป
แผ่นใบประกอบด้วย
1. เส้นกล�งใบ (midrib)
2. เส้นใบ (vein)
3. ปล�ยใบ (apex)
4. โคนใบ (base)
5. ขอบใบ (margin)
36 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
37
ก้ำนใบ (petiole) ตดิกับแผ่นใบตรงโคนใบ ยกเว้นบ�งชนดิ ก้�นใบตดิลกึเข้�ม�จ�กโคนใบ เช่น ใบ
บัว เรยีกว่� peltate ใบที่มกี้�นใบเรยีกว่� petiolate ใบไม่มกี้�นใบ เรยีกว่� sessile พชืใบเลี้ยงเดี่ยวบ�งชนดิ ตอนโคน
ของก้�นใบหรอืก้�นใบทัง้หมดแผ่เป็นก�บหุ้มลำ�ต้น เรยีกว่� ก�บใบ (leaf sheath)
หูใบ (stipules) เป็นรย�งค์หนึ่งคู่ อยู่ที่โคนก้�นใบ ใบอ�จจะมหีูใบ เรยีกว่� stipulate หรอืไม่มหีูใบ
เรียกว่� exstipulate พชืบ�งชนดิหูใบอ�จดัดแปลงไปเป็นหน�มซึ่งเรยีกว่� stipular spines
ชนดิของใบ
ใบ แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื
1. ใบเดี่ยว (simple leaf) คอื ใบที่มีแผ่นใบเดยีวและมกี้�นใบเดยีว
2. ใบประกอบ (compound leaves) คอื ใบที่ประกอบด้วยแผ่นใบม�กกว่� 1 เรยีกใบเหล่�นี้ว่� ใบย่อย
(leaflets) ใบประกอบมหีล�ยแบบ คอื
2.1 ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) เป็นใบประกอบที่มใีบย่อยออก 2 ข้�ง
ของแกนกล�ง (rachis) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจ�กก้�นใบ ใบประกอบแบบขนนกนี้ มทีัง้ที่เป็นใบประกอบแบบขนนกปล�ยคี ่
(odd-pinnate หรอื imparipinnate) เช่น ใบประกอบของต้นประดู่ คูน และใบประกอบแบบขนนกปล�ยคู่
(even-pinnate หรอื paripinnate) เช่น ใบประกอบของต้นลิ้นจี่ เง�ะ
ใบประกอบแบบขนนก แบ่งออกเป็น
2.1.1 ใบประกอบแบบขนนก 2 ชัน้ (bi-pinnately compound leaves) เป็นใบประกอบ
แบบขนนกที่แกนกล�งแตกแขนงออกเป็นแกนกล�งที่สองแล้วจงึจะมใีบย่อยแบบขนนก
2.1.2 ใบประกอบแบบขนนก 3 ชัน้ (tri-pinnately compound leaves) เป็นใบประกอบที่
แกนกล�งที่ 2 แตกออกเป็นแกนกล�งที่ 3 จงึจะมใีบย่อยแบบขนนก เช่น ปีบ มะรุม
2.2 ใบประกอบแบบนิ้วมอื (palmately compound leaves) เป็นใบประกอบที่ก้�นใบย่อยทุกใบ
ออกจ�กตำ�แหน่งเดยีวกันตรงปล�ยก้�นใบ
เส้นใบ (vein)
ก�รเรยีงตัวของเส้นใบ (leaf venation) บนแผ่นใบม ี3 แบบ คอื
1. เส้นใบขน�น (parallel vein) ส่วนม�กพบในพชืใบเลี้ยงเดี่ยว ม ี2 แบบ
- เส้นใบขน�นต�มคว�มย�วของใบ (longitudinal parallel vein) คอื เส้นใบที่เรยีงขน�นกันตัง้แต่
ฐ�นใบถงึปล�ยใบ เช่น ใบหญ้� อ้อย ข้�วโพด เป็นต้น
- เส้นใบเรยีงขน�นกันแบบขนนก (pinnately parallel vein) คอืเส้นใบที่เรยีงขน�นกันจ�กเส้น
กล�งใบไปสู่ขอบใบ เช่น ใบกล้วย ขงิ ข่� พุทธรักษ� เป็นต้น
38 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
39 2. เส้นใบร่�งแห (netted หรอื reticulated vein) ม ี2 แบบ
- เส้นใบร่�งแหแบบขนนก (pinnately netted vein) คอื เส้นใบที่แยกจ�กเส้นกล�งใบทัง้ 2 ข้�ง
เช่น ใบมะม่วง ขนุน ชบ� เป็นต้น
- เส้นใบร่�งแหแบบนิ้วมอื (palmately netted vein) คอื เส้นใบที่ออกจ�กจุดเดยีวกันที่โคนใบไป
ถงึปล�ยใบ เช่น มะละกอ อบเชย ฟักทอง เป็นต้น
รูปร่ำงใบ (leaf shape)
ใบ มรีูปร่�งต่�ง ๆ กันดังนี้ คอื
รูปลิ่มแคบ (subulate) ใบค่อนข้�งสัน้ สอบแคบจ�กโคนใบไปยังปล�ยใบ
รูปเข็ม (acicular) ใบเล็กแหลมคล้�ยเข็ม
รูปแถบ (linear) ใบย�วและแคบ ขอบใบเกอืบจะขน�นกัน
รปูขอบขน�น (oblong) ใบมขีอบสองข้�งขน�นกนั คว�มย�วเป็น 2 เท่�ของคว�มกว้�ง
รูปใบหอก (lanceolate) ใบรูปคล้�ยใบหอก โคนใบกว้�งค่อย ๆ แคบสู่ปล�ยใบ คว�มย�ว : คว�ม
กว้�ง = 3 : 1
รูปใบหอกกลับ (oblanceolate) ใบมีรูปร่�งคล้�ยใบหอกกลับ
รูปร ี(elliptic) ใบมรีูปร่�งร ีส่วนกว้�งที่สุดอยู่ตรงกล�งใบ เมื่อแบ่งใบออกเป็น 2 ส่วน จะได้ 2 ข้�ง
เท่� ๆ กัน
รูปไข่ (ovate) ใบมรีูปร่�งคล้�ยไข่ ส่วนกว้�งที่สุดอยู่ตำ่�กว่�กึ่งกล�งใบ คว�มย�ว : คว�มกว้�ง =
3 : 2
รูปไข่กลับ (obovate) ใบมีรูปร่�งคล้�ยไข่กลับ
รูปส�มเหลี่ยม (deltoid) ใบมรีูปร่�งคล้�ยส�มเหลี่ยม
รูปสี่เหลี่ยมข้�วหล�มตัด (rhomboid) ใบมรีูปร่�งคล้�ยสี่เหลี่ยมข้�วหล�มตัด
รูปไต (reniform) ใบมีรูปร่�งคล้�ยไต
รูปวงกลม (orbicular) ใบมีรูปร่�งคล้�ยวงกลม
รูปหัวใจ (cordate) ใบมีรูปร่�งคล้�ยหัวใจ
รูปเคยีว (falcate) ใบมรีูปร่�งคล้�ยเคยีวเกี่ยวข้�ว
รูปช้อน (spathulate) ใบมีรูปร่�งคล้�ยช้อน
40 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
41
ปลำยใบ (leaf apex)
ปล�ยย�วคล้�ยห�ง (caudate) ปล�ยใบค่อย ๆสอบเข้�ห�กัน แล้วเรยีวแหลมยื่นออกไปคล้�ยห�ง
ปล�ยติ่งแหลม (cuspidate) ปล�ยใบแหลมเป็นติ่งแข็ง
ปล�ยติง่หน�ม (mucronate) คล้�ย cuspidate แต่มตีิง่สัน้ต่อเนือ่งจ�กเส้นกล�งใบแข็ง
ปล�ยแหลม (acute) ขอบใบทัง้สองด้�นสอบเข้�ชนกันที่ปล�ย
ปล�ยเรยีวแหลม (acuminate) ปล�ยแหลมแต่ตรงปล�ยใบคอดเว้�เข้�เล็กน้อย
ปล�ยมน (obtuse) ปล�ยใบมน
ปล�ยตัด (truncate) ปล�ยใบตัด
ปล�ยเว้�บุ๋ม (retuse) ปล�ยเว้�เป็นแอ่งตื้น ๆตรงกล�ง
ปล�ยเว้�ตื้น (emarginate) ปล�ยเว้�หยักลกึ
โคนใบ (leaf base)
โคนรูปลิ่ม (cuneate) โคนใบเรยีวสอบม�ตรง ๆ แล้วจรดกันคล้�ยรูปลิ่ม
โคนสอบเรยีว (attenuate) โคนใบค่อย ๆ เรยีวสอบลงม�คล้�ยก้�นใบมคีรบี
โคนเฉยีง หรอื เบี้ยว (oblique) โคนใบไม่เท่�กัน หรอืโคนใบเบี้ยว
โคนมน (obtuse) โคนใบมน
โคนตัด (truncate) โคนใบตัด
โคนรูปหัวใจ (cordate) โคนใบรูปหัวใจ
โคนรูปเงี่ยงลูกศร (sagittate) โคนใบรูปลูกศร
โคนรูปเงี่ยงใบหอก (hastate) คล้�ย sagittate แต่ส่วนโคนจะผ�ยออก
ขอบใบ (leaf margin)
ขอบใบเรียบ (entire)
ขอบใบเป็นคลื่น (undulate)
ขอบใบหยักหรือมน (crenate)
ขอบใบจักซี่ฟัน (dentate)
ขอบใบจักฟันเลื่อย (serrate)
ขอบใบจักเป็นพู (lobed)
42 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
43 ขอบใบจักแบบขนนก (pinnatifid)
ขอบใบแฉกแบบนิ้วมอื (palmatifid)
เนื้อใบ (leaf texture)
ใบอวบนำ�้ (succulent)
ใบคล้�ยแผ่นหนัง (coriaceous)
ใบคล้�ยกระด�ษ (chartaceous)
ใบบ�งคล้�ยเยื่อ (membranaceous)
กำรเรยีงใบ (phyllotaxy)
เรยีงสลับ (succulent) ใบเรยีงสลับบนกิ่ง ไม่เป็นระเบยีบ ช่วงระยะห่�งไม่เท่�กัน
เรยีงสลับระน�บเดยีว (distichous) ใบเรยีงสลับระน�บเดยีวกันบนกิ่งอย่�งมรีะเบยีบ ช่วงระยะ
ห่�งเท่�กัน
เรยีงตรงข้�ม (opposite) ใบเรยีงตรงข้�มกันบนกิ่งในระน�บเดยีวกัน
เรยีงตรงข้�มสลับตัง้ฉ�ก (decussate) ใบเรยีงตรงข้�มกันบนกิ่ง แต่ละคู่ตัง้ฉ�กซึ่งกันและกัน
เรยีงเป็นกระจุก (fasciculate) ใบเรยีงเป็นกระจุกบนกิ่ง
เรยีงวงรอบ (whorl) ใบเรยีงวงรอบที่จุดเดยีวกันบนกิ่ง ม�กกว่� 2 ใบ ขึ้นไป
สิ่งปกคลุมใบ (indumentum)
เกลี้ยง (glabrous) ผวิใบเรยีบเกลี้ยงไม่มสีิ่งปกคลุม
ขนสั้นนุ่ม (pubescent) ผวิใบมขีนสัน้นุ่ม
ขนกำ�มะหยี่ (velutinous) ผวิใบมขีนย�วนุ่ม ตรง หน�แน่นคล้�ยกำ�มะหยี่
ขนสั้นหน�นุ่ม (tomentose) ผวิใบมขีนย�วนุ่ม หงกิงอไปกับผวิใบ
ขนหย�บแข็ง (hirsute) ผวิใบมขีนหย�บแข็ง
ขนรูปด�ว (stellate) ผวิใบมขีนรูปด�ว
หน�มเกดิจ�กผวิ (prickly) ผวิใบมหีน�มแข็ง ดค้ง คล้�ยหน�มพุทร�
44 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
45
ดอก (flower)
ดอก มสี่วนประกอบ 4 วง คอื
1. วงกลบีเลี้ยง (calyx) ประกอบด้วย กลบีเลี้ยง (sepal)
2. วงกลบีดอก (corolla) ประกอบด้วย กลบีดอก (petal)
3. วงเกสรเพศผู้ (androecium) ประกอบด้วย เกสรเพศผู้ (stamen)
4. วงเกสรเพศเมยี (gynoecium) ประกอบด้วย เกสรเพศเมยี (pistil)
ดอกของพืชที่มคีรบทัง้ 4 วงนี้ เรยีกว่� ดอกสมบูรณ์ (complete flower) และดอกที่ข�ดไปวงใดวงหนึ่งเรยีก
ว่� ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) ส่วนดอกที่มทีัง้เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยีอยู่ในดอกเดยีวกัน เรยีกว่�
ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower หรอื hermaphrodite) และดอกที่ข�ดเพศใดเพศหนึ่งไป เรยีกว่� ดอกเพศเดยีว
(unisexual) ดอกเพศเดยีวนี้แบ่งออกเป็น
- ดอกเพศผู้ (staminate flower) เป็นดอกที่มแีต่เกสรเพศผู้ (stamen)
- ดอกเพศเมยี (pistillate flower) เป็นดอกที่มแีต่เกสรเพศเมยี (pistil)
พวกดอกเพศเดยีวนี้ ถ้�ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยีอยู่บนต้นเดยีวกัน เรยีกว่� ดอกต่�งเพศร่วมต้น
(monoecious plant) เช่น สนทะเล ถ้�ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยีอยู่คนละต้น เรยีกว่� ดอกต่�งเพศต่�งต้น
(dioecious plant) เช่น สนประดพิัทธ์
สมมำตรของดอก (symmetry of flower)
สมม�ตรของดอก แบ่งได้เป็น 2 แบบ คอื
1. ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี(actinomorphic หรอื regular flower) คอื ดอกที่เมื่อแบ่งผ่�นศูนย์กล�ง
แล้วจะได้ 2 ส่วนที่เหมอืนกันทุกประก�รทุกระน�บ
2. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง (zygomorphic หรอื irregular flower) คอื ดอกที่เมื่อแบ่งผ่�นศูนย์กล�ง
แล้วจะได้ 2 ส่วนที่เหมอืนกันทุกประก�รได้เพยีงระน�บเดยีว
วงกลบีเลี้ยง (calyx)
ดอกส่วนม�กมวีงกลบีเลี้ยง ดอกที่มกีลบีเลี้ยง (sepal) เรยีกว่� sepalous flower พชืบ�งชนดิดอกไม่มกีลบี
เลี้ยง เรยีกว่� asepalous กลบีเลี้ยงนี้บ�งทแียกจ�กกันเป็นอสิระ เรยีกว่� polysepalous บ�งครัง้กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิ
กัน เรยีกว่� gamosepalous
46 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
47
วงกลบีดอก (corolla)
ดอกมีวงกลบีดอก หรอืมกีลบีดอก (petal) เรยีกว่� petalous flower ถ้�ไม่มกีลบีดอกเรยีกว่� apetalous
กลบีดอกอ�จแยกจ�กกันเป็นอสิระ เรยีกว่� polypetalous บ�งครัง้กลบีดอกเชื่อมตดิกัน เรยีกว่� sympetalous หรอื
gamopetalous
ส่วนดอกบ�งชนดิทัง้กลบีเลี้ยง (sepal) และกลบีดอก (petal) มลีักษณะเหมอืนกันแยกไม่ออก เรยีกวงนี้ว่�
วงกลบีรวม (perianth) และเรยีกแต่ละกลบีว่� กลบีรวม (tepal)
ดอกที่ กลบีดอกแยกจ�กกัน (polypetalous) มรีูปร่�งต่�ง ๆ กันดังนี้
- รูปก�กบ�ท (cruciform) กลบีดอก 4 กลบี แต่ละคู่ตัง้ฉ�กกัน เช่น ดอกมะเขอื
- รูปดอกถั่ว (papilionaceous flower) ลักษณะของดอกถั่ว ประกอบด้วยกลบีดอก 5 กลบี มี
ลักษณะแตกต่�งกันคอื มกีลบีกล�งใหญ่ เรยีกว่� standard เรยีงอยู่วงนอกสุด มกีลบีข้�ง 1 คู่ เรยีกว่� wings และมี
กลบีคู่ล่�งเชื่อมตดิกันเป็นกระโดง เรยีกว่� keel
- รูปดอกห�งนกยูง (caesalpinaceous flower) ดอกคล้�ย ลักษณะของดอกห�งนกยูง กลบีดอก
ม ี 5 กลบี 4 กลบีมรีูปร่�งคล้�ยคลงึกันเรยีงอยู่ในวงเดยีวกัน ส่วนกลบีบนสุดเรยีงอยู่วงในสุด มขีน�ดและรูปร่�ง
แตกต่�งไป
ดอกที่ กลบีดอกเชื่อมตดิกัน (gamopetalous) มรีูปร่�งต่�ง ๆ กันดังนี้ คอื
- รูปวงล้อ (rotate) กลบีดอกเชื่อมตดิกันคล้�ยรูปล้อ
- รูปดอกเข็ม (salverform) กลบีดอกเชื่อมตดิกันเป็นรูปกรวยแคบหรอืทรงแจกัน
- รูปกรวย รูปแตร หรอืรูปลำ�โพง (funnelform) กลบีดอกเชื่อมตดิกันคล้�ยรูปแตรหรอืกรวยกว้�ง
- รูประฆัง (campanulate) กลบีดอกเชื่อมตดิกันคล้�ยรูประฆัง
- รปูคนโท หรอื รปูโถ (urceolate) กลบีดอกเชือ่มตดิกนัคล้�ยรปูคนโท หรอืหม้อดนิ
- รูปหลอด หรอื ท่อ (tubular) กลบีดอกตดิกันเป็นรูปหลอดหรอืรูปทรงกระบอก
- รูปป�กเปิด (bilabitae) กลบีดอกตดิกันที่โคน ปล�ยแยกเป็น 2 ส่วน ลักษณะและขน�ดไม่เท่�กัน
ก�รเรยีงของกลบีในต�ดอก (aestivation)
กลบีดอกหรอืกลบีรวมจะมกี�รเรยีงตัวเมื่ออยู่ในต�ดอก ดังนี้ คอื
1. เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) คอื กลบีดอกหรอืกลบีรวมเรยีงโดยขอบซ้อนและเหลื่อมกัน
2. เรยีงจรดกัน (valvate) คอื กลบีดอกหรอืกลบีรวมเรยีงโดยขอบม�จรดกัน
3. เรยีงบดิเวยีน (convolute หรอื contorted) คอืกลบีดอกหรอืกลบีรวมเรยีงโดยม้วนบดิไปท�ง
เดยีวกัน
48 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
49
วงเกสรเพศผู้ (androecium)
วงนี้ประกอบด้วยเกสรเพศผู้ตัง้แต่ 1 ถงึจำ�นวนม�ก เกสรเพศผู้ (stamen) ประกอบด้วย
- ก้�นชูอับเรณู (filament) เป็นที่ตดิของอับเรณู
- อับเรณู (anther) อ�จประกอบด้วย 1 หรอื 2 เซลล์
- ละอองเรณู (pollen grain) อยู่ภ�ยในอับเรณู
เกสรเพศผู้ที่ก้�นชูอับเรณูอ�จเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่มเดยีว หรอืมัดเดยีว เรยีกว่� monadelphous เกสรเพศผู้
ที่ก้�นชูอับเรณูเชื่อมตดิกันเป็นสองกลุ่ม เรยีกว่� diadelphous บ�งทเีกสรเพศผู้อ�จมอีับเรณูตดิกัน แต่ก้�นเกสร
แยกจ�กกันเป็นอสิระ เรยีกว่� syngenesious นอกจ�กนี้เกสรเพศผู้อ�จจะสัน้ย�วไม่เท่�กัน ถ้�เกสรเพศผู้ม ี4 อัน
สัน้ 2 ย�ว 2 เรยีกว่� didynamous ถ้�เกสรเพศผู้ม ี6 อัน สัน้ 2 ย�ว 4 เรยีกว่� tetradynamous เกสรเพศผู้นี้บ�งที
ตดิอยู่บนกลบีดอกเรยีกว่� epipetalous
ก้�นชูอับเรณูกับอับเรณูนัน้มลีักษณะก�รตดิกันหล�ยแบบดังนี้ คอื
- ก้�นชูอับเรณูตดิที่โคนอับเรณู (basifixed)
- ก้�นชูอับเรณูตดิที่ด้�นหลังอับเรณู (dorsifixed)
- ก้�นชูอับเรณูตดิที่กล�งอับเรณู ทำ�ให้อับเรณูเคลื่อนไหวได้ (versatile)
วงเกสรเพศเมยี (gynoecium)
วงนี้ประกอบด้วยเกสรเพศเมยีตัง้แต่ 1 ถงึหล�ยอัน เกสรเพศเมยี (pistil หรอื carpel) นี้ประกอบด้วย
- รังไข่ (ovaryX
- ไข่ (ovule) อยู่ภ�ยในรังไข่
- ก้�นเกสรเพศเมยี (style)
- ยอดเกสรเพศเมยี (stigma)
ดอกของพืชอ�จประกอบด้วย pistil หรอื carpel เดยีว เรยีกว่� simple pistil แต่มดีอกของพชืหล�ยชนดิ
ประกอบด้วย pistil หรอื carpel ม�กกว่� 1 อัน และถ้� carpel เหล่�นัน้แยกจ�กกัน เรยีกว่� apocarpus แต่ถ้�
ประกอบด้วยหล�ย carpel และ carpel เหล่�นัน้เชื่อมตดิกัน เรยีกว่� syncarpous กรณนีี้รังไข่อ�จม ี 1 ช่อง หรอื
ม�กกว่�
50 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
51
52 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
53
กำรตดิของไข่ที่พลำเซนตำภำยในรังไข่ (placentatium)
บรเิวณที่ไข่ตดิกับผนังรังไข่นัน้ เรยีกว่� รก (placenta) ก�รตดิของไข่ที่พล�เซนต�ภ�ยในรังไข่ มหีล�ยแบบ
คอื
1. พล�เซนต�ต�มแนวตะเข็บ (parietal placentation) คอื ไข่อ่อนที่ตดิผนังของรังไข่ตรงรอยต่อที่
carpel ม�เชื่อมตดิกับรังไข่เป็นแบบ syncarpous ovary ภ�ยในม ี1 ช่อง
2. พล�เซนต�รอบแกนร่วม (axile placentation) คอื ไข่อ่อนตดิที่แกนกล�งของรังไข่ที่เป็น
syncarpous ovary แต่ภ�ยในมชี่องม�กกว่� 1 ช่อง
3. พล�เซนต�รอบแกน (free-central placentation) คอื ไข่อ่อนที่ตดิแกนกล�งของรังไข่ที่ภ�ยใน
มเีพยีงช่องเดยีว
4. พล�เซนต�ที่ฐ�น (basal placentation) คอื ไข่อ่อนตดิที่ฐ�นของรังไข่ที่ภ�ยในมเีพยีงช่องเดยีว
ชนดิของรังไข่
ชนดิของรังไข่ เป็นลักษณะสำ�คัญอย่�งหนึ่งที่ใช้ในก�รจำ�แนกพรรณพชื แบ่งออกเป็น
- รังไข่เหนือวงกลบี (superior ovary) เป็นดอกที่ส่วนต่�ง ๆ ของดอกตดิอยู่ใต้รังไข่
- รังไข่กึ่งใต้วงกลบี (half-inferior ovary) เป็นดอกที่ส่วนต่�ง ๆ ของดอกตดิอยู่ที่กึ่งกล�งรังไข่
- รังไข่ใต้วงกลบี (inferior ovary) เป็นดอกที่ส่วนต่�ง ๆ ของดอกตดิอยู่เหนอืรังไข่
ช่อดอก (inflorescence)
ดอกอ�จออกเป็น ดอกเดี่ยว (solitary flower) บ�งครัง้พบดอกออกเป็นช่อ โดยมดีอกม�กกว่� 1 ดอก ตดิ
บนแกนกล�งที่เรยีกว่� rachis ช่อดอกมแีบบต่�ง ๆ ดังนี้ คอื
- ช่อเชงิลด (spike) ช่อดอกที่ดอกย่อยไม่มกี้�น
- ช่อกระจะ (raceme) ช่อดอกที่ดอกย่อยมกี้�น
- ช่อห�งกระรอก (catkin) ช่อดอกแบบ spike แต่ดอกมักจะมเีพศเดยีว ช่อเกดิบนกิ่งห้อยลง
- ช่อซี่ร่ม (umbel) ช่อดอกที่ก้�นดอกย่อยทุกดอกย�วเท่�กัน และออกจ�กจุดเดยีวกัน
- ช่อกระจุกแน่น (head หรอื capitulum) ช่อดอกที่ดอกอัดแน่นอยู่บนฐ�นดอกรูปถ้วย หรอืรูป
จ�น เช่น ช่อดอกท�นตะวัน
- ช่อกระจกุซ้อน (dichasium) ช่อดอกทีป่ล�ยช่อมดีอกย่อยแตกออกเป็นจำ�นวน 3 ดอก
- ช่อกระจุก (cyme) ช่อดอกแตกแบบ dichasium ก้�นดอกย่อยเจรญิขึ้นม�เกอืบอยู่ในระดับ
เดยีวกัน
- ช่อแยกแขนง (panicle) ช่อดอกที่แตกแขนง
54 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
55จำ�นวนม�กเยื่อหุ้มกลบีส้มคอื endocarp เนื้อส้มที่ใช้รับประท�นคอื pulp ซึ่งเป็นขนสะสมอ�ห�รของ endocarp
- ผลแบบแตง (pepo หรอื gourd) ผลที่ม ี exocarp แข็งและเหนยีว mesocarp และ
endocarp อ่อนนุ่ม ภ�ยในคล้�ย berry ได้แก่ ฟัก แตงโม บวบ นำ�้เต้�
- ผลแบบแอปเปิ้ล (pome) ผลที่ม ีpericarp บ�ง ฐ�นดอกขย�ยใหญ่ขึ้นกล�ยเป็นเนื้อ
ของผลส่วนใญ่เกดิจ�ก inferior ovary ได้แก่ แอปเปิ้ล ส�ลี่ ชมพู่
2. ผลแห้ง (dry fruit) แบ่งเป็น
2.1 ผลแห้งแก่ไม่แตก (dry indehiscent fruit) แบ่งออกเป็น
- ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) ผลขน�ดเล็ก ม ี1 เมล็ด pericarp แห้งและบ�ง ไม่ตดิกับ
เมล็ด เช่น ผลท�นตะวัน
- ผลธัญพชื (caryopsis หรอื grain) ผลคล้�ย achene แต่ pericarp ตดิกับเมล็ด เช่น พชื
วงศ์หญ้� Gramineae ข้�ว
- ผลปีกเดยีว (samara) ผลมปีีกย�ว เช่น พะยุง ย�งน� หรอืผลมปีีกกลมล้อมรอบ เช่น ประดู่
- ผลเปลือกแข็ง (nut) ผลมเีมล็ดเดยีว perticarp แข็งและมัน
- ผลแตกสองครัง้ (schizocarp) ผลที่ม�จ�ก carpel เชื่อมตดิกันแต่เมื่อแก่เต็มที่ carpel
จะแยกจ�กกัน เรยีกว่� ซกีผล (mericarp) แต่ละซกีผลจะมเีมล็ด 1 เมล็ด เช่น พชืบ�งชนดิในวงศ์ชบ� Malvaceae
และ วงศ์ผักช ียี่หร่� Umbelliferae
2.2 ผลแห้งแก่แตก (dry dehiscent fruit) แบ่งออกเป็น
- ฝักแตกแนวเดยีว (follicle) ผลเกดิจ�ก 1 carpel หรอื apocarpous แตกต�มรอยตะเข็บ
1 ด้�น มักแตกท�งด้�นหลัง เช่น สำ�โรง พุงทะล�ย
- ฝักแบบถั่ว (legume) ผลของพชืวงศ์ถั่ว (Leguminosae) เกดิจ�ก 1 carpel มักจะแตก
ต�มรอยตะเข็บ 2 ด้�น
- ฝักแบบผลผักก�ด (slilique) เกดิจ�ก 2 carpel ซึ่งตดิกัน เมื่อแก่แตกออกเป็น 2 ซกี
จ�กก้�นไปยังปล�ยมักมผีนังบ�ง ๆ กัน้กล�งเหลอือยู่ เช่น ต้อยติ่ง ผักก�ดต่�ง ๆ
ผลแห้งแตก (capsule) ผลเกดิจ�ก carpel เชื่อมตดิกัน (syncarpous) รังไข่มมี�กกว่� 1 ช่อง
ผลชนดินี้แบ่งออกได้ดังนี้
- ผลแตกกล�งพู (loculicidal capsule) ผลเมื่อแก่แตกตรงกล�งระหว่�งพู เช่น ทุเรยีน
- ผลแตกต�มรอยประส�น (septicidal capsule) ผลเมื่อแก่แตกตรงผนังกัน้พู หรอื ตรง
รอยประส�น
- ผลแตกต�มขว�ง (circumcissile capsule) ผลเมื่อแก่แตกต�มขว�ง มฝี�เปิด ผลชนดิ
นี้มหีล�ยเมล็ด หรอื จำ�นวนม�ก
- ช่อเชิงหลั่น (corymb) ช่อดอกที่ดอกย่อยส่งก้�นย�วออกไปอยู่ในระดับเดยีวกัน
- ช่อเชงิลดมกี�บ (spadix) ช่อดอกแบบ spike ที่มดีอกแยกเพศ ตดิอยู่กับแกนขน�ดใหญ่ มกี�บ
หุ้ม (spathe) ช่อดอก เช่น ช่อดอกหน้�วัว
ผล (fruit)
ผลเจริญม�จ�กรังไข่หลังจ�กที่ดอกได้รับก�รปฏสินธ ิ(fertilization) แล้ว ผนังหรอืเนื้อของผลเจรญิม�จ�ก
ผนังของรังไข่ ซี่งเรยีกว่� ผนังผล pericarp ผนังผลนี้แบ่งออกเป็น 3 ชัน้ คอื
- ผนังผลชัน้นอก (exocarp) เป็นผวิเปลอืกซึ่งบ�งทอี่อน เช่น มะม่วง มะปร�ง แต่บ�งทแีข็งและ
เหนยีว เช่น มะพร้�ว นำ�้เต้� ฟักทอง
- ผนังผลชัน้กล�ง (mesocarp) เป็นชัน้ถัดเข้�ม�จ�กเปลอืก มักเป็นเนื้ออ่อนนุ่ม เช่น มะม่วง
มะปร�ง ท้อ บ�งทเีป็นเส้นเหนยีว ๆ เช่น ก�บมะพร้�ว ต�ล จ�ก
- ผนังผลชัน้ใน (endocarp) เป็นชัน้ในสุดของผนังผลบ�งทแีข็ง เช่น กะล�มะพร้�ว บ�งทเีป็น
เปลอืกหุ้มเมล็ด เช่น มะม่วง มะปร�ง
ผลบ�งชนดิบ�งท ีผนังผลชัน้นอก (exocarp) และ ผนังผลชัน้กล�ง (mesocarp) รวมตดิกันเป็นเนื้อเดยีว
เรยีกรวมชัน้นี้เป็น exocarp เช่น มะเขอืเทศ กล้วย มะละกอ แตงกว�
ผล มหีล�ยประเภท ดังนี้ คอื
1. ผลเดี่ยว (simple fruit) ได้แก่ ผลที่เกดิจ�กดอกเดยีว ซึ่งม ีcarpel เดยีว หรอืหล�ย carpel เชื่อม
ตดิกันก็ได้
2. ผลกลุ่ม (aggregate fruit) ได้แก่ ผลที่เกดิจ�กดอกเดยีว ซึ่งม�จ�กหล�ย carpel แยกจ�กกัน
(apocarpous) รังไข่แต่ละอันก็เจรญิเป็นผลเดี่ยว 1 ผล ซึ่งเบยีดตดิกันเป็นกลุ่มหรอืกระจุก ดูคล้�ย ๆ กับว่� เป็นผล
เดยีว เช่น น้อยหน่� กระดังง� สตรอเบอรี่ หว�ย
3. ผลรวม (multiple fruit) ได้แก่ ผลที่เกดิจ�กช่อดอกซึ่งเบยีดกันแน่นเมื่อเป็นผล ดูคล้�ยผลเดี่ยว
เช่นกัน เช่น ขนุน ส�เก ยอ สับปะรด
ผลเดี่ยว (simple fruit) แบ่งออกเป็นผลชนดิต่�ง ๆ ดังนี้ คอื
1. ผลสด (fleshy fruit) เป็นผลเนื้อนุ่ม มหีล�ยชนดิ คอื
- ผลเมล็ดแข็ง (drupe) ผลสดที่มเีมล็ดเพยีงเมล็ดเดยีว ผนังผลชัน้ใน (endocarp) แข็ง
ผนังผลชัน้กล�ง (mesocarp) เป็นเนื้อนุ่ม เช่น มะปร�ง มะม่วง มะกอก พุทร� หรอืไม่ก็เป็นเส้นเหนยีว ๆ เช่น มะพร้�ว
ส่วนที่เรยีกว่�ก�บ ต�ล
- ผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด (berry) ผลสดที่มหีล�ยเมล็ด ผนังผล (pericarp) ของผลอ่อนนุ่ม
ทัง้หมด ผลสดชนดินี้แบ่งได้เป็น
- ผลแบบส้ม (hesperidium) ได้แก่ ผลจำ�พวกส้ม ผนังผล (pericarp) หน� มตี่อมนำ�้มัน
56 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
57 - ผลกระเป�ะ (utricle) ผลเมื่อแก่แตกโดยมฝี�เปิด ผลชนดินี้ผนังบ�งและมเีมล็ดเดยีว
- ผลแตกเป็นช่อง (poricidal capsule) ผลที่แตกเป็นช่องเล็กให้เมล็ดออกที่ปล�ย เช่น ฝิ่น
เมล็ด (seed)
เมล็ด คอื ไข่ (ovule) ที่เจรญิขึ้นม�หลังจ�กที่ได้รับก�รปฏสินธ ิ(fertilization) ประกอบด้วย
เปลอืกเมล็ด (seed coat)
เอนโดเสปิร์ม (endosperm) เป็นเนื้อเยื่อที่เก็บสะสมอ�ห�รอยู่นอกเอมบรโิอ เมล็ดของพชืบ�ง
ชนดิอ�จไม่ม ีendosperm เรยีกเมล็ดชนดินี้ว่� exalbuminous
เอมบรโิอ (embryo) เป็นต้นอ่อนอยู่ในเมล็ด ประกอบด้วย
- ใบเลี้ยง (cotyledon) คอื ใบแรกของต้นอ่อน
- ลำ�ต้นเหนอืใบเลี้ยง (epicotyl) คอื ส่วนที่อยู่เหนอืใบเลี้ยง ขณะอยู่ในเมล็ดส่วนนี้จะ
เจรญิเป็นยอดอ่อน
- ลำ�ต้นใต้ใบเลี้ยง (hypocotly) คอื ส่วนที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง ขณะอยู่ในเมล็ดส่วนนี้จะเจรญิ
เป็นลำ�ต้น
- ร�กแรกเกดิ (radicle) คอื ส่วนที่อยู่ล่�งสุด จะเจรญิเป็นร�กอ่อน
58 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
59
พืชใบเลี้ยงคู่ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
1. ไม้เนื้อแข็ง 1. ไม้เนื้ออ่อน บ�งครั้งพบเป็นไม้ต้น ได้แก่พวกป�ล์ม
และกล้วย
2. ใบโดยทั่วไปมีเส้นใบเป็นร่�งแห (netted vein)
ขอบเรียบหรือจัก มักมีก้�นใบ ห�ย�กที่ก้�นใบ
เป็นก�บ มักจะมีหูใบ
2. ใบโดยทั่วไปมีเส้นเรียงแบบขน�น ขอบเรียบ ห�ย�ก
ที่ มีก้�นใบ ก้�นใบมักจะแผ่ออกเป็น ก�บหุ้มลำ�ต้น
ไม่มีหูใบ
3. ดอกมีส่วนต่�ง ๆ 4 หรือ 5 หรือทวีคูณของ4 หรือ 5 3. ดอกมีส่วนต่�ง ๆ 4 หรือ 5 รือทวีคูณของ 4 หรือ 5
4. ต้นอ่อนมีใบเลี้ยง 2 ใบ 4. ต้นอ่อนมีใบเลี้ยง 1 ใบ
เมื่อตัวอย่�งที่มแียกออกได้แล้วว่�เป็นพชืใบเลี้ยงคู่ หรอืใบเลี้ยงเดี่ยว ต่อไปก็ได้พจิ�รณ�
ลักษณะต่�ง ๆ เหล่�นี้ คอื
1. ดูว่�เป็นใบเดี่ยว หรอื ใบประกอบ ถ้�ใบประกอบ เป็นใบประกอบชนดิใด
1.1 ใบตดิแบบใด ตรงข้�ม หรอืเรยีงสลับ
1.2 ขอบใบเรยีบ หรอืจัก
1.3 มหีูใบหรอืไม่
2. ดูว่�ดอกออกที่ใด และแบบใด
2.1 ดอกเป็นแบบสมม�ตรต�มรัศม ี(actinomorphic) หรอืสมม�ตรด้�นข้�ง (zygomorphic)
2.2 กลบีดอกแยก หรอื เชื่อมตดิกัน
2.3 ส่วนต่�ง ๆ ของดอกนี้มจีำ�นวนเท่�ใด และเรยีงแบบใด ทัง้กลบีเลี้ยง กลบีดอก
เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี
2.4 ตรวจดูเกสรเพศเมยี (gynoecium) นับจำ�นวนเกสรเพศเมยี (pistils) ก้�นเกสรเพศเมยี
(styles) และยอดเกสรเพศเมยี (stigmas)
2.5 ผ่�ดอกออกต�มย�วต�มแกนกล�งของดอก ดูตำ�แหน่งที่ตัง้ของรังไข่ (ovary) ว่�
เป็นชนดิตดิเหนอืวงกลบี (superior) ตดิใต้วงกลบี (inferior) หรอืตดิกึ่งใต้วงกลบี (half-inferior)
2.6 ดงึกลบีดอก เกสรเพศผู้ออกให้หมด แล้วตัดรังไข่ต�มขว�ง ตรวจนับจำ�นวนช่องใน
รังไข่ และจำ�นวนคร่�ว ๆ ของไข่ (ovule) แล้วดูว่� placenta เป็นแบบใด marginal, axile, parietal หรอื free-central
placentation บ�งทไีข่จะมเีพยีงเมล็ดเดยีว หรอือ�จมสีองส�มเมล็ด ในกรณนีี้ก็ให้วนิจิฉัยว่� placenta จะเป็น basal
หรอื pendulous
3. ผลเป็นแบบใด
ลักษณะต่�ง ๆ ที่เหมอืนกันหรอืต่�งกันของพชืเหล่�นี้จะปร�กฏอยู่ในวงศ์พชืต่�ง ๆ กัน จะทำ�ให้วเิคร�ะห์
พชืสู่กลุ่มวงศ์ได้ เช่น ถ้�ตัวอย่�งพชืที่มอียู่เป็นพชืใบเดี่ยว ตดิตรงข้�ม ขอบใบเรยีบ มหีูใบ ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี
กลบีดอกเชื่อมตดิกันเป็นรูปท่อ รังไข่ตดิใต้วงกลบี พชืนัน้อ�จเป็นสม�ชกิอยู่ในวงศ์ Rubiaceae หรอืถ้�พชืมใีบเดี่ยว
4
กำรวเิครำะห์ตัวอย่ำงพรรณไม้ ก�รวเิคร�ะห์ตัวอย่�งพรรณไม้นัน้ อุปกรณ์อย่�งง่�ยที่จำ�เป็นต้องมกี็คอื แว่นขย�ยขน�ด 8 ถงึ 10 เท่� มดี
สำ�หรับใช้ผ่�ตัดส่วนต่�ง ๆ ของดอก อ�จใช้ใบมดีโกนก็ได้ ป�กคบีหนึ่งอัน นอกจ�กนี้ก็ต้องมหีนังสอืคู่มอื (manual)
หรอืหนังสอืพรรณพฤกษช�ต ิ(flora) โดยเฉพ�ะอย่�งยิ่งฉบับที่มรีูปวธิ�น (key) อยู่ด้วย หนังสอืประเภทนี้มอียู่เป็น
จำ�นวนม�กในห้องสมุดพฤกษศ�สตร์ของหอพรรณไม้ กรมป่�ไม้
ขั้นตอนกำรวเิครำะห์พรรณไม้
1. ระดับวงศ์
ขัน้แรกจะต้องแยกพชืชัน้ตำ่� ในที่นี้จะกล่�วถงึพวกเฟิร์น (Pteridophytes) หรอื พวกที่เกี่ยวข้อง
กับเฟิร์น (Fern allied) ออกจ�กพชืชัน้สูง คอืพชืมเีมล็ด (Spermatophytes) ให้ได้เสยีก่อน พชืพวกเฟิร์นซึ่งเป็น
พชืชัน้ตำ่�นี้จะไม่มดีอกแต่มสีปอร์ เฟิร์นสังเกตได้ง่�ยโดยดูลักษณะของใบ ส่วนวงศ์พชืที่เกี่ยวข้องกับเฟิร์น คอื วงศ์
Selaginellaceae และ Lycopodiaceae (ทัง้สองวงศ์นี้บ�งครัง้คล้�ยกับพวกมอสส์ขน�ดใหญ่) Isoetaceae (คล้�ยพวก
หญ้�) Psilotaceae และ Equisetaceae (hoesetails) พวกที่เกี่ยวข้องกับเฟิร์นมไีม่ม�กชนดิ และเมื่อเร�ได้เจอครัง้หนึ่ง
แล้ว ก็จะจดจำ�ได้ง่�ยขึ้น
ขัน้ที่สองคอื ก�รสังเกตพวกพชืเมล็ดเปลอืย (gymnosperms) ถงึแม้พชืเมล็ดเปลอืย gymosperms จะให้
เมล็ด แต่พวกนี้จะไม่มดีอกที่แท้จรงิ ไข่อ่อนจะไม่มอีะไรห่อหุ้ม (นั่นคอืจะไม่อยู่ในรังไข่) โดยทั่วไปอับสปอร์และไข่
อ่อนจะเกดิอยู่ใน strobili หรอืโครงสร้�งที่คล้�ยโคน (cone) พชืเมล็ดเปลอืยม ี orders ต่�ง ๆ ดังนี้คอื Cycadales
Ginkgoales Coniferae และ Gnetales (ยกเว้นวงศ์ Gnetaceae ซึ่งมลีักษณะคล้�ยพชืใบเลี้ยงคู่ (ดูภ�พผนวกที่ 3) เมื่อ
ได้เห็นครัง้หนึ่งแล้วจะจำ�ได้ง่�ยขึ้น
ส่วนพชืดอก (Angiosperms) นัน้ในประเทศไทยมอียู่ประม�ณ 280 วงศ์ โดยมตีัง้แต่วงศ์ที่มพีชืชนดิเดยีว
(monotypic families) จนถงึพชืวงศ์ใหญ่ ๆ ที่มสีม�ชกิ 100 กว่�สกุล จำ�นวน 600-400 ชนดิ พชืวงศ์เล็ก ๆ ส่วนม�ก
แล้วจะมเีขตก�รกระจ�ยพันธุ์แคบ ๆ และจะจำ�ได้ต่อเมื่อผู้ที่สนใจศกึษ�พชืในเขตนัน้ ๆ ถ้�เร�เริ่มต้นจำ�ลักษณะวงศ์
พชืที่เร�พบบ่อย ๆ จะเป็นวธิทีี่ดทีี่สุด พชืในวงศ์เหล่�นี้บ�งทจีะมคีว�มแตกต่�งกันไปในแต่ละท้องที่ ส่วนพชืหล�ย
วงศ์ที่มกี�รแพร่กระจ�ยกว้�งขว�งพบอยู่ในทุก ๆ ท้องที่ บ�งพื้นที่พชืบ�งวงศ์ง่�ยต่อก�รจดจำ�ขณะที่พชืวงศ์อื่น ๆ
จำ�ได้ย�กกว่� แต่เหนอืสิ่งอื่นใดก�รวเิคร�ะห์พชืนี้ต้องอ�ศัยประสบก�รณ์และก�รจดจำ�ลักษณะเฉพ�ะประจำ�วงศ์
พชืนัน้ ๆ
ในพชืดอก (angiosperms) สิ่งแรกที่ต้องแยกให้ออก คอืข้อแตกต่�งระหว่�งพชืใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledons)
และพชืใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocotyledons) ลักษณะใหญ่ ๆที่พอสังเกตได้มดีังนี้
60 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
61ผดิแผกแตกต่�งกันเทยีบเป็นคู่ ๆ ดังตัวอย่�งต่อไปนี้
1. กลบีเลี้ยง (sepals) และกลบีดอก (petals) มจีำ�นวน 4
2. เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 6 ,4 หรอืกว่�นัน้ รังไข่มชี่องเดยีว placenta แบบ parietal กลบีดอก ค่อนข้�ง Zygomorphic
Capparaceae
2. เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 6, tetradynamous, รังไข่มผีนังกัน้ออกเป็น 2 ช่อง, กลบีดอก actinomorphic
Cruciferae
1. กลบีเลี้ยง (sepals) และกลบีดอก (petals) มจีำ�นวน 5 เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 5 เรยีงสลับกันกับ staminodes ที่
เรยีวย�ว จำ�นวน 3 ถงึ 5 อัน รังไข่มชี่องเดยีว ม ีplacenta แบบ parietal ดอก zygomorphic Moringaceae
ห�กไม่ใช่หม�ยเลขนำ�น้�คู่ที่แตกต่�งกันต�มตัวอย่�งนี้ อ�จจะใช้อักษรแทนก็ได้ เช่น A, B หรอื ก. ข. ก็ได้
ต�มตัวอย่�งที่ได้ให้ไว้นี้จะเห็นได้ว่�รูปวธิ�นนี้ม ี 2 คู่ด้วยกัน แต่ละคู่จะมขี้อชี้ลักษณะแตกต่�งกัน ข้อชี้หนึ่งเป็น
ลักษณะหนึ่ง อกีข้อหนึ่งเป็นลักษณะที่แย้งกัน ยกตัวอย่�งเช่น ถ้�ข้อที่ 1 ของคู่แรกถูกกับลักษณะตัวอย่�งพชืที่กำ�ลัง
วเิคร�ะห์อยู่นัน้ ก็จงพจิ�รณ�ดูต่อไปอกีว่� ข้อชี้ที่ 1 ของคู่แรกถูกกับลักษณะตัวอย่�งพชืที่กำ�ลังวเิค�ะห์อยู่นัน้ ก็จง
พจิ�รณ�ดูต่อไปอกีว่� ข้อชี้ที่หนึ่งหรอืสองของคู่ที่สองนัน้จะตรงกันกับพชืที่กำ�ลังศกึษ�อยู่หรอืไม่ เมื่อได้ใช้รูปวธิ�น
ดังนี้แล้ว ก็จะจำ�แนกพชืนัน้ ๆ เข้�วงศ์ (family) สกุล (genus) หรอืชนดิ (species) ได้ในที่สุด
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในตำ�ร�นัน้ จะมรีูปวธิ�นของ order ต่�ง ๆ ที่ปร�กฏอยู่ต่อม�ก็จะมรีูปวธิ�นของวงศ์
(families) ต่�ง ๆ ใน order แต่ละวงศ์ก็มรีูปวธิ�นของสกุล (genera) ต่�ง ๆ และสกุลต่�ง ๆ นัน้ก็จะมรีูปวธิ�นของ
ชนดิต่อไป
ในท�งปฏบิัตแิล้วก�รวเิคร�ะห์ชื่อพรรณพชืโดยใช้รูปวธิ�นจนกระทั่งได้ชื่อพชืแล้วยังไม่เป็นก�รยุต ิจำ�เป็น
ต้องนำ�พรรณพชืนัน้ ๆ ไปเทยีบเคยีงกับลักษณะรูปพรรณของตัวอย่�งพชืนัน้ ๆ ที่มีชื่ออยู่แล้วในหอพรรณไม้เพื่อ
คว�มแน่นอนอกีชัน้หนึ่งก่อน ถ้�ปร�กฏว่�รูปพรรณของพชืที่เร�วเิคร�ะห์ได้มลีักษณะผดิเพี้ยนไปจ�กลักษณะรูป
พรรณของตัวอย่�งพชืในหอพรรณไม้ ก็ถอืได้ว่�ก�รวเิคร�ะห์นัน้ไม่ถูกต้อง ต้องนำ�ไปวเิค�ะห์กันใหม่อกีครัง้หนึ่ง
เอกสำรแนะน�ำ
เอกส�รแนะนำ�ที่เกี่ยวกับก�รจำ�แนกพรรณพชืในประเทสไทย ได้จัดไว้เป็นหมวด ๆ ดังนี้ คอื
พจนำนุกรมชื่อพชื (Dictionaries of plant names)
พระย�วนิจิวนนัดร. 2503. ชือ่พรรณไม้แห่งประเทศไทย (ชือ่พื้นเมอืง-ชื่อพฤกษศ�สตร์), กรมป่�ไม้.
เต็ม สมตินิันทน์. 2523. ร�ยชื่อพรรรไม้อห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศ�สตร์-ชื่อพื้นเมอืง). ฟันนี่พับบลชิชิ่ง, กรุงเทพฯ.
สอ�ด บุญเกดิ และคณะ. 2525. ชื่อพรรณไม้ในเมอืงไทย. คณะวนศ�สตร์ มห�วทิย�ลัยเกษตรศ�สตร์.
Jackson, B. Daydon. 1895-1955. Index Kewensis. Vol. 1-2 and Supplements. Clarendon Press, Great Britain.
Mabberley D.J. 1989. The Plant Book. Cambridge University Press, Cambridge.
Willis, J.C. 1973. A Dictionary of the Flowering Plants and Ferns. Cambridge University Press Cambridge.
ตดิตรงข้�ม ขอบใบจักเป็นคลื่น ไม่มหีูใบ กลบีดอกเชี่อมตดิกันเป็น 2 ป�ก รังไข่ตดิหนอืวงกลบี พชืนัน้อ�จยู่ในวงศ์
Labiatae, Acanthaceae, Gesneriaceae หรอื Scrophulariaceae หลังจ�กนี้จะต้องตรวจดูลักษณะอื่น ๆ เพื่อจำ�แนก
พชืต่อไป (ดูภ�คผนวก 3)
ถ้�ต้องก�รจะให้แน่ใจว่�เร�ได้วเิคร�ะห์พชืนัน้ ๆ อยู่ในวงศ์ที่ถูกต้องแล้ว ก็ควรจะตรวจสอบดูกับลักษณะ
ประจำ�วงศ์อกีทหีนึ่ง ซึ่งส�ม�รถห�อ่�นได้ในหนังสอืพรรณพฤกษช�ตติ่�ง ๆ ที่แนะนำ�ไว้ อกีทัง้ตัวอย่�งพรรณไม้
ของเร�ถ้�เป็นตัวอย่�งที่สมบูรณ์ เร�ก็ส�ม�รถใช้รูปวธิ�นในหนังสอืวเิคร�ะห์ได้ โดยเลอืกรูปวธิ�นที่ครอบคลุมพชื
ทั่วไปในทุกพื้นที่
2. ระดับสกุล
ถ้�เป็นพชืสกุลที่เร�ไม่รู้จัก ก�รวเิคร�ะห์จะค่อนข้�งย�ก ซึ่งเป็นเรื่องจรงิในพชืวงศ์ใหญ่ ๆ เช่น Compositae,
Orchidaceae หรอื Leguminosae ซึ่งพชืวงศ์เหล่�นี้ ผู้ที่จะจำ�สกุลของพชืได้จะต้องเป็นผู้เชี่ยวช�ญเฉพ�ะวงศ์ ถ้�เร�
จะได้รู้จักสกุลหลัก ๆ ของพชืในวงศ์ต่�ง ๆ ในแถบภูมภิ�คของเร�ไว้ก็จะเป็นก�รด ีโดยเฉพ�ะสกุลที่เป็นไม้เด่นอยู่ใน
สังคมพชืแถบบ้�นเร� ซึ่งลักษณะของสกุลเหล่�นี้เร�ต้องศกึษ�ไว้เพื่อก�รจดจำ�พชืสกุลนัน้ ๆ เช่น พชืสกุลย�ง
Dipterocarpus, พะยอม Shorea, ก่อ Lithocarpus, Castanopsis และ Quercus ฯลฯ
พชืสกุลที่เร�ไม่รู้จักส�ม�รถวเิคร�ะห์ได้โดยใช้คู่มอืหรอืหนังสอื Flora ดังที่กล่�วม�แล้ว นอกจ�กนี้ยังดูได้
จ�กบัญชรี�ยชื่อพชื (Check-list) ของพชืเฉพ�ะถิ่น ถ้�ไม่มคีู่มอืเลยส�ม�รถทำ�ได้ แต่ต้องใช้เวล�ม�ก โดยไปดู
ตัวอย่�งในหอพรรณไม้ ให้ดูร�ยชื่อสกุล ในแต่ละวงศ์และดูท้องถิ่นของพชืควบคู่ไปด้วย เมื่อเร�ได้ตรวจดูแล้ว เร�
จะได้ร�ยชื่อพชืที่ขึ้นอยู่ในท้องถิ่นที่เร�สำ�รวจซึ่งจะใช้ในก�รจำ�แนกพชืและส�ม�รถใช้ไปได้เรื่อย ๆ แต่เร�ควรจะ
ตรวจสอบกับเอกส�รอ้�งองิด้วย เพร�ะบ�งสกุลอ�จจะไม่มตีัวอย่�งเก็บไว้ในหอพรรณไม้ หรอืได้รวมไว้ในสกุลอื่น
หรอืแยกเป็นสกุลใหม่ไปแล้ว หลังจ�กนัน้จงึนำ�พชืที่สงสัยไปเทยีบกับตัวอย่�งพชืที่มชีื่ออยู่ในหอพรรณไม้ต่อไป
ดังนั้นเร�จงึควรจดจำ�ลักษณะประจำ�วงศ์ของพชืไว้ โดยเฉพ�ะพชืวงศ์ใหญ่ ๆ เร�ต้องพย�ย�มจำ�ลักษณะ
ที่ใช้แยกกลุ่มพชืเป็นวงศ์ย่อย (sub-families) หรอืเป็นเผ่� (tribe) ซึ่งจะทำ�ให้เร�ตัดจำ�นวนสกุลที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
แต่ถ้�เป็นพชืที่เร�รู้ถิ่นกำ�เนดิเร�ส�ม�รถตรงไปใช้ key ในหนังสอื flora ประจำ�ถิ่นได้เลย
3. ระดับชนดิ
ก�รวเิคร�ะห์พชืสู่ชนดินัน้ก็เช่นเดยีวกันกับก�รวเิคร�ะห์ขัน้ วงศ์ และสกุล โดยก�รจดจำ�ชนดิพชื หรอื
วเิคร�ะห์โดยก�รเปรยีบเทยีบกับตัวอย่�งพชืที่มชีื่อแล้วในหอพรรณไม้ หรอืโดยก�รใช้รูปวธิ�น
ถ้�ต้องก�รใช้เอส�รอ้�งองิ ก็จำ�เป็นต้องรู้ว่�เอกส�รใดที่เกี่ยวข้องกับพชืกลุ่มของเร� เอกส�รพวกนี้ได้แก่
พวก Monograph, Revision หรอืถ้�ในภูมภิ�คก็จะออกม�ในรูปของ Flora หรอื Check-list
กำรใช้รูปวธิำน
รูปธ�นที่ใช้ในก�รวเิคร�ะห์พรรณไม้นัน้คอื ก�รจัดลำ�ดับลักษณะต่�ง ๆ ของพันธุ์ไม้ที่แตกต่�งกันไว้ให้เป็น
ระเบยีบ โดยคัดเอ�ลักษณะที่ไม่มใีนพรรณไม้ที่ต้องก�รวเิคร�ะห์นัน้ออกไป คงเหลอืแต่ลักษณะต่�ง ๆ ที่ปร�กฏอยู่
ในพรรณไม้ที่กำ�ลังวเิคร�ะห์อยู่นัน้ ซึ่งก็จะได้ผลลัพธ์ในขัน้สุดท้�ย
รูปวธิ�นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เรยีกว่� รูปวธิ�นแบบ dichotomous (dichotomous key) คอืใช้ลักษณะที่
62 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
63เต็ม สมตินิันทน์ และคณะ. 2518. พันธุ์ไม้ป่�. กรมป่�ไม้.
เต็ม สมิตนิันทน์. 2520. พันธุ์ไม้อุทย�นแห่งช�ตเิข�ใหญ่. กรมป่�ไม้.
ลนี� ผู้พัฒนพงศ์, บุศบรรณ ณ สงขล� และ ก่องก�นด� ชย�มฤต. 2540-2525. สมุนไพรไทย. ตอน 6-1. กรมป่�ไม้
วรีะชัย ณ นคร. 2540-2535. พรรณไม้สวนพฤกษศ�สตร์สริกิติิ์ 4-1. สวนพฤกษศ�สตร์สมเด็จพระน�งเจ้�สริกิติิ์.
หนังสอืเกี่ยวกับอนุกรมวธิำนพชื
Benson, L. 1957. Plant classification. D.C. Heath & Co., Boston.
Davis, P.H., and V.H. Heywood. 1963 Principles of Angiosperm Taxonomy. Oliver & Boyd, Edinburgh.
Hutchinson, J. 1959. The Families of Flowering Plants. 2 Vols. Oxford.
Jackson, B.D. 1928. A Glossary of Botanical Terms. Duckworth, London.
Lawrence, G.H.M. 1951. Taxonomy of Vascular Plants. The Macmillan Co., New York.
Stearn, W. T. 1983. Botanical Latin. David & Charles, Newton Abbot (England).
Websites ดำ้นพฤกษศำสตร์ที่ส�ำคัญ
JSTOR Plant Science: http://plants.jstor.org/
Royal Botanic Gardens, Kew: http://www.kew.org/
Herbarium Catalogue
Library Catalogue
World Checklist of Selected Plant Families
World Checklist of Monocotyledons
World Checklist of Rubiaceae
Kew Bibliographic Database (KBD)
http://www.kewbooks.com/
The New York Botanical Garden: http://www.nybg.org/
The C. V. Starr Virtual Herbarium
Vascular Plant Types Catalog
Nationaal Herbarium Nederland: http://www.nhn.leidenuniv.nl/index.php/
Malesian Orchid Genera Illustrated
พรรณพฤกษชำตปิระจ�ำถิ่น (Flora)
Smitinand, T. and Kai Larsen. 1970-1997. Flora of Thailand. Vol. 2-6. Chutima Press, Bangkok.
Santisuk, T. (ed.) 1997-1954. Thai Forest Bulletin (Botany) เล่ม 25-1. Forest Herbarium, Royal Forest
Department, Bangkok.
Craib, W.G. 1925-1931. Florae Siamensis Enumeratio. Vol. 1-2. Siam Society, Bangkok.
Hookerm J.D. 1881-1897. Flora of British India, Vol. 1-7. L. Reeve, Kent.
Kurz, S. 1877. Forest Flora of British Burma. Vol. 1-2. Office of the Superintendent of Government Printing,
Calcutta.
Backer, C.A. and R.C. Bakhuizen van den Brink. 1963-1968. Flora of Java. Vol. 1-3. P. Noordhoff, Groningen.
Gagnepin, F. 1907-1951. Flora Générale de L’Indochine. Vol. 1-7. Museum National of Histoire Naturelle, Paris.
Aubreville, A. 1960-1997. Flora du Cambodge du Laos et du Vietnam. No. 2-29. Museum National d’Histoire, Paris
Steenis, c.G.G.J. van. 1949-1979. Flora Malesiana. Vol 4-12. P. Noordhoff, The Netherlands.
Brandis, D. 1906. Indian Tree. Bishen singh Mahendra Dal Singh, Dehra Dun.
Corner, E.J.H. 1951. Wayside Tree of Malaya. Government Printer, Singapore.
Ridleyy, H.N. 1922-1925. The Flora of the Malay Peninsula. Vol. 1-5, L. Reeve, Kent.
Dassanayake, M.D. 1980-1991. A Revised Hanbook to the Flora of Ceylon. Vol. 1-7. Amerind Publishing, Delhi.
Whitmore. T.C. (ed.). 1972-1980. Tree Flora of Malaya. Vol. 1-4. Longman, Malaysia.
Hsuan, Keng. 1978. Order and Families of Malayan Seed Plants. Univerity of Malaya Press, Kuala Lumpur.
Henderson, M.R. 1949. Malayan Wild Flowers Dicotyledons. Malayan Nature Society, Kuala Lumpur.
Merill, Elmer D. 1923. An Enumeration of Philippine Flowering Plants. Vol. 1-2. Bureau of Printing, Manila.
หนังสอืที่เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ไทย
คณติ� เลขะกุล (บรรณ�ธกิ�ร). 2530. พรรณไม้ในสวนหลวง ร.9.
คณิต� เลขะกุล (บรรณ�ธกิ�ร). 2537. ไม้ดอกไม้ประดับ สำ�นักเอกลักษณ์ไทย
จำ�ลอง เพ็งคล้�ย และคณะ. 2526-2515. ไม้ที่มคี่�ท�งเศรษฐกจิของไทย. ตอนที่ 3-1. กรมป่�ไม้
จำ�ลอง เพ็งคล้�ย. 2535. พรรณไม้ในสวนป่�สริกิติติ์ภ�คกล�ง (จังหวัดร�ชบุร)ี. กรมป่�ไม้
ชวลติ นยิมธรรม. 2534. พรรณไม้ป่�พรุ จังหวัดนร�ธวิ�ส. กรมป่�ไม้.
64 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
65
5
รูปวธิำนแยกวงศ์พชืที่พบบ่อยใบประเทศไทย
รูปวธิำนทั่วไป
1. ไข่และเมล็ดไม่มสีิ่งห่อหุ้ม เกดิบนขอบของค�ร์เพล หรอื megasporophylls) หรอืบนเกล็ด บ�งครัง้อ�จพบล้อมรอบ
ด้วยก�บคล้�ยวงกลบีรวม (perianth-like sheath) 1. Gymnospermae
1. ไข่อยู่ในรังไข่ รังไข่เกดิจ�กส่วนโคน โคนของค�ร์เพลม้วนเข้�ห�กัน หรอืค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน
2. Angiospermae
2. ต้นอ่อนมใีบเลี้ยง 2 ใบ ท่อลำ�เลยีงเรยีงเป็นวงในลำ�ต้น และเจรญิเพิ่มขน�ดคว�มหน�ขึ้น ใบมเีส้นใบแบบร่�งแห
ดอกมักมสี่วนต่�ง ๆ เป็น 5-4 2.1. Dicotyledonae
2. ต้นอ่อนมใีบเลี้ยง 1 ใบ ท่อลำ�เลยีงเรยีงกระจัดกระจ�ยในลำ�ต้น ไม่เพิ่มขน�ดคว�มหน� ใบมเีส้นใบแบบขน�น
ดอกมักมสี่วนต่�ง ๆ เป็น 3 2.2. Monocotyledonae
1. พชืเมล็ดเปลอืย (Gymnospermae)
1. ใบประกอบแบบขนนก ขน�ดใหญ่ ออกเป็นกระจุกที่ปล�ยลำ�ต้น อวัยวะสบืพันธุ์เพศผู้และเพศเมยีมขีน�ดใหญ่
อยู่แยกกัน ที่ตรงกล�งปล�ยยอด Cycadaceae
1. ใบเดี่ยว ขน�ดเล็กหรอืขน�ดกล�ง อยู่ต�มกิ่งก้�นทั่วไป อวัยวะสบืพันธุ์มขีน�ดเล็ก เกดิต�มง่�ม หรอืส่วนบน ๆ
ของกิ่ง หรอืเป็นวงรอบกิ่ง
2. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มที่อย�งชัน เนื้อไม้ไม่ม ีvessel ที่แท้จรงิ อวัยวะสบืพันธุ์เพศผู้และเพศเมยี เกดิบนแกนกล�งใบ
หรอืใบส่วนบน ๆ
3. เมล็ดเดี่ยว ล้อมรอบด้วยชัน้ที่อวบนำ�้ (epimatium) และมักรองรับด้วยฐ�นดอกที่หน�นุ่ม Podocarpaceae
3. เมล็ดม ี2 อยู่บนเกล็ด (ovuliferous scale) และเกล็ดเหล่�นี้รวมตัวเป็นอวัยวะที่เรยีกว่� cone แข็ง ใบรูปเข็ม
Pinaceae (Pinus)
2. ไม้ต้น หรอืไม้เลื้อยเนื้อแข็ง ไม่มที่อย�งชัน เนื้อไม้ม ี vessel ที่แท้จรงิ อวัยวะสบืพันธุ์เป็นเพศเดยีว (บ�งทเีป็น
สองเพศแต่ไม่สมบูรณ์) ดอกเรยีงเป็นวงรอบข้อ Gnetaceae (Gnetum)
2. พชืดอก (Angiospermae)
2.1. พชืใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledonae)
1. มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก แยกจ�กกันอย่�งชัดเจน (บ�งครัง้กลบีเลี้ยงและกลบีดอกลักษณะเกอืบคล้�ยกัน แต่
แบ่งเป็น 2 วง หรอืม�กกว่�)
Euphorbiaceae from Thailand
Harvard University Herbaria
HUH-Databases: http://kiki.huh.harvard.edu/databases/
International Association for Plant Taxonomy: http://www.iapt-taxon.org/index_layer.php
Index Herbariorum
Names in Current Use (NCU)
Flora of China: http://flora.huh.harvard.edu/china/
GRIN Taxonomy for Plants: http://www.ars-grin.gov/cgi-bin/npgs/html/taxfam.pl
Orchids of Vietnam: http://www.hoalanvietnam.org/Article.asp?ID=320
Botanicus Digital Library: http://www.botanicus.org/
Biodiversity Heritage Library: http://www.biodiversitylibrary.org/
Taxonomic Literature II (TL-2):
http://www.sil.si.edu/digitalcollections/tl-2/index.cfm
BPH Online: http://fmhibd.library.cmu.edu/fmi/iwp/cgi?-db=BPH_Online&-loadframes
The Plant List: http://www.theplantlist.org/
Angiosperm Phylogeny Website: http://www.mobot.org/MOBOT/research/APweb/welcome.html
http://en.wikipedia.org/wiki/APG_III_system
The International Plant Names Index: http://www.ipni.org/
IK: Index Kewensis
GCI: Gray Card Index
APNI: Australian Plant Names Index
Tropicos: http://www.tropicos.org/
Index Fungorum: http://www.indexfungorum.org/Names/Names.asp
Natural History Bookstore: http://www.nhbs.com/index.php
66 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
67 10. มหีล�ยค�ร์เพล ออกเวยีนสลับบนแกนกล�งที่ยดืย�ว Magnoliaceae
10. มคี�ร์เพลตดิเป็นวงรอบแกนสัน้ ๆ Illiciaceae (Illicium)
9. เมล็ดโดยทั่วไปมเียื่อหุ้มเมล็ด เยื่อหุ้มเมล็ดอวบนำ�้ หรอืเป็นครุย Dilleniaceae
8. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกเรยีงจรดกัน ผลนุ่ม เมล็ดย่น Annonaceae
7. ไม้เลื้อย
11. ดอกเพศเดยีว
12. ผลกลม เป็นกลุ่มของค�ร์เพลหล�ยค�ร์เพล Schisandraceae (Kadsura)
12. ผลเป็นส�ม (สองหรอืหนึ่ง) ผลสดเมล็ดแข็ง Menispermaceae
11. ดอกสมบูรณ์เพศ
13. ผลม ี5-2 ค�ร์เพล ค�ร์เพลหน�คล้�ยหนัง เมล็ดมเียื่อหุ้มเมล็ด เอ็นโดสเปิร์มไม่ย่น Dilleniaceae
13. ผลเป็นกลุ่มของค�ร์เพล ค�ร์เพลนุ่ม เมล็ดไม่มเียื่อหุ้มเมล็ด เอ็นโดสเปิร์มย่น Annonaceae
4. กลบีดอกและเกสรเพศผู้ตดิรอบรังไข่ Rosaceae
3. ก้�นเกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นหลอด Malvaceae
2. เกสรเพศเมยีมหีนึ่งค�ร์เพลหรอืม�จ�ก 2 ค�ร์เพล หรอืม�กกว่� ที่เชื่อมตดิกัน
14. แผ่นใบแบน มตี่อมขน Droseraceae
14. ใบไม่มตี่อมขน
15. กลบีเลี้ยงม ี2 กลบี (หรอืเป็นใบประดับคล้�ยกลบีเลี้ยง) Portulacaceae (Talinum)
15. กลบีเลี้ยงม ี4 หรอื 5
16. นำ�้ย�งข้นคล้�ยนม
17. นำ�้ย�งสขี�ว ใบออกเรยีงสลับ หรอืออกตรงข้�ม ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน รังไข่โดยทั่วไปม ี3 ช่อง
Euphorbiaceae
17. นำ้�ย�งสขี�วหรอืเหลอืง ใบออกตรงข้�ม ก้�นเกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม รังไข่ม ี3-1 ช่อง
Guttiferae
16. นำ�้ย�งใส
18. ใบออกเรยีงสลับ
19. ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน หรอืบ�งครัง้พบตดิเป็นกระจุก แต่ไม่ใช่ตดิเป็นกลุ่มเดยีวกัน
20. รังไข่มกี้�น (gynophore) กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 4 กลบี Capparaceae
2. กลบีดอก (หรอืกลบีรวมวงใน) แยกจ�กกนั หรอืเกอืบแยกจ�กกัน มักจะหลดุร่วงเป็นกลบี ๆ
3. รังไข่เหนอืวงกลบี
4. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กกว่�สองเท่�ของกลบีดอก กลุ่ม 1
4. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด ไม่เกนิสองเท่�ของกลบีดอก กลุ่ม 2
3. รังไข่ใต้วงกลบี หรอืกึ่งใต้วงกลบี
5. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กกว่�สองเท่�ของกลบีดอก กลุ่ม 3
5. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด ไม่ถงึสองเท่�ของกลบีดอก กลุ่ม 4
2. กลบีดอกเชื่อมตดิกัน และจะหลุดร่วงทัง้หมด
6. รังไข่เหนอืวงกลบี กลุ่ม 5
6. รังไข่ใต้วงกลบี หรอื กึ่งใต้วงกลบี กลุ่ม 6
1. ไม่มกีลบีดอก หรอืมวีงกลบีรวมแต่ละกลบีมลีักษณะคล้�ยกันหมด และมักจะอยู่เป็นวงเดยีวหรอืไม่มวีงกลบีรวม
กลุ่ม 7
กลุ่ม 1
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก แยกจ�กกัน รังไข่เหนอืวงกลบี เกสรเพศผู้จำ�นวนม�กกว่�สองเท่�ของกลบีดอก)
1. พชืนำ�้ ค�ร์เพลมจีำ�นวนม�ก จมอยู่ในฐ�นดอกที่ขย�ยขึ้น Nymphaeaceae (Nelumbo-บัว)
1. พชืบก
2. เกสรเพศเมยีประกอบด้วย 2 ค�ร์เพลหรอืม�กหว่� ค�ร์เพลแยกจ�กกัน
3. ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน
4. กลบีดอกและเกสรเพศผู้ตดิใต้รังไข่
5. พชืไม่มเีนื้อใบ
6. มหีล�ยค�ร์เพล เมล็ดไม่มเียื่อหุ้มเมล็ด Ranunculaceae
6. มสี�มค�ร์เพล เมล็ดมเียื่อหุ้มเมล็ด Dilleniaceae (Acrotrema)
5. พชืมเีนื้อไม้
7. ไม้ต้น ลำ�ต้นตรง หรอืไม้พุ่ม ดอกเด่นและสมบูรณ์เพศ
8. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกซ้อนเหลื่อมกัน ผลมักเป็นผลแห้ง เมล็ดเรยีบ
9. เมล็ดไม่มเียื่อหุ้มเมล็ด
68 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
69 31. อับเรณูม ี1 เซลล์ หลอดเกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันที่โคนกลบีดอก Malvaceae-Malvoideae
31. อับเรณูม ี2 เซลล์ หลอดเกสรเพศผู้ไม่เชื่อมตดิกับกลบีดอก Malvaceae-Sterculioideae
18. ใบออกตรงข้�ม
32. ใบมจีุดโปร่งแสง ไม้ล้มลุกหรอืไม้พุ่ม ผลแห้งแบบ capsule Hypericaceae
32. ใบไม่มจีุดโปร่งแสง ไม้ต้นหรอืไม้พุ่ม
33. กลบีเลี้ยงแยกจ�กกัน ซ้อนเหลื่อมกัน ผลสด Clusiaceae
33. กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน เรยีงจรดกัน ผลแห้งแบบ capsule Lythraceae
กลุ่ม 2
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก แยกจ�กกัน รังไข่เหนอืวงกลบี เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด)
1. เกสรเพศเมยีประกอบด้วยค�ร์เพล 2 ถงึหล�ยค�ร์เพล
2. เกสรเพศผู้ตดิบนฐ�นดอกใต้รังไข่
3. ใบมจีุดนำ้�มันใส Rutaceae
3. ใบไม่มจีุดนำ้�มันใส
4. ใบเดี่ยว
5. ใบออกตรงข้�ม ผลมปีีก Malpighiaceae
5. ใบออกเรยีงสลับ ผลไม่มปีีก
6. ไม้เถ� เนื้อแข็ง หรอื ไม่มเีนื้อไม้ ดอกเพศเดยีวและต่�งเพศต่�งต้น Menispermaceae
6. ไม้ต้น ตัง้ตรง ดอกสมบูรณ์เพศ Anacardiaceae (Buchanania)
4. ใบประกอบแบบขนนก ออกเรยีงสลับ Simaroubaceae
2. เกสรเพศผู้ตดิอยู่ในหลอดกลบีเลี้ยง เหนอืรังไข่
7. มหีูใบ Rosaceae
7. ไม่มหีูใบ Connaraceae
1. เกสรเพศเมยีประกอบด้วยหนึ่งค�ร์เพลหรอืม�จ�ก 2 หรอื หล�ยค�ร์เพล
8. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี5-2 หรอื แตกเป็น 5-2 แฉก
9. ใบแบน มตี่อมขน Droseraceae
9. ใบไม่มตี่อมขน
20. รังไข่ไม่มกี้�น หรอื ก้�นสัน้ม�ก
21. ไม้เถ�เนื้อแข็ง ผลมเีปลอืกหน�มัน เมล็ดมเียื่อหุ้มเมล็ดเป็นครุย Dilleniaceae (tetracera)
21. ไม้ต้น ตัง้ตรง หรอืไม้พุ่ม
22. ผลแก่ไม่แตก มปีีก 5-2 ปีก ปีกเกดิจ�กกลบีเลี้ยง Dipterocarpaceae
22. ผลไม่มปีีก
23. ผลแห้งแตก แบบ capsule มหีน�มหรอืขนมัน
24. ใบมเีส้นใบแบบนิ้วมอื ไม่มเีกล็ด ผลเล็ก Bixaceae
24. ใบมเีส้นใบแบบขนนก มเีกล็ด ผลใหญ่ Malvaceae-Bombacoideae
23. ผลมหีล�ยแบบ ถ้�เป็นผลแห้งแบบ capsule มักไม่มหีน�มหรอืขนมัน เส้นใบเป็นแบบขนนก
25. ใบมจีุดนำ้�ใส มกีลิ่น Rutaceae
25. ใบไม่มจีุดนำ้�มันใส
26. รังไข่มพีูลกึ 10-3 พู เจรญิเป็นกลุ่มผล มสีดีำ� เมล็ดแข็ง ตัง้อยู่บนฐ�นดอกสแีดง
Ochnaceae
26. รังไข่ไม่เป็นพู ผลแห้งแบบ capsule หรอืผลสดแบบมเีนื้อหล�ยเมล็ด
27. กลบีเลี้ยงโคนเชื่อมตดิกันเล็กน้อย
28. กลบีดอกม ี5 กลบี ขอบเรยีบ Linaceae (Ixonanthes)
28. กลบีดอกมจีำ�นวนม�ก ขอบขน�นแคบ Gonystylaceae
27. กลบีเลี้ยงแยกจ�กกัน
29. กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน ดอกเดี่ยว หรอือยู่เป็นกลุ่ม ม ี3-2 ดอก
Theaceae
29. กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกัน ดอกเล็กออกเป็นช่อกระจุกแตกแขนง
Malvaceae-Grewioideae
19. ก้�นเกสรเพศผู้โคนเชื่อมตดิกัน หรอืเชื่อมตดิกันเป็นหลอด หรอืเชื่อมเป็นหลอดตดิกันหล�ยหลอด
30. ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมอื ผลแห้งแบบ capsule เมล็ดมันคล้�ยไหม เกสรเพศผู้ตดิกันเป็นมัด
Malvaceae-Bombacoideae
30. ใบเดี่ยว
70 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
71 23. กลบีเลี้ยงแยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกันเล็กน้อย
24. ดอกสมม�ตรต�มรัศม ีรังไข่ม ี5 ช่องไข่ตดิห้อยลง ผลสด ม ี5 สัน หรอืผลแห้งแบบ capsule
Oxalidaceae
24. ดอกมักสมม�ตรด้�นข้�ง รังไข่ม ี4-1 ช่อง ไข่ตดิตรง ผลแห้ง หรอืผลสด ไม่เป็นสัน 5 สัน
Sapindaceae
23. กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันที่โคน
25. ไข่และเมล็ดตดิห้อยลง เปลอืกต้นขม Simaroubaceae
25. ไข่และเมล็ดตดิตรง Anacardiaceae (Spondias)
22. กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกันในต�ดอก ไม้ต้น มยี�งเป็นชัน Burseraceae
8. ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว
26. ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบ รังไข่ม ี5-2 ช่อง
27. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง
28. รังไข่ม ี2 ช่อง กลบีเลี้ยงไม่มเีดอืย เกสรเพศผู้ม ี8 ,5 หรอื 10 แยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกัน
Polygalaceae
28. รังไข่ม ี5 ช่อง กลบีเลี้ยง 1 หรอื 2 กลบีจะมเีดอืย เกสรเพศผู้ม ี5 อ�จเชื่อมตดิกัน Balsaminaceae
27. ดอกสมม�ตรต�มรัศมี
29. เกสรเพศผู้ม ี6 ย�ว 4 สัน้ 2 กลบีเลี้ยงและกลบีดอกม ี5 กลบี Cruciferae
29. เกสรเพศผู้ กลบีเลี้ยงและกลบีดอกไม่เหมอืนข้�งบน
30. ใบมจีุดนำ�้มันใส Rutaceae
30. ใบไม่มจีุดนำ�้มันใส
31. ก้นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน
32. ผลแห้งแบบ capsule มเีมล็ดเล็ก ๆ จำ�นวนม�ก เกสรเพศเมยีม ี4 หรอื 8 ตดิในหลอดกลบีเลี้ยง
Lythraceae
32. ผลมหีล�ยแบบ มเีมล็ด 3-1 เกสรเพศผู้ม ี5-2 ตดิที่ขอบของจ�นดอก
33. เกสรเพศผู้ตดิตรงข้�มกับกลบีดอก Rhamnaceae
33. เกสรเพศผู้ตดิสลับกับกลบีดอก
34. เกสรเพศผู้ม ี3 ผลสดแบบมเีนื้อหล�ยเมล็ด Celastraceae (Salacia)
10. ใบออกตรงข้�ม
11. กลบีเลี้ยง (หรอืใบประดับคล้�ยกลบีเลี้ยง) ม ี2 กลบี ใบนุ่ม Portulacaceae
11. กลบีเลี้ยงม ี5 กลบี ใบไม่นุ่ม
12. ไม้พุ่ม หรอืไม้เถ�เนื้อแข็ง ผลสดแบบกล้วย หรอืผลมปีีก Malpighiaceae
12. ไม้ต้น ตัง้ตรงหรอืไม้ล้มลุก ผลแห้งแบบ capsule
13. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง Polygalaceae
13. ดอกสมม�ตรต�มรัศมี
14. ผลแห้งแบบ capsule เป็นพู ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น Staphyleaceae
14. ผลแห้งแบบ capsule ไม่มพีู มักไม่มเีนื้อไม้ ปล�ยกลบีดอกมักจะเป็น 2 แฉก Caryophyllaceae
10. ใบออกเรยีงสลับ หรอื ออกเป็นกระจุกใกล้ร�ก
15. กลบีเลี้ยง (หรอืใบประดับคล้�ยกลบีเลี้ยง) ม ี3 กลบี ใบอวบนำ�้ Portulacaceae
15. กลบีเลี้ยงมักม ี5 กลบี
16. ไม้เถ�
17. เกสรเพศผู้ม ี5 มักมกีระบังรอบ (corona) มมีอืพัน Passifloraceae
17. เกสรเพศผู้ม ี10 ไม่มกีระบังรอบ มหีน�มแข็ง Linaceae (Indorouchera)
16. ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม
18. กลบีเลี้ยงเชื่อมเป็นรูปป�กแตร ปล�ยม ี10-5 แฉก ตดิทน เกสรเพศผู้ม ี7-1 ออกเรยีงสลับกับต่อม
Flacourtiaceae (Homalium)
18. กลบีเลี้ยงไม่เหมอืนข้�งบน
19. ใบเดี่ยว
20. รังไข่ม ี3 ช่อง ผลสด เมล็ดแข็ง กลบีดอกมรีย�งค์ 2 อัน Erythroxylaceae
20. รังไข่มชี่องเดยีว กลบีดอกไม่มรีย�งค์
21. ดอกเด่น มไีข่และเมล็ดจำ�นวนม�ก Turneraceae
21. ดอกไม่เด่นชัด มไีข่และเมล็ดน้อย Anacardiaceae
19. ใบประกอบ
22. กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกันในต�ดอก
72 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
73 48. ไม่มหีูใบ Rhamnaceae
48. ใบไม่มหีูใบ
49. จ�นดอกเป็นวงแหวน ตดิอยู่รอบโคนรังไข่ กลบีเลี้ยงเล็ก ปล�ยแยกเป็นพู ไข่ตัง้ตรง
Olacaceae
49. จ�นดอกเป็นต่อมเชื่อมตดิกันแค่โคน แต่ไม่ตดิกับรังไข่ กลบีเลี้ยงเล็กหรอืไม่มเีลย ไข่ห้อยลง
Opiliaceae
47. เกสรเพศผู้ตดิเรยีงสลับกับกลบีดอก
50. ผลส่วนม�กเป็นแบบผลแห้งแตก ฐ�นดอกเห็นชัดและมเีกสรเพศผู้ตดิอยู่ Celastraceae
50. ผลสดเมล็ดแข็ง ไม่มฐี�นดอก
51. กลบีดอกเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน Aquifoliaceae
51. กลบีดอกเรยีงจรดกัน Icacinaceae
45. เกสรเพศผู้ที่สบืพันธุ์ได้ม ี10
38. ก้�นเกสรเพศผู้เชื่อมตดิกัน
52. ใบประกอบ
53. ใบประกอบแบบขนนก
54. เกสรเพศผู้ ม ี10-8 ใบมักเป็นใบประกอบแบบขนนกธรรมด� Meliaceae
54. เกสรเพศผู้ ม ี5 ใบเดี่ยว หรอืใบประกอบแบบขนนก 3 ชัน้ Leeaceae
53. ใบประกอบแบบนิ้วมอื
55. เกสรเพศผู้ม ี5-2 มักมกี้�นชูเกสรร่วม (androgynophore) Malvaceae–Sterculioideae
55. เกสรเพศผู้ม ี10 ไม่มกี้�นชูเกสรร่วม Styracaceae
37. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง
56. ดอกเกอืบคล้�ยรูปดอกถั่ว กลบีเลี้ยงด้�นใน 2 กลบีเด่น และกลบีดอกเด่น 3 กลบี Polygonaceae
56. ดอกไม่เหมอืนข้�งบน
57. ใบเดี่ยว ดอกมเีดอืย ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวน 5 ผลแห้งแบบ capsule แบน Balsaminaceae
57. ใบประกอบแบบขนนก 3-2 ชัน้ ดอกไม่มเีดอืย ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวน 4 ผลแห้งแบบ capsule พอง
Sapindaceae (Cardiospermum)
36. รังไข่ม ี1 ช่อง (บ�งครัง้รังไข่ดูเหมอืนถูกแบ่งทำ�ให้เห็นเป็นม�กกว่� 1 ช่อง)
34. เกสรเพศผู้ม ี5-4 ผล มหีล�ยแบบ
35. ไม่มเีกสรเพศผู้เป็นหมัน เมล็ดมเียื่อหุ้ม Celastraceae
35. มเีกสรเพศผู้เป็นหมัน เมล็ดไม่มเียื่อหุ้ม Olacaceae
31. ก้�นเกสรเพศผู้โคนเชื่อมตดิกัน Malpighiaceae
26. ใบออกเรยีงสลับ หรอือกเป็นกระจุกใกล้ร�ก
36. รังไข่ม ี5-2 ช่อง
37. ดอกสมม�ตรต�มรัศมี
38. ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกันเล็กน้อย
39. ใบมเีส้นใบรูปฝ่�มอื หรอืเป็นใบประกอบ
40. ไม้เถ� มมีอืพัน กลบีดอกบ�งทหีลุดออกเป็นหมวก ผลสดแบบมเีนื้อหล�ยเมล็ด Vitaceae
40. ไม้พุ่ม ตัง้ตรง กลบีดอกแยกจ�กกัน ผลแห้งแบบ capsule Malvaceae-Byttnerioideae
39. ใบมเีส้นใบแบบขนนก หรอืเป็นใบประกอบ
41. ใบประกอบ
42. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มยี�งชัน หรอืนำ�้มัน กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกัน Burseraceae
42. ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ไม่มยี�งชัน หรอืนำ�้มัน กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน
43. เกสรเพศผู้ม ี10-8 รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 3-1 Sapindaceae
43. เกสรเพศผู้ม ี5 ที่สบืพันธุ์ได้ม ี2 ที่ด้�นปล�ยขย�ยออก ส่วนอกี 3 ห�ยไป
Sabiaceae (Meliosma)
41. ใบเดี่ยว
44. ผลแก่ไม่แตก มปีีก 5-2 ปีก ตดิทน ปีกเจรญิม�จ�กกลบีเลี้ยง เกสรเพศผู้ม ี10-5 หรอืม�กกว่�
นัน้ Dipterocarpaceae
44. ผลไม่มปีีก
45. เกสรเพศผู้ที่สบืพันธุ์ได้ ม ี6-4
46. รังไข่แต่ละช่องมไีข่หล�ยเมล็ด Pittosporaceae
46. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 2-1 เมล็ด
47. เกสรเพศผู้ตดิตรงข้�มกับกลบีดอก ผลแห้งแบบ capsule หรอืผลสดเมล็ดแข็ง
74 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
751. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1
5. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมจีำ�นวนไม่จำ�กัด และไม่ค่อยแตกต่�งกัน มหีน�มและอวบนำ�้ Cactaceae
5. กลบีดอกมักม ี4 หรอื 5
6. ไม้ป่�ช�ยเลน หรอืไม้พุ่ม ใบออกตรงข้�ม มหีูใบร่วมอยู่ระหว่�งโคนก้�นใบ Rhizophoraceae
6. ไม้ป่�บก
7. แฉกของกลบีเลี้ยงเรยีงจรดกัน ผลมักใหญ่ แข็ง แก่ไม่แตก หรอืแตกโดยมฝี� ใบไม่มตี่อมโปร่งแสง
Lecythidaceae
7. แฉกของกลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน ผลเล็กกว่� พบน้อยที่แตกโดยมฝี� ใบมักมตี่อมโปร่งแสง
8. ใบมักออกตรงข้�ม มตี่อมโปร่งแสง Myrtaceae
8. ใบออกเรยีงสลับ ไม่มตี่อมโปร่งแสง Theaceae (Anneslea)
กลุ่ม 4
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก แยกจ�กกัน รังไข่ใต้วงกลบีหรอืกึ่งใต้วงกลบี เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด)
1. ก้�นเกสรเพศเมยีมสีอง หรอืหล�ยอัน
2. กลบีเลี้ยง (หรอืใบประดับคล้�ยกลบีเลี้ยง) ม ี2 พชือวบนำ�้ Portulacaceae
2. กลบีเลี้ยงมักม ี5-4
3. พชืล้มลุก มกีลิ่น ผลแก่แตกออกเป็น 2 ค�ร์เพล Umbelliferae
3. พชืมเีนื้อไม้ ผลแก่ไม่เหมอืนข้�งบน
4. ผลแห้ง
5. ไม้เถ� มขีอ ผลเปลอืกแข็ง มปีีกใหญ่ตดิแน่น ปีกเกดิจ�กกลบีเลี้ยง Ancistrocladaceae
5. ไม้ต้น ตัง้ตรง หรอืไม้พุ่ม ขนเป็นรูปด�ว ผลแห้งแตก แข็ง ม ี2 ลิ้น Hamamelidaceae
4. ผลสดนุ่ม ไม่มีขนรูปด�ว
6. เกสรเพศผู้ม ี10 หรอืม�กกว่� มหีูใบ Rosaceae
6. เกสรเพศผู้ม ี5-4 ไม่มหีูใบ Araliaceae
1. ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ใบแตกเป็นแฉก
7. ไม้พุ่ม มักเป็นกึ่งพชืเบยีนบนไม้ต้น ใบเดี่ยว ออกตรงข้�ม Loranthaceae
7. ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น ไม่เป็นพชืเบยีน
58. ดอกสมม�ตรต�มรัศมี
59. ผลสด มักมฐี�นดอก Anacardiaceae
59. ผลแห้ง ถ้�เป็นผลสด จะไม่มฐี�นดอก
60. กลบีดอกเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน
61. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 4 เกสรเพศผู้ม ี6
62. ฝักมกี้�นย�ว เกสรเพศผู้มคีว�มย�วเท่�กัน Capparaceae (Cleome)
62. ฝักไม่มกี้�น เกสรเพศผู้ย�วไม่เท่�กัน Cruciferae
61. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 5
63. เกสรเพศผู้ม ี10
64. ผลเป็นฝัก (legume) ดอกอัดแน่นเป็นกระจุก หรอืเป็นช่อเชงิลด (spikes) Leguminosae
64. ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) หรอืเป็นฝักแตกแนวเดยีว (follicle) ดอกเป็นช่อกระจะ (racemes)
หรอืช่อเชงิหลั่น (corymbs) Rosaceae
63. เกสรเพศผู้ม ี5 ผลแห้งแตก Pittosporaceae
60. กลบีดอกเรยีงจรดกัน Icacinaceae
58. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง
65. ดอกไม่มเีดอืย รังไข่มพีล�เซนต�แนวเดยีว (marginal placenta) ผลเป็นปีก Leguminosae
65. ดอกมเีดอืย รังไข่มพีล�เซนต�ตดิต�มแนวตะเข็บ (parietal placenta) 3 ตะเข็บ Violaceae
กลุ่ม 3
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก แยกจ�กกัน รังไข่ใต้วงกลบีหรอืกึ่งใต้วงกลบี เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก)
1. ก้�นเกสรเพศเมยีมมี�กกว่� 1 บ�งทจีะเชื่อมตดิกันเล็กน้อย
2. พชืนำ�้ มใีบและดอกลอยเหนอืนำ�้ Nymphaeaceae
2. พชืบก
3. ดอกเพศเดยีว กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 2 Begoniaceae
3. ดอกสมบูรณ์เพศ กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 5-4
4. ผลแบบแอปเปิ้ล (pome) มักออกเดี่ยว ๆ Rosaceae
4. ผลแห้งแตก แข็ง ม ี2 ลิ้น (bi-valved) มักอยู่เป็นกลุ่ม Hamamelidaceae
76 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
77 2. พชืบก
3. เกสรเพศเมยีประกอบด้วย 2 ถงึหล�ยค�ร์เพล ค�ร์เพลค่อนข้�งแยกจ�กกัน
4. ค�ร์เพล 5-4 ย�งใส พชือวบนำ�้ Crassulaceae (Kalanchoe)
4. ค�ร์เพล 2 แยกกันค่อนข้�งชัดเจน ย�งข�วคล้�ยนม พชืมใีบอวบนำ�้
5. ก้�นเกสรเพศผู้แยกกันชัดเจน บ�งครัง้เชื่อมกันที่ปล�ย ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1 Apocynaceae
5. ก้�นเกสรเพศผู้เชื่อมกัน ก้�นเกสรเพศเมยีเชื่อมตดิกันที่ยอดเกสร Asclepiadaceae
3. เกสรเพศเมยีประกอบด้วยค�ร์เพล 1 หรอื 2 หรอืล�ยค�ร์เพล ค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กกว่�จำ�นวนแฉกของกลบีดอก
7. รังไข่ม ี2ถงึหล�ยช่อง
8. เกสรเพศเมยีม ี2 ถงึหล�ยแฉก
9. ก้�นเกสรเพศผู้มักจะเชื่อมกันที่โคน ดอกสมบูรณ์เพศ Theaceae
9. ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน ดอกเพศเดยีว Ebenaceae
8. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1
10. เกสรเพศผู้ตดิบนกลบีดอก รังไข่ที่โคนม ี5-3 ช่อง
11. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 2 ถงึหล�ยเมล็ด Styracaceae
11. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด Sapotaceae
10. เกสรเพศผู้ไม่ตดิบนกลบีดอก รังไข่ม ี5 ช่อง อับเรณูเปิดโดยรูเปิดที่ปล�ย Ericaceae (Rhododendron)
7. รังไข่ม ี1 ช่อง
12. ผลแห้งเมล็ดร่อน (achene) มสีัน ลำ�ต้นมักมหีูใบเป็นก�บหุ้มข้อ หรอืถ้�ไม่มกี�บหุ้มลำ�ต้นจะเลื้อย
Polygonaceae
12. ผลไม่เป็นแบบผลแห้งเมล็ดล่อน
13. ผลเป็นฝัก Leguminosae
13. ผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด (berry) Caricaceae
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับหรอืน้อยกว่�จำ�นวนแฉกของกลบีดอก
14. ไม้เลื้อยมมีอืพัน (tendril)
15. ดอกไม่เด่นชัด สมม�ตรต�มรัศม ีผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด Vitaceae
8. ไม้ป่�ช�ยเลน ใบออกตรงข้�ม มหีูใบร่วมที่โคนก้�นใบ Rhizophoraceae
8. ไม้ป่�บก
9. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กลบีดอก และตดิตรงข้�มกับกลบีดอก
10. มหีูใบ Rhamnaceae
10. ไม่มหีูใบ
11. ไข่ตัง้ตรง Olacaceae
11. ไข่ห้อยลง Opiliaceae
9. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนไม่เท่�กับกลบีดอก หรอืถ้�จำ�นวนเท่�กับกลบีดอก จะตดิสลับกับกลบีดอก
12. ไม้เถ� มมีอืพัน ดอกมเีพศเดยีว Cucurbitaceae
12. ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้ล้มลุก
13. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ตัง้แต่ 2 ถงึหล�ยเมล็ด
14. ใบมเีส้นใบต�มย�ว 9-3 เส้น อับเรณูมรีย�งค์ เปิดโดยมรีูปิด Melastomataceae
14. ใบมเีส้นกล�งใบเป็นหลัก อับเรณูไม่มรีย�งค์
15. ผลมักมปีีก รังไข่ม ี1 ช่อง ไข่ห้อยลง Combretaceae
15. ผลไม่มปีีก รังไข่ม ี2 ถงึหล�ยช่อง ไข่มักเป็นพล�เซนต�แบบตดิต�มแกน (axile placentation)
16. ใบมตี่อมโปร่งแสง แฉกกลบีเลี้ยงมักเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน Myrtaceae
16. ใบไม่มตี่อมโปร่งแสง แฉกกลบีเลี้ยงมักเรยีงจรดกัน
17. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม Escalloniaceae (Polyosma)
17. ไม้ล้มลุก Onagraceae
13. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด หรอืรังไข่มชี่องเดยีว และมไีข่เมล็ดเดยีว ใบเดี่ยว ไม่มหีูใบ Cornaceae
กลุ่ม 5
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก กลบีดอกเชื่อมตดิกัน รังไข่เหนอืวงกลบี)
1. พชืกนิซ�ก (saprophyte) หรอื พชืเบยีน (parasite) ไม่มใีบ มักมสีเีหลอืง ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง
Orobanchaceae
1. ไม่เป็นพชืกนิซ�ก หรอื พชืเบยีน
2. พชืนำ�้ หรอืพชืในดนิแฉะ มถีุงเล็ก ๆ ต�มกิ่งก้�นที่โคน Lentibulariaceae
78 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
79 28. มักเป็นพชืเลื้อย ช่อดอกไม่ม้วน กลบีดอกพับจบีในต�ดอก Convolvulaceae
28. เป็นพชืตัง้ตรง หรอืแตกกิ่งก้�นยุ่งเหยงิ ช่อดอกแบบช่อกระจุก มักจะม้วน (scorpioid)
กลบีดอกไม่พับจบีในต�ดอก Hydrophyllaceae
27. กลบีเลี้ยงมักจะม ี5-4 แฉก หรอืเป็นซี่ฟัน ก้�นเกสรเพศเมยีไม่แตกเป็นแฉก
29. ใบออกเรยีงสลับ ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอืเป็นช่อกระจุก ผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด หรอืผลแห้งแตก
(แต่ไม่แตกต�มขว�ง) Solanaceae
29. ใบเป็นกระจุกใกล้ร�ก ดอกเป็นช่อเชงิลดแน่น ผลแห้งแตกต�มขว�ง Plantaginaceae
23. เกสรเพศผู้สบืพันธุ์ได้ม ี4-2 น้อยกว่�จำ�นวนแฉกของกลบีดอก
30. พชืล้มลุก ดอกสแีดง หรอืข�ว ผลแห้งแตก ย�วประม�ณ 1 นิ้ว เป็นร่อง มขีนแข็งและจงอยสัน้
Pedaliaceae
30. พชืลักษณะไม่เหมอืนข้�งบน
31. ใบส่วนม�กออกเรยีงสลับ ตอนบน ๆ บ�งทตีดิตรงข้�ม พล�เซนต�รอบแกนร่วม (axileplacentation)
32. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 2-1 ไม้เลื้อย ใบประกอบ ดอกสเีหลอืง หรอืข�ว Oleaceae
32. รังไข่แต่ละช่องมไีข่หล�ยเมล็ด
33. แฉกกลบีดอกเรยีงซ้อนเหลื่อมกันในต�ดอก พชืเมื่อบดละเอยีด ไม่มกีลิ่นฉุน
Scrophulariaceae
33. แฉกกลบีดอกเรยีงจรดกันในต�ดอก พชืเมื่อบดละเอยีดมกีลิ่นฉุน Solanaceae
31. ใบส่วนม�กออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบข้อ หรอืออกเป็นกระจุกใกล้ร�ก
34. พล�เซนต�ต�มแนวตะเข็บ (parietal placentation) ไม้เนื้อแข็ง เมล็ดมปีีกหรอืเมล็ดแบน
Bignoniaceae
34. พล�เซนต�รอบแกนร่วม (axile placentation) เมล็ดไม่มปีีก
35. กลบีดอกสมม�ตรต�มรัศม ีเกสรเพศผู้ม ี2 Oleaceae
35. กลบีดอกสมม�ตรด้�นข้�ง เกสรเพศผู้ม ี4-2
36. อับเรณูมักแยกจ�กกัน รังไข่แต่ละช่องมไีข่หล�ยเมล็ด Scrophulariaceae
36. อับเรณูมักชดิตดิกัน หรอืเชื่อมตดิกัน อย่�งน้อยก็ตดิกันหนึ่งคู่ รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 3-2 ถงึ
หล�ยเมล็ด Acanthaceae
19. รังไข่มี 1 ช่อง บ�งทดีูเหมอืนมหีล�ยช่อง
15. ดอกเด่นชัด สมม�ตรด้�นข้�ง ผลแห้งแตก Bignoniaceae
14. ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม ไม้เลื้อยไม่มมีอืพัน หรอืไม้ต้น
16. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับแฉกกลบีดอก และตดิตรงข้�มกับกลบีดอก
17. ก้�นเกสรเพศเมยีแตกเป็น 5 แฉก รังไข่ม ี1 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด Plumbaginaceae
17. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1
18. รังไข่ม ี2 ถงึหล�ยช่อง แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด แฉกกลบีดอกมักมรีย�งค์เล็ก ๆ (ที่เป็นเกสรเพศผู้เป็น
หมัน) ที่โคน Sapotaceae
18. รังไข่ม ี1 ช่อง มไีข่ตัง้แต่ 3-2 หรอืหล�ยเมล็ด กลบีดอกไม่มรีย�งค์ Myrsinaceae
16. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับหรอืน้อยกว่�แฉกกลบีดอก ตดิสลับกับกลบีดอก
19. รังไข่ม ี2 ถงึหล�ยช่อง
20. ผลประกอบด้วย 4 ผลย่อย เป็นผลเปลอืกแข็งเล็ก แต่ละผลย่อยม ี1 เมล็ด บ�งทผีลย่อยอ�จเป็นพูม ี
เมล็ดแข็ง (ถ้�เป็นผลสด กลบีดอกสมม�ตรด้�นข้�ง)
21. เกสรเพศผู้สบืพันธุ์ได้ม ี5 กลบี ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง ใบออกเรยีงสลับ ช่อดอกเป็นกระจุก
Boraginaceae
21. เกสรเพศผู้สบืพันธุ์ได้ ม ี4 หรอื 2 กลบีดอกมักสมม�ตรด้�นข้�ง ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวง
รอบข้อ ช่อดอกไม่เป็นกระจุก
22. รังไข่เรยีบ ก้�นเกสรเพศเมยีออกที่ปล�ยยอดรังไข่ Verbenaceae
22. รังไข่เป็น 4 พู ก้�นเกสรเพศเมยีออกระหว่�งพูของรังไข่ Labiatae
20. ผลแห้งแตก หรอืผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด (ถ้�ผลสด กลบีดอกมักสมม�ตรต�มรัศม)ี
23. เกสรเพศผู้ที่สบืพันธุ์ได้เท่�กับจำ�นวนแฉกกลบีดอก
24. ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบข้อ Loganiaceae
24. ใบออกเรยีงสลับ หรอืออกที่โคนใกล้ร�ก
25. ไม้นำ�้ล้มลุก Gentianaceae (Nymphoides)
25. ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้เลื้อย
26. รังไข่ม ี10-3 ช่อง Aquifoliaceae
26. รังไข่มักม ี2-1 ช่อง บ�งครัง้จะมชี่องเทยีม
27. กลบีเลี้ยงแยกเป็น 5 กลบี หรอืเชื่อมตดิกันที่โคน ก้�นเกสรเพศเมยีม ีหรอื 2 มักจะแยกเป็น
แฉก
80 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
81 11. เกสรเพศผู้ม ี5 Campanulaceae (Pentaphragma)
10. ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบข้อ
12. ใบออกตรงข้�มและมหีูใบ ถ้�ออกเป็นวงรอบข้อจะไม่มหีูใบ Rubiaceae
12. ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบข้อ ห�ย�กที่มูใบ และถ้�มหีูใบก็เล็กม�ก Caprifoliaceae
9. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนน้อยกว่�แฉกกลบีดอก มักม ี2 หรอื 4 ห�ย�กที่ม ี5 Gesneriaceae
4. อับเรณูเชื่อมเป็นหลอดตดิกับเกสรเพศเมยี
13. ดอกไม่ออกเป็นก้อน
14. กลบีดอกสมม�ตรต�มรัศม ีหรอืสมม�ตรด้�นข้�ง เกสรเพศผู้ม ี5 Campanulaceae
14. กลบีดอกสมม�ตรด้�นข้�ง เกสรเพศผู้ม ี2 Stylidiaceae
13. ดอกออกเป็นก้อน โดยมีวงใบประดับ กลบีดอกสมม�ตรต�มรัศม ีหรอืสมม�ตรด้�นข้�ง Compositae
กลุ่ม 7
(ไม่มกีลบีดอก หรอืไม่มวีงกลบีรวม)
1. พชืเบยีนเนื้อนุ่ม
2. เนื้อเยื่อที่ไม่เกี่ยวกับเพศ (vegetative tissue) ลดขน�ดเป็นคล้�ยกลุ่มใยร� (mycelium-like) และแตกส�ข�ที่
ร�กของพชืถูกเบยีน ดอกมเีพศเดยีวแตกกิ่ง Rafflesiaceae (Rafflesia)
2. อวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศลดขน�ดเป็นคล้�ยหลอด เหง้�แตกแขนง ดอกขน�ดเล็ก ส่วนม�กมเีพศเดยีวเป็นช่อ
หน�แน่น Balanophoraceae
1. ไม้เนื้อแข็ง หรอืไม่มเีนื้อไม้ ไม่เป็นพชืเบยีน
3. ไม้ต้น คล้�ยพวกสนเข� ใบออกเป็นวงรอบข้อ และลดลงเป็นเกล็ดเล็ก ๆ รอบข้อ Casuarinaceae
3. ไม้เนื้อแข็ง หรอืไม่มเีนื้อไม้ ใบแบบธรรมด�
4. ดอกเรยีงเป็นช่อแบบห�งกระรอก (catkins)
5. ไม้เนื้อแข็ง
6. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยีอยู่ในช่อดอกเดยีวกัน (ส่วนม�กดอกเพศผู้อยู่ด้�นบน ดอกเพศเมยีอยู่ด้�นล่�ง)
มักมกีลบีเลี้ยง
7. รังไข่เหนอืวงกลบี ผลมักเป็นผลแห้งแตก ม ี3 พู หรอืเป็นผลกลม 3 พู Euphorbiaceae
7. รังไข่ใต้วงกลบี
8. ผลเมล็ดแข็ง มักมปีีก Combretaceae (Terminalia)
37. กลบีดอกสมม�ตรต�มรัศม ีเกสรเพศผู้สบืพันธุ์ได้ม ี5
38. ใบส่วนม�กออกที่โคนใกล้ร�ก Gesneriaceae
38. ใบออกตรงข้�ม หรอืออกเป็นวงรอบข้อ ไม้พุ่มรอเลื้อย Apocynaceae (Allamanda)
37. กลบีดอกมักสมม�ตรด้�นข้�ง เกสรเพศผู้สบืพันธุ์ได้ม ี4 หรอื 2
39. ไม้ต้น ผลย�วประม�ณ 1 ฟุต หรอืม�กกว่� เปลอืกแข็ง Bignoniaceae
39. ไม้บ้มลุก หรอืไม้พุ่ม ผลแห้งแบบ capsule มขีน�ดเล็ก Gesneriaceae
กลุ่ม 6
(มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอก กลบีดอกเชื่อมตดิกัน รังไข่ใต้วงกลบี หรอืกึ่งใต้วงกลบี)
1. ไม้พุ่มกึ่งพชืเบยีน หลอดกลบีดอกปรอิอกด้�นเดยีว Loranthaceae
1. ไม่เป็นพชืเบยีน
2. พชืเลื้อยมมีอืเก�ะ Cucurbitaceae
2. พชืไม่มมีอืเก�ะ
3. พชือวบนำ�้และมหีน�ม ใบลดรูป Cactaceae
3. พชืไม่เหมอืนข้�งบน
4. อับเรณูแยกจ�กกัน
5. เกสรเพศผู้ไม่ตดิกับหลอดกลบีดอก
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับแฉกกลบีดอก อับเรณูไม่เปิดเป็นรูที่ปล�ย
7. กลบีดอกสมม�ตรต�มรัศม ีผลแห้งแบบ capsule Campanulaceae
7. กลบีดอกสมม�ตรด้�นข้�ง ผลสดแบบกล้วย (baccate) Goodeniaceae
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเป็นสองเท่�ของแฉกกลบีดอก อับเรณูเปิดที่รูที่ปล�ย ผลแบบกล้วย Ericaceae
5. เกสรเพศผู้ตดิอยู่บนหลอดกลบีดอก
8. เกสรเพศเมยีม ี2 ค�ร์เพล ค�ร์เพลเชื่อมกันที่โคน มยี�งข�ว Apocynaceae (Plumeria)
8. เกสรเพศเมยีม ี2-1 ค�ร์เพล หรอืม�กกว่� ค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน ไม่มยี�งข�ว
9. เกสรเพศผู้มอีย่�งน้อยที่สุดเท่�กับแฉกกลบีดอก
10. ใบออกเรยีงสลับ
11. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก Symplocaceae
82 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
83 17. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ตัง้ตรง เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นหลอด กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันที่โคน
Malvaceae (Sterculia)
16. ส่วนต่�ง ๆ ของดอกตดิรอบรังไข่ เกสรเพศผู้ตดิบนฐ�นดอกรูปถ้วย หรอืบนท่อกลบีเลี้ยง เกสรเพศผู้ม ี4
แยกจ�กกัน Monimiaceae
15. เกสรเพศเมยีมคี�ร์เพลเดยีว หรอืตัง้แต่ 2 ถงึหล�ยค�ร์เพลและเชื่อมตดิกัน
18. ไม่มกีลบีเลี้ยง (หรอืไม่มกีลบีรวม)
19. ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชงิลด (spike) หรอืช่อกระจะ (raceme) ดอกสมบูรณ์เพศ หรอืดอกแยกเพศ
เกสรเพศผู้ม ี10-1 รังไข่ม ี1 ช่อง ไข่ 1 เมล็ด ย�งไม่เป็นย�งข�ว
20. ใบออกเรยีงสลับ รอื ห�ย�กที่ออกตรงข้�ม ช่อเชงิลดไม่แตกกิ่ง เกสรเพศผู้ส่วนม�กมตีัง้แต่ 6-2
แยกอสิระ มัดท่อลำ�เลยีง (vascular bundles) เรยีงม�กกว่� 1 วงศ์ Piperaceae
20. ใบออกตรงข้�ม ช่อเฃงิลดแตกกิ่งก้�น เกสรเพศผู้ม ี3-1 เชื่อมตดิกัน มัดท่อลำ�เลยีง เรยีงเป็น 1 วง
Chloranthaceae
19. ดอกออกเป็นช่อรูปถ้วย (cyathia) ดอกเพศเมยีเปลอืย ไม่มกีลบีเลี้ยงและกลบีดอกล้อมรอบด้วยดอก
เพศผู้หล�ยดอก ซึ่งแต่ละดอกประกอบด้วยเกสรเพศผู้ 1 อันตดิบนก้�นช่อดอกย่อย และกลุ่มดอก
ทัง้หมดล้อมรอบด้วยวงใบประดับ รังไข่มักม ี3 ช่อง ไข่ 3 เมล็ด ย�งข�ว Euphorbiaceae
18. มกีลบีเลี้ยง (หรอือย่�งน้อยก็มวีงกลบีรวมหนึ่งชัน้)
21. ดอกอยู่รวมเป็นก้อนกลม หรอืช่อเชงิลด (spike) แน่น หรอืภ�ยในฐ�นดอกกลวง ไม้เนื้อแข็ง
22. ผลเป็นฝัก (legume) ใบประกอบแบบขนนก หรอืก้�นใบกล�ยเป็นใบ (phyllode)
Leguminosae (Acacia)
22. ผลเป็นผลรวม (syncarp) หรอืภ�ยในฐ�นดอกกลวง Moraceae
21. ดอกไม่อยู่รวมเป็นก้อนกลม หรอืถ้�เป็นก้อนกลม พชืจะไม่เป็นไม้เนื้อแข็ง
23. รังไข่เหนอืวงกลบี
24. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม
25. ใบออกตรงข้�ม
26. ดอกออกเป็นช่อกระจุก (cyme) ใหญ่ที่ปล�ยยอด หรอืเป็นก้อนกลม ใบมักมขีน�ดใหญ่
Saxifragaceae (Hydrangea)
26. ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอืเป็นกระจุกเล็ก โดยม�กออกต�มง่�มใบ
27. รังไข่ม ี3 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 2 เมล็ด Buxaceae
8. ผลเปลอืกแข็งมกี�บรูปถ้วย (acorn) Fagaceae
6. ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยีอยู่ต่�งช่อกัน มักเป็นพชืแบบต่�งเพศต่�งต้น (dioecious) แต่บ�งครัง้ก็พบเป็นพชื
แบบต่�งเพศร่วมต้น (monoecious)
9. ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมยีเป็นแบบห�งกระรอก ดอกไม่มกีลบีเลี้ยง รังไข่เหนอืวงกลบี
10. ผลแห้งแตก เมล็ดมกีระจุกขน พชืแบบต่�งเพศต่�งต้น ดอกมตี่อมเล็ก ๆ รองรับ Salicaceae
10. ผลสดเมล็ดเดยีว แข็ง ไม่มกีระจุกขน พชืแบบต่�งเพศต่�งต้น หรอืแบบต่�งเพศร่วมต้นดอกไม่มตี่อม
Myricaceae
9. ช่อดอกเพศผู้เป็นแบบห�งกระรอก มักมกีลบีเลี้ยง หรอืมชีัน้ของกลบีรวม
11. รังไข่เหนอืวงกลบี ผลสด หรอือวบนำ้�
12. มยี�งใส ไข่ตดิที่ฐ�นของรังไข่ และตัง้ตรง Urticaceae
12. มยี�งข�ว รังไข่มักตดิแบบห้อยจ�กปล�ยรังไข่ Moraceae
11. รังไข่ใต้วงกลีบ ผลแห้ง
13. ใบเดี่ยว ผลเปลอืกแข็งมกี�บรูปถ้วย Fagaceae
13. ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ผลเป็น 3 ปีก Juglandaceae (Engelhardtia)
5. พชืไม่มเีนื้อไม้
14. ดอกมกีลบีเลี้ยง หรอืมกีลบีรวมหนึ่งชัน้
15. รังไข่ม ี3 พู Euphorbiaceae
15. รังไข่มพีูเดยีว
16. กลบีรวม (perianth) แห้ง Amaranthaceae
16. กลบีรวมอวบนำ้� Urticaceae
14. ดอกเปลอืย ไม่มทีัง้กลบีเลี้ยงและกลบีดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรอืดอกแยกเพศ มักจะรองรับด้วยใบ
ประดับ 1 ใบ Piperaceae
4. ดอกไม่เป็นช่อแบบห�งกระรอก
15. เกสรเพศเมยีม ี2 หรอืหล�ยค�ร์เพล ค�ร์เพลแยก มกีลบีเลี้ยง
16. ส่วนต่�ง ๆ ของดอกตดิใต้รังไข่ ฐ�นดอกไม่เจรญิ
17. ไม้ล้มลุก หรอืไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยกอสิระ กลบีเลี้ยงแยก
Ranunculaceae (Clematis)
84 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
85 39. ก้�นเกสรเพศเมยีออกใกล้โคนรังไข่ Rosaceae
39. ก้�นเกสรเพศเมยีออกที่ปล�ยรังไข่
40. ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ดอกล้อมรอบด้วยวงใบประดับ Nyctaginaceae (Bougainvillea)
40. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ดอกไม่มใีบประดับ
41. ใบมักมตี่อมโปร่งแสง ผลสด เมล็ดมเีนื้อ Myristicaceae
41. ใบไม่มตี่อมโปร่งแสง ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มักมผีลแห้ง เมล็ดไม่มเีนื้อ
42. กลบีเลี้ยงสเีขยีว แยกเป็น 5 แฉก
43. ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง (cymose-panicles) ต�มง่�มใบ เกสรเพศผู้ม ี5 ตดิตรง
ข้�มกับแฉกกลบีเลี้ยง Opiliaceae
43. ดอกออกเป็นช่อกระจะ (raceme) ต�มง่�มใบ เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก ตดิบนขอบของท่อ
กลบีเลี้ยง Rosaceae (Prunus)
42. กลบีเลี้ยงคล้�ยกลบีดอก ม ี4 แฉก ดอกเดี่ยว หรอืเป็นช่อแบบกระจะ (raceme) หรอืเป็นกระจุก
(heads) ดอกสมบูรณ์เพศ หรอืถ้�ดอกแยกเพศ พชืจะเป็นแบบต่�งดอกต่�งต้น (dioecious)
44. เกสรเพศผู้ม ี4 ตดิตรงข้�มกับท่อกลบีเลี้ยง Proteaceae (Helicia)
44. เกสรเพศผู้ม ี8 หรอื 10 Thymelaeaceae
29. ใบประกอบ
45. ม ี3 ใบย่อย
46. ไม้ต้น เกสรเพศผู้ ม ี 10-5 อับเรณูเปิดโดยรอยแยก ผลแห้งม ี 3 พู ขน�ดใหญ่
Euphorbiaceae (Hevea)
46. ไม้พุ่มรอเลื้อย เกสรเพศผู้ม ี4 อับเรณูมลีิ้นปิดเปิด ผลมปีีก (samara) 4-2 ปีก
Hernandiaceae (Illigera)
45. ใบประกอบยอดคู่ มีใบย่อย 8-4 ใบ
47. ผลชุ่มนำ�้ ใบย่อยปล�ยแหลม Sapindaceae
47. ผลเป็นฝักหน�มัน แก่ไม่แตก ใบย่อยปล�ยมน Leguminosae
24. พชืไม่มเีนื้อไม้ บ�งครัง้พบมเีนื้อไม้ที่โคน
48. ใบดัดแปลงไปทำ�หน้�ที่ดักแมลง Nepenthaceae
48. ใบไม่ดัดแปลง
49. รังไข่ม ี2 ถงึหล�ยช่อง
27. รังไข่ม ี1 หรอื 2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด
28. ใบมเีส้นใบ 3 เส้นออกจ�กโคนใบ ดอกสอีอกเหลอืง Lauraceae (Cinnamomum)
28. ใบมเีส้นใบ 1 เส้นออกจ�กโคนใบ ดอกสกีุหล�บหรอืสมี่วงแดง Thymelaeaceae
25. ใบออกเรยีงสลับ
29. ใบเดี่ยว แต่บ�งครัง้จะจักเป็นพู
30. อับเรณูเปิดเป็นรู
31. พชืมกีลิ่นหอม ผลเมล็ดเดยีว Lauraceae
31. พชืไม่มกีลิ่นหอม ผลเปลอืกแข็งอยู่ในวงใบประดับสขี�วพอง มรีอยเปิดปล�ยที่
Hernandiaceae (Hernandia)
30. อับเรณูเปิดเป็นรอยแตก
32. รังไข่แต่ละช่องมไีข่หล�ยเมล็ด
33. รังไข่มหีนึ่งช่อง ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1 เกสรเพศผู้ม ี10 ถงึจำ�นวนม�ก ไม้ต้นหรอืไม้พุ่ม
34. เกสรเพศผู้ตดิสลับกับเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน เปลอืกต้นไม่มกีลิ่นอัลมอนด์
Flacourtiaceae
34. ไม่มเีกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน เปลอืกต้นมกีลิ่นอัลมอนด์ Rosaceae
33. รังไข่ม ี8-2 ช่อง
35. เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นหลอด ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1 ผลแห้ง Sterculiaceae
35. เกสรเพศผู้แยกจ�กกัน ก้�นเกสรเพศเมยีมตีัง้แต่ 4 ถงึหล�ยก้�น ผลสด
Flacourtiaceae
32. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 2-1 เมล็ด
36. รังไข่มตีัง้แต่ 2 ถงึหล�ยช่อง
37. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับกลบีเลี้ยง และตดิสลับกับกลบีเลี้ยง Rhamnaceae
37. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก Euphorbiaceae
36. รังไข่ม ี1 ช่อง
38. ก้�นและยอดเกสรเพศเมยีม ี4-2 ผลสดเปลอืกแข็งเมล็ดเดยีว Ulmaceae
38. ก้�นและยอดเกสรเพศเมยีม ี1
86 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
87 58. ใบออกตรงข้�ม ไม้พุ่มกึ่งพชืเบยีน ดอกออกเป็นช่อกระจุก ต�มง่�มใบ Santalaceae
2.2. พชืใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocotyledonae)
1. ไม่มวีงกลบีรวม หรอืวงกลบีรวมไม่เจรญิ เป็นเพยีงหน�ม หรอืเกล็ด ไม่คล้�ยกลบีดอก
2. ดอกออกต�มง่�มใบประดับ ใบประดับแห้งคล้�ยเกล็ดบ�ง (glumes หรอื scales) และซ้อนเหลื่อมกัน
3. ใบออกเป็นส�มแถว ก�บใบขอบเชื่อมตดิกัน ลำ�ต้นแข็ง ผลแห้งเมล็ดล่อน หรอืเปลอืกแข็งเมล็ดเดยีว
3. ใบออกเป็นสองแถว ก�บใบแตกออกด้�นเดยีว ลำ�ต้นมักกลวง ผลเป็นเมล็ดแบบผลธัญพชื (caryopsis) Gramineae
2. ดอกไม่ออกต�มง่�มใบประดับ กลบีรวมไม่ม ีหรอืเป็นเกล็ด 8-4 เกล็ด
4. พชืนำ�้
5. พชืเป็นเพยีงเกล็ดสเีขยีว เล็ก รูปเลนส์ ลอยอยู่เหนอืนำ�้จดื Lemnaceae
5. พชืล้มลุก จมอยู่ในนำ�้จดื หรอืนำ�้กร่อย
6. ใบบ�งและจักเป็นซี่ฟัน ดอกเล็กเกดิที่โคนก้�น Najadaceae
6. ใบหน� รูปด�บ ดอกเพศเดยีว ออกเป็นช่อเชงิลด (spike) แน่นที่ปล�ย Typhaceae
4. เป็นพชืบกส่วนม�ก ถ้�เป็นพชืนำ�้ ลักษระไม่เหมอืนข้�งบน
7. พชืไม่มเีนื้อไม้เป็นส่วนม�ก ใบกว้�ง ดอกเพศเดยีวและต่�งเพศร่วมต้น (monoecious) หรอืดอกสมบูรณ์เพศ Araceae
7. พชืเนื้อแข็ง ตัง้ตรงหรอืเลื้อย ใบย�ว แข็ง ขอบจักเป็นซี่ฟัน ออกเวยีนสลับ ดอกเพศเดยีวและต่�งเพศต่�งต้น (dioecious) Pandanaceae
1. มีวงกลบีรวม มักเรยีงเป็นสองวง ทัง้สองวงหรอืวงในสุดคล้�ยกลบีดอก ไม่มหีน�มหรอืเกล็ด
8. เกสรเพศเมยีประกอบด้วยค�ร์เพล 2 หรอืหล�ยค�ร์เพล แยกจ�กกัน
9. พชืล้มลุกกนิซ�ก (saprophyte) ขน�ดเล็ก ไม่มใีบ ดอกเพศเดยีว Triuridaceae
9. พชืล้มลุก ใบสเีขยีว ดอกมักเป็นดอกสมบูรณ์เพศ
10. ไข่ม ี3-2 เมล็ด ผลแห้งไม่แตก Alismataceae
10. ไข่มหีล�ยเมล็ด ผลแห้งแตก Butomaceae
8. เกสรเพศเมยีประกอบด้วย ค�ร์เพล 1 หรอื 2 หรอืหล�ยค�ร์เพล ค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน
11. รังไข่เหนอืวงกลบี
12. ไม้เนื้อเข็ง มักคล้�ยไม้ต้น บ�งครัง้เลื้อย ใบเดี่ยว รูปฝ่�มอื หรอืใบประกอบแบบขนนกขน�ดใหญ่ แข็ง
Palmae
50. ใบรูปแถบ หรอืรูปช้อน นุ่ม ผลแห้งแตก ไม่มหีน�ม Aizoaceae
50. ใบเป็นแฉกรูปนิ้วมอื ไม่นุ่ม ผลแห้งแตก มหีน�ม Euphorbiaceae (Ricinus)
49. รังไข่ม ี1 ช่อง
51. ก้�นเกสรและยอดเกสรเพศเมยีม ี5-2
52. หูใบเป็นก�บหรอืปลอกหุ้มลำ�ต้น Polygonaceae
52. หูใบไม่เป็นก�บ
53. ผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) มกีลบีเลี้ยงหรอืใบประดับตดิแน่น พชืมกีลิ่นหอม ดอกเป็นแบบต่�งเพศ
ต่�งต้น (dioecious) Moraceae
53. ผลเป็นแบบกระเป�ะ (utricle) หรอืคล้�ยผลแห้งเมล็ดล่อน พชืไม่เป็นต่�งเพศต่�งต้น
54. ดอกมใีบประดับบ�งและแห้งรองรับ Amaranthaceae
54. ดอกไม่มใีบประดับบ�งและแห้งรองรับ Chenopodiaceae
51. ก้�นและยอดเกสรเพศเมยีม ี1
55. กลบีเลี้ยงเด่นและคล้�ยกลบีดอก ดอกล้อมรอบด้วยวงใบประดับสอีอกเขยีว Nyctaginaceae
55. กลบีเลี้ยงไม่เด่น ดอกไม่มวีงใบประดับ Urticaceae (Pilea)
23. รังไข่ใต้วงกลีบ หรอืกึ่งใต้วงกลบี
56. ใบและต�มลำ�ต้นกิ่งก้�นเป็นขุย โดยมเีกล็ดรูปโล่หรอืรูปด�ว ไม้พุ่ม Elaeagnaceae
56. ใบและต�มลำ�ต้นกิ่งก้�นไม่เป็นขุย
57. ไม้เลื้อย ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวน 3 เกสรเพศผู้ม ี6 หรอื 12 ตดิกับยอดเกสรเพศเมยี ผลแห้ง
แตก Aristolochiaceae
57. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม
58. ใบออกเรยีงสลับ
59. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี4 พชืต่�งเพศต่�งต้น (dioecious) Datiscaceae (Tetrameles)
59. ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1
60. ดอกออกเป็นช่อเชงิลด (spikes) หลวม ๆ เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก ผลแข็งแห้งแตก
Myrtaceae (Eucalyptus)
60. ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอืเป็นช่อรูปร่ม หรอืเป็นก้อน เกสรเพศผู้ม ี10 ผลสด เมล็ดเดยีว
Combretaceae (Terminalia)
88 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
89 24. พชืบก หรอืพชืองิอ�ศัย (epiphyte) ดอกมักเป็นดอกสมบูรณ์เพศ
25. วงกลบีรวมมสีองวง วงนอกและวงใน แตกต่�งกันทัง้ขน�ด รูปร่�ง และสี
26. กลบีดอกไม่เหมอืนกัน พชืมขีน�ดใหญ่คล้�ยไม้ต้น เกสรเพศผู้ม ี5 Musaceae
26. กลบีดอกม ี3 คล้�ยกัน พชืขน�ดเล็ก
27. เกสรเพศผู้ม ี6 Amaryllidaceae
27. เกสรเพศผู้ม ี3 Iridaceae
25. วงกลบีรวมคล้�ยกลบีดอก
28. ไม้เถ� ไม่มเีนื้อไม้ ดอกเพศเดยีว ขน�ดเล็ก Dioscoreaceae
28. ไม้ล้มลุก ดอกสมบูรณ์เพศ
29. เกสรเพศผู้ 3-1
30. เกสรเพศผู้ม ี1 หรอื 2 เชื่อมตดิกับก้�นเกสรเพศเมยีเป็นเส้�เกสร (column) Orchidaceae
30. เกสรเพศผู้ม ี3 ก้�นเกสรเพศเมยีแยกเป็น 3 แฉก Iridaceae
29. เกสรเพศผู้ม ี6
31. รังไข่กึ่งใต้วงกลบี พชืล้มลุก ดอกก้�นโดด (scapose) ใบเป็นแถบแคบ Liliaceae
31. รังไข่ใต้วงกลบี
32. ดอกออกแน่น ล้อมรอบด้วยใบประดับเด่น ดอกในมักเป็นเส้นย�วคล้�ยเส้นด้�ย Taccaceae
32. ดอกไม่เหมอืนข้�งบน
33. วงกลบีรวมเป็นท่อ มปีีก 3 ปีก Burmanniaceae
33. วงกลบีรวมไม่เป็นท่อและไม่มปีีก
34. ดอกเป็นดอกก้�นโดด ก้�นเดยีวหรอืล�ยก้�น ช่อดอกเป็นซี่ร่ม มักรองรับด้วยใบประดับ
คล้�ยก�บ อับเรณูตดิที่ฐ�น
35. โคนลำ�ต้นเป็นหัวคล้�ยหัวหอม (bulbous) Amaryllidaceae
35. ไม่มหีัวคล้�ยหัวหอม Hypoxidaceae
34. ดอกมจีำ�นวนม�ก ออกเป็นช่อกระจ�ย ไม่มใีบประดับรองรับ อับเรณูตดิกับก้�นเกสรเพศผู้ที่
ตรงกล�งอับ (versatile) Agavaceae
23. เกสรเพศผู้ที่สบืพันธุ์ได้ม ี1 หรอืบ�งครัง้ม ี2 เกสรเพศผู้เป็นหมัน ถ้�มจีะเห็นชัดกว่�วงกลบีรวม
35. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยีแยกกัน รังไข่ไม่บดิ
12. พชืไม่มเีนื้อไม้ หรอืถ้�เป็นไม้เนื้อแข็ง ใบเป็นใบเดี่ยว แคบ
13. วงกลบีรวมวงนอกคล้�ยกลบีเลี้ยง วงในคล้�ยกลบีดอก
14. วงกลบีรวมลดรูปเป็น 2 ชัน้ ชัน้ละ 2 กลบี ใบแคบ ดอกมใีบประดับคล้�ยก�บ มขีนแบบขนแกะ (wooly)
มเีกสรเพศผู้ 1 Philydraceae
14. ดอกไม่เหมอืนข้�งบน
15. ใบมจีำ�นวนม�ก ซ้อนกันหรอืเป็นก�บหุ้มลำ�ต้น ดอกสชีมพู หรอืนำ�้เงนิ Commelinaceae
15. ใบมนี้อย ไม่ซ้อนกันหรอืเป็นก�บหุ้มลำ�ต้น ดอกมหีล�ยส ี Liliaceae
13. วงกลีบรวมวงนอกและวงในคล้�ยกัน มักจะคล้�ยกลบีดอกทัง้หมด
16. ดอกมักมขีน�ดเล็ก ออกเป็นกระจุกที่ปล�ยก้�น
17. ใบประดับของกระจุกดอกแข็ง สเีข้ม ดอกสมบูรณ์เพศ สเีหลอืง ค่อนข้�งเด่น Xyrisdaceae
17. ใบประดับของกระจุกดอกบ�ง สอี่อน ดอกเพศเดยีว ขน�ดเล็กสขี�ว Eriocaulaceae
16. ดอกและช่อดอกไม่เหมอืนข้�งบน
18. ช่อดอกก้�นโดด (scapose) เป็นช่อแบบซี่ร่ม รองรับด้วยใบประดับคล้�ยก�บ ค่อนข้�งบ�งคล้�ยเนื่อ
19. มหีัวใต้ดนิ พื้ชตัง้ตรง Amaryllidaceae (Allium)
19. มเีหง้�ใต้ดนิ พชืเลื้อยโดยหูใบที่เปลี่ยนไปเป็นมอืพัน Smilacaceae
18. ช่อดอกไม่เป็นแบบซี่ร่ม หรอือ�จเป็นกึ่งซี่ร่ม แต่ไม่มใีบประดับคล้�ยก�บ
20. ดอกสมม�ตรต�มรัศม ีไม่ใช่พชืนำ้�
21. รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด Flagellariaceae
21. รังไข่แต่ละช่องมักมไีข่หล�ยเมล็ด
22. พชืเนื้อแข็ง และทนแล้ง ใบส่วนม�กมเีส้นใย ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1 ดอกมักออกเป็นช่อกระจ�ย
Agavaceae
22. พชืไม่มเีนื้อไม้ และไม่ทนแล้ง หรอืทนแล้งได้เล็กน้อย ใบไม่มเีส้นใย ก้�นเกสรเพศเมยีแตกเป็น
แฉก ดอกเป็นช่อหล�ยแบบ Liliaceae
20. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง พชืนำ�้ Pontederiaceae
11. รังไข่ใต้วงกลบี หรอืกึ่งใต้วงกลบี
23. เกสรเพศผู้ที่สบืพันธุ์ได้ม ี3 หรอืม�กกว่� ไม่มเีกสรเพศผู้ที่เป็นหมันและคล้�ยกลบีดอก
24. พชืนำ้� จมอยู่ใต้นำ�้หรอืลอยนำ้� ดอกส่วนม�กเป็นดอกเพศเดยีว Hydrocharitaceae
90 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
91
6
ลักษณะประจ�ำวงศ์พชื พชืที่จะกล่�วถงึนี้อยู่ในหมวด (Division) พชืมเีมล็ด (Spermatophyta หรอื Seed plants) ทัง้หมด พชืพวกนี้
ใช้เมล็ดในก�รขย�ยพันธุ์ แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื พชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperms) และพชืเมล็ดอยู่ในรังไข่ หรอื
พชืดอก (Angiosperms) พรรณพชืมเีมล็ดนี้ในประเทศไทยมอียู่ประม�ณ 300 วงศ์ เป็นก�รย�กที่จะกล่�วถงึพชืทุก
วงศ์ในที่นี้ จงึขอเลอืกกล่�วถงึเฉพ�ะวงศ์พชืที่เกี่ยวข้องกับก�รป่�ไม้ และวงศ์ที่พบเห็นอยู่บ่อย ๆ โดยจะกล่�วถงึ
ลักษณะประจำ�วงศ์ เรยีงต�มลำ�ดับช�ตวิงศ์ (Phylogyny) ของพชื วงศ์พชืที่มลีักษณะใกล้เคยีงกันจะอยู่ด้วยกัน
เป็นกลุ่มใหญ่ก่อน เรยีกว่� อันดับ (Order) แล้วจ�กอันดับนี้จะแบ่งออกเป็นวงศ์ (Family) โดยมรีูปวธิ�นแยกวงศ์
(Key to families) ต่อจ�กนัน้ในวงศ์จะมรีูปวธิ�นแยกสกุล (Key to genera) ทัง้นี้จะเลอืกกล่�วถงึสกุลพชืที่พบเป็นอยู่
บ่อย ๆ ดังที่ได้กล่�วม�แล้ว บ�งสกุลอ�จมรีูปธ�นแยกชนดิ (Key to species) ด้วย
1. พชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperms) พชืในกลุ่มนี้เป็นพชืที่มปีระวัตคิว�มเป็นม�ตัง้แต่ยุคดกึดำ�บรรพ์ นับว่�เก่�แก่ที่สุดในบรรด�พชืมเีมล็ดทัง้
หล�ย ในปัจจุบันมสีม�ชกิเหลอือยู่ประม�ณ 700 ชนดิ ล้วนแล้วแต่เป็นพชืที่มโีครงสร้�งเป็นเนื้อไม้ทัง้สิ้น แต่ท่อ
ลำ�เลยีงนำ�้เลี้ยงต่�ง ๆ ใน xylem นัน้ได้อ�ศัย tracheids ไม่ม ีvessels ที่แท้จรงิ ยกเว้นแต่ในอันดับ Gnetales เท่�นัน้
ที่เนื้อไม้ม ีvessels ที่แท้จรงิ
พชืเมล็ดเปลอืยที่พบอยู่ในประเทศไทยนัน้อยู่ในอันดับ Cycadales, coniferales และ Gnetles
รูปวธิำนแยกอันดับ
1. ใบประกอบแบบขนนก ขน�ดใหญ่ เรยีงตัวเป็นกลุ่มอยู่ที่ปล�ยยอดของลำ�ต้น อวัยวะสบืพันธุ์ (strobili) เพศผู้และ
เพศเมยีขน�ดใหญ่ เกดิอยู่ตรงกล�งกลุ่มใบ และอยู่ต่�งต้นกัน 1. Cycadales
1. ใบเดี่ยว ขน�ดเล็ก หรอืขน�ดกล�ง เรยีงกระจ�ยกันอยู่ต�มกิ่งของลำ�ต้น อวัยวะสบืพันธุ์ (strobili) ทัง้สองเพศมี
ขน�ดเล็ก เกดิอยู่ต�มง่�มใบ หรอืตอนปล�ย ๆ กิ่ง
2. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ตัง้ตรง เนื้อไม้มที่อชัน (resin ducts) และไม่ม ีvessels ที่แท้จรงิ strobili เกดิต�มง่�มใบหรอื
ต�มปล�ย ๆ กิ่ง ส่วนม�กอยู่บนต้นเดยีวกัน บ�งทแียกกันอยู่คนละต้น 2. Coniferales
2. ไม้ต้น ตัง้ตรง หรอืไม้เลื้อย ลำ�ต้นมเีนื้อไม้แข็ง เนื้อไม้ไม่มที่อชัน และม ีvessels ที่แท้จรงิ strobili เกดิต�มลำ�ต้น
หรอืบ�งทตี�มกิ่ง แยกกันอยู่คนละต้น strobili เพศเดยีว หรอืทัง้สองเพศอยู่รวมกันแต่ไม่สมบูรณ์ เรยีงเป็นวง
รอบข้อเมื่อเจรญิเต็มที่จะหักหลุดเป็นข้อ ๆ 3. Gnetales
1. อันดับ Cycadales
พรรณพชืในอันดับนี้นับได้ว่�เนพชืมเีมล็ดที่เก่�แก่ที่สุด ในประเทศไทยมวีงศ์เดยีว คอื Cycadaceae
36. เกสรเพศผู้มอีับเรณูสองเซลล์ กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันเป็นท่อคล้�ยก�บ พชืมกีลิ่นหอม Zingiberaceae
36. เกสรเพศผู้มอีับเรณูเซลล์เดยีว กลบีเลี้ยงแยกจ�กกันพชืไม่มกีลิ่นหอม
37. ดอกมขีน�ดใหญ่ มักมสีแีดงหรอืเหลอืง รังไข่แต่ละช่องมไีข่จำ�นวนม�ก Cannaceae
37. ดอกมักมขีน�ดเล็ก สขี�ว รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด Marantaceae
35. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยีเจรญิรวมกันเป็นเส้�เกสร รังไข่มักบดิ Orchidaceae
92 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
93
1. วงศ์พญำไม้ Podocarpaceae
ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น ใบเดี่ยว เรยีงสลับ หรอืเรยีงเวยีนสลับ มลีักษณะต่�ง ๆ กัน ตัง้แต่ลดขน�ดลงเป็นเกล็ด
เป็นรูปเข็ม หรอืรูปใบหอก อวัยวะเพศ (strobili) แยกกันอยู่ มักจะอยู่ต่�งต้น และออกต�มง่�มใบตอนปล�ย ๆกิ่ง
อวัยวะเพศผู้ม ีmicrosporophylls หล�ยอัน เรยีงซ้อนสลับกัน แต่ละอันม ีmicrosporangia 2 อัน microspores มปีีก
อวัยวะเพศเมยีอยู่เดี่ยว ๆ มไีข่เพยีงเมล็ดเดยีว ไข่มเียื่อ (epimatium) หุ้ม อยู่บนฐ�นที่ประกอบขึ้นด้วยเกล็ดที่เชื่อม
ตดิกัน เมล็ด มเียื่อหุ้มมดิ หรอืหุ้มอยู่เพยีงครึ่งเดยีว ใบเลี้ยงม ี2 ใบ
พชืในวงศ์นี้พบขึ้นในประเทศไทย 3 สกุล คอื สกุล Dacrydium, Podocarpus และ Dacrycarpus
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ช่อดอกเพศผู้และเพศเมยีอยู่ที่ปล�ยกิ่ง เมล็ดมขีน�ดกว้�งไม่เกนิ 5 มม. ย�วไม่เกนิ 3 มม ใบเป็นเกล็ดหรอืรูป
สว่�น เรยีงสลับ Dacrydium, Dacrycarpus
1. ช่อดอกเพศผู้และเพศเมยีอยู่ต�มกิ่ง เมล็ดมขีน�ดกว้�งประม�ณ 11 มม. ย�วประม�ณ 10 มม. หรอืกว่�นัน้
ใบกว้�ง หรอืแคบเรยีว Podocarpus
พันธุ์ไม้ในสกุล Dacrydium มอียู่ในประเทศไทยเพยีงชนดิเดยีว คอื สนส�มพันปี D. elatum (Roxb.) Wall.
พบขึ้นในป่�ดบิเข�ท�งภ�คเหนอื ภ�คตะวันออกเฉยีงเหนอื ภ�คตะวันออก ภ�คกล�ง และตะวันออกเฉยีงใต้
พันธุ์ไม้ในสกุล Podocarpus มดี้วยกัน 5 ชนดิ พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆ ไปในประเทศ เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข.
รูปธำนจ�ำแนกชนดิ
1. เส้นกล�งใบเห็นชัด ไม่มเีส้นใบ
2. ปล�ยใบแหลม
3. ช่อดอกเพศผู้อยู่เดี่ยว ๆ จำ�นวน 3-2 ต�มง่�มใบ ดอกเพศเมยีก้�นย�ว 10 มม. ใบย�วถงึ 20 ซม. กว้�ง
1.8 ซม. เรยีวสอบไปห�ปล�ยใบ 1. ซำงจงิ P.neriifolius D. Don
3. ช่อดอกเพศผู้มจีำ�นวน 5-3 ต�มง่�มใบ ดอกเพศเมยีก้�นย�ว 2 มม. ใบย�วถงึ 7 ซม. กว้�ง 0.5 ซม. ปล�ย
ค่อนข้�งสอบ 2. สนใบเล็ก P. Polystachyus R. Br.
2. ปล�ยใบมนหรอืทู่ 3. พญำไม้ใบสั้น P. pilgeri Foxw.
1. เส้นกล�งใบเห็นได้ไม่ชัด มเีส้นใบ
4. ช่อดอกเพศผู้อยู่เดี่ยว ๆ ใบรูปร ีกว้�ง 2.5 ซม. ย�ว 5 ซม. ฐ�นรองรับเมล็ดย�ว 10 มม.
4. พญำไม้ P. motleyi (Part.) Dum.
4. ช่อดอกเพศผู้จำ�นวน 6-3 ใบรูปขอบขน�นหรอืรูปไข่แกมขอบขน�น ขน�ดใหญ่กว่�
5. ขุนไม้ P. wallichianus Presl.
วงศ์ปรง Cycadaceae
ไม้ต้น มลีักษณะคล้�ยพชืจำ�พวกป�ล์ม ใบ ประกอบแบบขนนก ขน�ดใหญ่ ใบอ่อน ปล�ยใบม้วนขดลง
เหมอืนใบอ่อนของผักกูด (fern) อวัยวะเพศ แยกกันอยู่คนละช่อ และอยู่ต่�งต้นกัน เกดิเป็นกลุ่มหรอืเดี่ยว ๆ ตรง
กล�งกลุ่มใบ ใบสร้�งอับไมโครสปอร์ (microsporophylls) แบนร�บ มอีับไมโครสปอร์ (microsporangia) ม�กม�ยอยู่
ท�งด้�นล่�ง และมเีซลล์สบืพันธุ์เพศผู้ที่เคลื่อนไหวได้ ใบสร้�งเมกะสปอร์ (megasporphylls) รูปแบบขนนก เรยีง
เวยีนสลับซ้อนกันหลวม ๆ เมล็ด ใหญ่มลีักษณะคล้�ยผลเมล็ดแข็ง (drupe) มใีบเลี้ยง 2 ใบ
พชืในวงศ์นี้ในประเทศไทยมอียู่เพยีงสกุลเดยีว คอื Cycas มอียู่ด้วยกัน 6 ชนดิ คอื ปรงเหลี่ยม หรอื
ต�ลปัตรฤ�ษ ีC. siamensis Miq. พบขึ้นต�มป่�เต็งรังทั่ว ๆ ไปในประเทศ โดยเฉพ�ะอย่�งยิ่งในที่ ๆ มกีรวดลูกรังหรอื
โขดหนิแกรนติ เช่น บรเิวณต�ก-เถนิ และต�ก-สุโขทัย เป็นต้น ปรงทะเล C. rumphii Miq. พบขึ้นต�มป่�ช�ยห�ด
และต�มเก�ะต่�ง ๆ ปรงเข� C. pectinata Griff. ชอบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆไป โดยเฉพ�ะอย่�งยิ่งต�มเทอืกเข�หนิปูน
ปรง C. circinalis L. พบขึ้นต�มป่�ดบิชื้นท�งภ�คใต้ มะพร้�วเต่� C. micholitzii Dyer var. simplicipinna Smitin. และ
ปรงญี่ปุ่น C. revolute Thunb. พบขึ้นต�มป่�ดบิต�มไหล่เข� ตัง้แต่ระดับ 600 เมตรขึ้นไป ท�งภ�คเหนอืและภ�ค
ตะวันออกเฉยีงเหนอื (ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 185-192. 1972.)
2. อันดับ Coniferales
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม เนื้อไม้มชีัน (resin) ลำ�ต้นมกีิ่งก้�นส�ข�ม�ก ใบเดี่ยว มจีำ�นวนม�ก ตัวใบแคบ บ�งทลีด
ขน�ดเป็นรูปเข็ม หรอืเป็นเกล็ด อวัยวะเพศ แยกกันอยู่ต่�งต้นกัน หรอืบนต้นเดยีวกัน เมล็ด มเียื่อหุ้มเมล็ด หรอืแห้ง
บ�งทมีปีีก มใีบเลี้ยงสองใบหรอืม�กกว่�
พชืในอันดับนี้ม ี 7 วงศ์ด้วยกัน เท่�ที่พบมอียู่ในประเทศไทยเพยีง 4 วงศ์ คอื Podocarpaceae,
Cephalotaxaceae, Cupressaceae และ Pinaceae
รูปวธิำนแยกวงศ์
1. เมล็ดอยู่เดี่ยว ๆ มักจะมเียื่อ (epimatium) นุ่ม ๆ หุ้ม คล้�ยผลชนดิ drupe ใบกว้�ง หรอืแคบ หรอืลดขน�ดลง
เป็นเกล็ด หรือเป็นรูปสว่�น ไม่อยู่รวมเป็นกระจุก
2. ใบกว้�งหรอืแคบ หรอืลดขน�ดลงเป็นเกล็ด หรอืเป็นรูปเข็ม เรยีงเวยีนสลับ ท้องใบไม่มตี่อม สขี�ว
1. Podocarpaceae
2. ใบแคบขอบขน�น เรยีงสลับกันสองข้�งกิ่ง ท้องใบมตี่อมสขี�วไปต�มท�งย�วขน�นกับเส้นกล�งใบ
2. Cephalotaxaceae
1. เมล็ดม ี 2-1 หรอืม�กกว่� มกี�บแข็งหุ้ม ก�บนี้มจีำ�นวนม�กประกอบขึ้นเป็นรูปกรวยแข็ง ๆ (cone) ใบรูปเข็ม
อยู่รวมเป็นกระจุก เรยีงเวยีนสลับ หรอืเป็นเกล็ด เรยีงตรงข้�มและตัง้ฉ�กกัน (decussate) แนบอยู่กับกิ่ง
3. ใบรูปเข็ม รวมกันเป็นกระจุก ๆ ละ 3-2 ใบ เรยีงเวยีนสลับ เกล็ดหุ้มเมล็ดหนึ่ง ๆ มเีมล็ดที่มปีีกเกล็ดละ 2
เมล็ด เกล็ดหุ้มเมล็ดและก�บรองเกล็ดแยกกัน 3. Pinaceae
3. ใบเป็นเกล็ด เรยีงตรงข้�มและตัง้ฉ�กกัน แนบอยู่กับกิ่ง เกล็ดหุ้มเมล็ดและก�บรองเกล็ดเชื่อมตดิกัน
4. Cupressaceae
94 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
95จำ�นวน 2-1 ใบเลี้ยงส่วนม�กม ี2 ใบ
พชืในวงศ์นี้ม ี 19 สกุลด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นพชือยู่ในเขตอบอุ่น ประเทศไทยมอียู่สกุลเดยีว คอื แปกลม
Calocedrus macrolepis Kurz พบขึ้นอยู่ต�มรมิลำ�ธ�รในป่�ดบิเข�ระดับสูง เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข.
พันธุ์ไม้วงศ์นี้สกุลอื่นที่ได้นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับ คอื สนแผง Thuja orientakis สนญี่ปุ่น หรอื สนจนี
Cupressus และ สนห�งสงิห์ Chamaecyparis เป็นต้น
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 196. 1972.)
3. อันดับ Gnetales
พชืในอันดับนี้ในประเทศไทยพบเพยีงวงศ์เดยีว คอื วงศ์ Gnetaceae
วงศ์เมื่อย Gnetaceae
ส่วนม�กเป็นไม้เถ�เนื้อแข็ง มสีองส�มชนดิที่เป็นไม้ยนืต้น กิ่งเป็นข้อต่อกันและต�มข้อจะบวมพอง ใบ
เดี่ยว ตดิตรงข้�ม เส้นใบแบบเส้นร่�งแห อวัยวะเพศแยกกันอยู่คนละช่อหรอืถ้�รวมกันอยู่ดอกก็ไม่สมบูรณ์ ดอก
เพศผู้ย�วเป็นข้อ ๆ ต�มข้อมดีอกเพศผู้เรยีงอยู่โดยรอบ ดอกหนึ่ง ๆ นัน้มกี�บรอง 2 อัน ซึ่งเชื่อมตดิกันเป็นกระจังดู
คล้�ย ๆ กลบีดอก ดอกเพศผู้นี้มอีับเรณูอันเดยีว ตอนปล�ยอับเรณูนี้ม ี2 ตอน ดอกเพศเมยีเป็นช่อย�วและเป็นข้อ
เหมอืนกัน รอบ ๆ ข้อมไีข่เรยีงอยู่ ไข่หนึ่งจะมผีนังหุ้มอยู่ 3 ชัน้ ชัน้นอกสดคล้�ยเป็นกลบีดอก อกีสองชัน้ถัดเข้�ไป
คล้�ยเป็นเปลอืกชัน้นอกและชัน้ใน เปลอืกชัน้ในจะงอกย�วออกไปเป็นท่อเกสรเพศเมยี (stylar tube) เมล็ด จะมี
กลบีนุ่มหรอืหน�คล้�ยหนังหุ้มอยู่
ในประเทศไทยพบเพียงสกุลเดยีวคอื Gnetum ม ี8 ชนดิ เช่น
ผักกะเหรี่ยง หรอื ผักเมี่ยง G. gnemon L. var. tenerum Markgraf ผลอ่อนใช้รับประท�นสด ๆ ได้รสช�ติ
เหมอืนเนื้อวัวต้ม
เมื่อย G. montanum Markgraf และ เมื่อยดูก G. macrostachyum Hook.f. เมล็ดเผ�ให้สุกใช้รับประท�นได้
มะเมื่อย G. gnemon L. var. gnemon Markgraf เป็นไม้ต้น ในประเทศอนิโดนเีซยีใช้เมล็ด ทำ�แป้งข้�วเกรยีบเรยีกว่�
กรุปุก ซึ่งนำ�ม�ทอดรับประท�นรสช�ตหิอมมันอร่อย พันธุ์ไม้ชนดินี้มักพบปลูกกันต�มหมู่บ้�นเพื่อใช้ประโยชน์จ�ก
เมล็ด ช�วไทยอสิล�มเรยีกกันว่� ปีแซ
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(3): 204-210. 1975.)
ส่วน Dacrycarpus นัน้พบหนึ่งชนดิ คอื มะข�มป้อมดง D. imbricatus (Blume) de Laub. var. patulus de
Laub. ใบประดับที่เชื่อมตดิกันและรองรับเมล็ด ด้�นหนึ่งเป็นสันเห็นได้ชัด เมื่อผลโตเต็มที่ ใบเล็กเรยีว แผ่แบน
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(3): 197-203. 1975.)
2. วงศ์พญำมะขำมป้อม Cephalotaxaceae
ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น ดอกเพศผู้และเพศเมยีแยกกันอยู่คนละต้น ใบแคบเรยีว ปล�ยแหลม ตดิเรยีงสลับกัน มี
ท่อชัน (resin duct) ขน�ดใญ่อยู่ท�งด้�นหลังใบขน�นกันไปกับเส้นกล�งใบ และมตี่อมสขี�วต�มย�วของใบ ดอกเพศ
ผู้มจีำ�นวน 11-6 รวมกันอยู่เป็นก้อนกลม ๆ ต�มง่�มก�บบ�ง ๆ และมเีกล็ดเล็ก ๆ เป็นกระจังรองรับอยู่ ดอกหนึ่ง ๆ
มเีกสรเพศผู้ 12-7 อัน แต่ละอันเป็นเกล็ดรูปโล่ มกี้�นเชื่อมต่อกับแกนช่อดอก ภ�ยใต้เกล็ดมอีับเรณู 3-2 อัน
ละอองเรณูกลม ดอกเพศเมยีรวมกันอยู่เป็นรูปกรวยเล็ก ๆ มกี้�นส่ง อยู่ต�มก�บตอนปล�ย ๆกิ่ง กรวยหนึ่ง ๆม ี
20-6 เกล็ด อยู่บนแกนที่อวบนำ�้ เกล็ดหนึ่งมไีข่ 2 ใบอยู่ที่โคน ไข่นี้จะเจรญิขึ้นเป็นเมล็ดเพยีงเมล็ดเดยีว เมื่อไข่เจรญิ
ขึ้นเกล็ดเหล่�นี้จะเชื่อมตดิกัน ทำ�ให้คล้�ย ๆเป็นเมล็ด ในระยะที่เจรญิขึ้นม�นัน้มเียื่อหน�นุ่มหุ้มอยู่ครึ่งหนึ่ง เมล็ด มี
ขน�ดใหญ่และมจีำ�นวนหนึ่งหรอื 2 เมล็ดต่อกรวยหนึ่ง เปลอืกชัน้นอกหน�นุ่ม มชีัน ชัน้ในบ�งแข็ง
ในประเทศไทยมอียู่เพยีงชนดิเดยีวคอื พญ�มะข�มป้อม Cephalotaxus griffithii Hook.f. พบขึ้นต�มป่�ดบิ
เข�ท�งภ�คเหนอื และภ�คตะวันออกเฉยีงเหนอื เนื้อไม้เลื่อยผ่�ตบแต่งง่�ย เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข.
3. วงศ์สนสำมใบ Pinaceae
ไม้ต้น ไม่ผลัดใบ ใบ เดี่ยว รูปเข็ม ขึ้นเป็นกลุ่ม อวัยวะเพศ แยกกันอยู่คนละช่อ และมักจะอยู่บนต้นเดยีวกัน
เป็นส่วนม�ก ดอกเพศผู้ประกอบด้วยใบที่สร้�งอับสปอร์เพศผู้ (microsporophylls) จำ�นวนม�กเรยีงสลับเวยีนกัน
แต่ละอันมอีับสปอร์เพศผู้ (microsporangia) คู่หนึ่ง สปอร์เพศผู้ (microspores) มปีีก ดอกเพศเมยีมเีกล็ดรองรังไข่
หล�ยอัน เรยีงสลับเวยีนกัน แต่ละเกล็ดมไีข่อยู่ 2 เมล็ด อยู่ท�งด้�นบน ท�งด้�นล่�งของแต่ละเกล็ดมกี�บรองรับ
อยู่ ดอกเพศเมยีนี้เมื่อเจรญิขึ้นจะเป็นรูปกรวย เกล็ดแข็ง เมล็ด มจีำ�นวน 2 ต่อเกล็ด และมักมปีีก
ในประเทศไทยมเีพยีงสกุลเดยีวคอื Pinus และมอียู่เพยีง 2 ชนดิคอื สนสองใบ P. merkusii Jungh. & de
Vries และ สนส�มใบ P. kesiya Royle ex Gord. พบขึ้นต�มป่�ดบิเข�ทั่ว ๆ ไปท�งภ�คเหนอืและภ�คตะวันออกเฉยีง
เหนอื เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข.
สนทัง้สองชนดินี้สังเกตคว�มแตกต่�งกันได้ดังนี้คอื สนสองใบ นัน้ ใบกลุ่มหนึ่งม ี 2 ใบ เปลอืกลำ�ต้นสี
นำ�้ต�ลเข้มเกอืบดำ� แตกเป็นร่องลกึต�มย�วและต�มขว�งดูคล้�ย ๆ หนังจระเข้ส่วนสนส�มใบ นัน้ ใบกลุ่มหนึ่งมี
ส�มใบ เปลอืกลำ�ต้นสนีำ�้ต�ลแกมชมพู ล่อนเป็นสะเก็ด
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 193-194. 1972.)
4. วงศ์แปกลม Cupressaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบเรยีงตรงข้�มและตัง้ฉ�กกัน หรอืเรยีงในระน�บเดยีวกันรอบกิ่ง ใบบ�งทแีคบย�ว
ปล�ยแหลม แต่ส่วนม�กเป็นเกล็ด ท้องใบมตี่อมสขี�ว ดอก ทัง้สองเพศอยู่บนต้นเดยีวกันหรอืแยกกันอยู่คนละต้น
ดอกเพศผู้สัน้ ๆ microsoporophyll เป็นรูปโล่ ม ี sporangia หล�ยอัน เกล็ดหุ้มเมล็ดและก�บรองเกล็ดเชื่อมตดิกัน
และอยู่ชดิกันประกอบเป็นกรวยสัน้ ๆ เกล็ดหุ้มเมล็ดมตีิ่งยื่นออกม�ค่อนไปท�งด้�นล่�งเป็นที่ตัง้ของเมล็ด เมล็ด
96 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
97
สนส�มใบ
Pinus kesiya Royle ex Gordon
(Pinaceae)
เหมียง
Gnetum gnemon L.var. tenerum Markgr.
(Pinaceae)
เมื่อย
Gnetum cuspidatum Blume
(Gnetaceae)
เมื่อยดูก
Gnetum macrostachyum Hook.f.
(Gnetaceae)
ภ�พที่ 21
แปกลม
Calocedrus macrolepis Kurz
(Cupressaceae)
มะข�มป้อมดง
Cephalataxus mannii Hook.f.
(Cephalotaxaceae)
ปรงเข�
Cycas pectinata Griff.
(Cycadaceae)
ปรง
Cycas clivicola K.D. Hill
(Cycadaceae)
ภ�พที่ 20
98 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
99
ก้�นร่ม
Actinodaphne sesquipedalis (Wall. ex Kuntze) Hook.f.
& Thomson ex Meisn. var. gladra Kochummen
(Lauraceae)
หน่วยนกงุ้ม
Beilschmiedia gammieana King ex
Hook.f.
(Lauraceae)
น�งพญ�เสือโคร่ง
Prunus cerasoides D. Don
(Rosaceae)
ไข่ปูใหญ่
Rubus alceifolius Poir.
(Rosaceae) ภ�พที่ 23
จำ�ปีเพชร
Magnolia mediocris (Dandy) Figlar
(Magnoliaceae)
จำ�ป�
Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre
(Magnoliaceae)
มห�พรหม
Mitrephora keithii Ridl.
(Annonaceae)
หนวดปล�ดุก
Polyalthia stenopetala (Hook. f. & Thomson)
Finet & Gagnep.
(Annonaceae)ภ�พที่ 22
100 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
101 7. กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) placenta ส่วนม�กเป็นชนดิ parietal หรอื axile
8. placenta ส่วนม�กเป็นแบบ parietal 3. Passiflorales
8. placenta ส่วนม�กเป็นแบบ axile 4. Guttiferales
7. กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกัน (valvate) placenta เป็นชนดิ axile มักมขีนเป็นกระจุก และมเีมอืกเหนยีว
9. Malvales
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเป็น 2 เท่�ของกลบีเลี้ยง บ�งทมีนี้อยกว่� ส่วนม�กแยกจ�กกัน placenta ส่วนม�ก
เป็นแบบ axile หรอื marginal มักม ีglandular disc เห็นได้ชัด
9. เกสรเพศผู้ต�มปกตมิ ี2 ชัน้ ชัน้นอกอยู่ตรงข้�มกับกลบีดอก ไข่ห้อยหัวลง มรีอย raphe ท�งด้�นหน้�
10. Geraniales
9. เกสรเพศผู้ต�มปกตมิ ี 1 หรอื 2 ชัน้ถ้�ม ี 2 ชัน้ ๆ นอกจะอยู่สลับกับกลบีดอก ไข่ห้อยหัวลง มรีอย raphe
ท�งด้�นหลัง 11. Sapindales
3. รังไข่ส่วนม�กอยู่ใต้วงกลบี (inferior) ไข่มจีำ�นวนม�ก ใบส่วนม�กเรยีงตรงข้�มกัน 8. Myrtales
2. ไม่มกีลบีดอกที่แท้จรงิ
10. perianth มักมชีัน้เดยีวลักษณะคล้�ยกัน เกสรเพศผู้อยู่ตรงข้�มและตดิกับกลบี perianth ไข่มจีำ�นวนน้อยหรอื
เพยีงเมล็ดเดยีว ส่วนม�กห้อยหัวลง (pendulous)
11. ช่อดอกเป็นแบบ raceme หรอื spike เกสรเพศผู้ตดิตรงข้�มกับกลบีดอก ก้�นเกสรเชื่อมตดิกันกับกลบีดอก
เมล็ดไม่ม ีendosperm 5. Proteales
11. ช่อดอกเป็นแบบต่�ง ๆ ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกลบีดอก เมล็ดม ีendosperm 7. Urticales
10. perianth ส่วนม�กไม่ม ี ดอกมแีต่ใบประดับ (bracts หรอื bracteoles) รองรับ ดอกมเีพศเดยีว ช่อดอกเพศผู้
เป็นแบบห�งกระรอก 6. Amentiferae
1. กลบีดอก (petals) เชื่อมตดิกันไม่ม�กก็น้อย (ห�ย�กที่แยกจ�กกัน)
12. รังไข่ส่วนม�กตดิเหนอืวงกลบี เกสรเพศผู้ตดิกับหลอดกลบีดอก
13. เกสรเพศผู้ส่วนม�กมจีำ�นวนเป็น 2 เท่�ของจำ�นวนกลบีดอก ส่วนม�กม ี4 หรอื 5 กลบี หรอืม�กกว่� รังไข่
ม ี5-2 ช่อง หรอืม�กกว่� 12. Ebenales
13. เกสรเพศผู้ส่วนม�กมจีำ�นวนเท่�กัน หรอืน้อยกว่�จำ�นวนกลบีดอก ส่วนม�กม ี5 กลบี รังไข่ม ี3-1 ช่อง
14. กลบีดอกส่วนม�กมขีน�ดเท่�กัน กลบีบดิเวยีนต�มกันไป เกสรเพศผู้ตดิอยู่ที่โคนหลอดกลบีดอก รังไข่ม ี
2 ช่อง เชื่อมตดิกันหรอืแยกกันตอนปล�ย ใบเรยีงตรงข้�ม 13. Gentianales
14. กลบีดอกขน�ดไม่เท่�กัน เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricale) เกสรเพศผู้ตดิกับหลอดกลบีดอก (corolla tube)
ที่ค่อนข้�งย�ว รังไข่ม ี2 ช่อง (ห�ย�กที่ม ี3 หรอื 5 ช่อง) เชื่อมตดิกัน ใบเรยีงสลับหรอืตรงข้�ม
15. Tubiflorae
2. พชืดอก (Angiosperms) ในปัจจุบันประม�ณกันว่�พชืในกลุ่มนี้มอียู่ประม�ณ 250,000 ชนดิ พชืกลุ่มนี้มักเรยีกกันว่� พชืดอก เป็น
พชืกลุ่มใหญ่ที่สุดในบรรด�พรรณพชืทัง้หล�ย พชืกลุ่มนี้มลีักษณะสำ�คัญเด่นชัด เมล็ดเกดิในรังไข่ เนื้อไม้ม ีvessele
ทำ�หน้�ที่ลำ�เลยีงนำ�้เลี้ยงต่�ง ๆ อยู่ใน xylem
พชืกลุ่มนี้จำ�แนกออกได้เป็น 2 ชัน้ (class) คอื พชืใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledonae) และพชืใบเลี้ยงเดี่ยว
(Monocotyledonae) ลักษระของพชืทัง้สองชัน้มดีังนี้
1. พชืใบเลี้ยงคู่ Dicotyledonae ท่อนำ�้และท่ออ�ห�ร (vascular bundle) เรยีงเป็นวงรอบแกนของลำ�ต้น
มชีัน้เจรญิเตบิโต (cambium) อยู่ระหว่�งท่ออ�ห�ร (sylem) และท่อนำ�้ (phloem) ทำ�หน้�ที่เสรมิสร้�งคว�มเจรญิ
เตบิโตต่อไป ใบมเีส้นใบแบบร่�งแห (net-veined) ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวนชัน้ละ 4 หรอื 5 หรอืกว่�นัน้ในอัตร�
ทวคีูณ embryo มใีบเลี้ยง 2 ใบอยู่ข้�ง ๆ
2. พชืใบเลี้ยงเดี่ยว Monocotyledonae ท่อนำ�้และท่ออ�ห�ร (vascular bundle) เรยีงกระจ�ยกันไป
ในลำ�ต้น แต่ละกลุ่มมขีอบเขตล้อมรอบ และไม่มชีัน้เจรญิเตบิโต (cambium) ใบส่วนม�กมเีส้นใบขน�นกัน (parallel-
veined) ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวนชัน้ละ 3 หรอืกว่�นัน้ในอัตร�ทวคีูณใบเลี้ยงมเีพยีงใบเดยีวอยู่ตอนปล�ยของ
embryo
ชั้นพชืใบเลี้ยงคู่ (Class Dicotyledonae)
เนื่องจ�กพรรณไม้ในชัน้นี้ได้จำ�แนกออกไปม�กม�ยหล�ยอันดับ จงึเลอืกเอ�เฉพ�ะอันดับที่มคีว�มสำ�คัญ
ม�จำ�นวน 15 อันดับด้วยกัน
รูปวธิำนแยกอันดับ
1. กลบีดอก (petals) แยกจ�กกันหรอืไม่มี
2. กลบีดอกแยกจ�กกัน
3. รังไข่ (ovary) ส่วนม�กอยู่เหนอืวงกลบี (superior)
4. ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวนม�ก เรยีงเวยีนสลับ เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก เกสรเพศเมยีมจีำ�นวนน้อยหรอืม�ก
และเด่นชัด (ห�ย�กที่ส่วนต่�ง ๆของดอกเรยีงเป็นวงรอบ (whorl)และมเีกสรเพศเมยีเพยีงอันเดยีว)
1. Ranales
4. ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวน 5 เรยีงเป็นวงรอบ (whorl)
5. รังไข่มหีล�ยอันแยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกัน หรอืมเีพยีงอันเดยีว กลบีดอกและเกสรเพศผู้โดยม�กอยู่รอบ
หรอืเหนอืเกสรเพศเมยี 2. Rosales
5. รังไข่ส่วนม�กเชื่อมตดิกัน กลบีดอกและเกสรเพศผู้อยู่ใต้เกสรเพศเมยี
6. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกันหรอืเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ หรอืเป็นหลอด disc เห็นไม่ชัดหรอืไม่มี
102 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
103เรยีกรวมกันว่�กลบีรวม (tepal) ส่วนใหญ่มจีำ�นวนตัง้แต่ 9 กลบีหรอืม�กกว่� เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกัน
อับเรณู (anthers) เรยีวย�ว ส่วนม�กหันหน้�เข้�ห�แกน เกสรเพศเมยีมจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกันเรยีงสลับเวยีนบน
แกนย�วตรงกล�งดอก รังไข่หนึ่ง ๆ มจีำ�นวนไข่สองเมล็ด ผล มักเป็นพวง (follicetum) ส่วนใหญ่เป็นผลแห้งและแก่
แตก ที่แก่ไม่แตกพบน้อยม�ก เมล็ดม ีendosperm ม�ก embryo เล็ก
พชืในวงศ์นี้ต่�งเป็นไม้ต้นขน�ดใหญ่ สังเกตได้โดยง่�ยที่เปลอืกมกีลิ่นฉุ่น ๆ หูใบเชื่อมตดิกันกับก้�นใบใน
ระยะหนึ่ง แล้วจะหลุดร่วงไปทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นร่อง ใบแห้งที่หล่นอยู่ต�มพื้นป่�จะเห็นเส้นร่�งแหปร�กฏชัดท�ง
ด้�นหลังใบ
พชืในวงศ์นี้มอียู่ด้วยกัน 4 สกุลด้วยกัน ส่วนม�กพบขึ้นทั่วไปในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของโลก เท่�ที่
สำ�รวจพบในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน 1 สกุล ประม�ณ 29 ชนดิ
สกุล Magnolia เท่�ที่พบมอียู่ 29 ชนดิ เช่น จำ�ปีป่� หรอืไม้ช้อน M. henryi Criab พบต�มป่�ดบิท�งภ�ค
เหนอื หัวเต่� หรอื จำ�ปีเข� M. craibiana Dandy พบต�มป่�ดบิขึ้นท�งภ�คใต้ อกีชนดิหนึ่งเป็นไม้ประดับมถีิ่นกำ�เนดิ
อยู่ท�งภ�คตะวันออกเฉยีงใต้ของประเทศจนี คอื ยี่หุบหนู หรอื ยี่หุบน้อย M. coco (Lour.) DC.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(2): 251-267. 1975.)
หมำยเหตุ ในปี พ.ศ. 2539 มกี�รจัดจำ�แนกพรรรไม้ในวงศ์จำ�ป�ทั่วโลกขึ้นใหม่ ต�ม World Checklist an
Bibliography of Magnoliaceae โดยยุบรวมหล�ยสุกลเข้�ด้วยกัน จนเหลอื 7 สกุล และมจีำ�นวนทัง้หมด 223 ชนดิ
คอื สกุล Elmerrillia สกุล Kmeria สกุล Liriodendron สกุล Magnolia สกุล Manglietia สกุล Michelia สกุล
Pachylarnax ต่อม�ในปี พ.ศ. 2543 ก็ได้มกี�รยุบสกุล Elmerrillia สกุล Kmeria และสกุล Manglietia เข้�ม�ไว้ในสกุล
Magnolia ทำ�ให้เหลอืเพยีง 4 สกุล คอื สกุล Liriodendron สกุล Magnolia สกุล Manglietia และสกุล Pachylarnax
ต่อม�ได้มกี�รยุบรวมจนในประเทศไทยเหลอืเพยีง 1 สกุล คอื สกุล Magnolia
2. วงศ์กระดังงำ Annonaceae
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้เถ�เนื้อแข็ง เปลอืกและใบมกีลิ่นฉุน ใบ เดี่ยว เรยีงสลับ ไม่มหีูใบ ดอก ส่วนม�กสเีขยีว
เหลอืง หรอืม่วงแดง ออกเดี่ยว ๆ ต�มปล�ยกิ่ง ตรงข้�มกับใบ ต�มง่�มใบ หรอืเป็นกระจุก เป็นช่อสัน้ ๆ ต�มกิ่งแก่
ๆ และต�มลำ�ต้น ดอกส่วนม�กเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual) ห�ย�กที่เป็นดอกเพศเดยีว (unisexual) แกนดอก
แบนร�บ โค้งครึ่งวงกลมหรอืเป็นรูปกรวยควำ่� กลบีเลี้ยง (sepals) มจีำ�นวน 3 ห�ย�กที่ม ี2 แยกจ�กกันหรอืเชื่อม
ตดิกันในลักษณะต่�ง ๆ กลบีดอกมจีำ�นวน 6 กลบี เรยีงกันอยู่เป็น 2 ชัน้ เกสรเพศผู้จำ�นวนม�ก เรยีงเวยีนสลับกัน
หล�ยชัน้ เกสรเพศเมยีมจีำ�นวนม�ก ห�ย�กที่มจีำ�นวนน้อยหรอืเพยีงอันเดยีว แยกจ�กกัน ห�ย�กที่เชื่อมตดิกัน
รังไข่มชี่องเดยีว placenta เป็นแบบ parietal ผล มกี้�นส่งเป็นอสิระ บ�งทพีบเป็นผลกลุ่ม (aggregate) ที่มผีวิอวบนำ�้
เช่น น้อยหน่� (Annona squamosa L.) เมล็ดมเียื่อหุ้ม หรอืบ�งทกี็ไม่ม ีendosperm มปีรมิ�ณม�กและย่นเป็นร่อง
พชืในวงศ์นี้มจีำ�นวนสม�ชกิม�กสกุลและม�กชนดิ ประม�ณ 122 สกุล และ 1,100 ชนดิ มีเขตกระจ�ยพันธุ์
กว้�งขว�งในเขตร้อนของโลก ส่วนม�กพบขึ้นอยู่ต�มป่�ดบิในระดับตำ่� ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบมอียู่ 34 สกุล
ด้วยกัน แต่ที่มคีุณค่�สำ�คัญท�งเศรษฐกจิมอียู่เพยีงไม่กี่สกุล เช่น สกุล Mezzettia คอื หัวค่�ง M. leptopoda Oliv.
สกุล Polyalthia คอื ย�งโอน P.viridis Craib สกุล Cananga คอื เฝิง หรอื สะแกแสง C. latifolia Finet & Gagnep. สกุล
Platymitra คอื หำ�ช้�ง หรอื หำ�โจร P. siamensis Craib และสกุล Cyathocalyx คอื น�งเลว C. martabanicus Hook.f.
& Thoms.
12. รังไข่ตดิใต้วงกลบี อับเรณูแยกจ�กกัน ห�ย�กที่เชื่อมตดิกัน ใบเรยีงตรงข้�มหรอืเป็นวงรอบส่วนม�กมหีูใบ
14. Rubiaceae
1. อันดับ Ranales
ดอกสมบูรณ์เพศ บ�งทเีป็นดอกเพศเดยีว วงกลบีรวมมจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกัน ลักษณะคล้�ยกัน ไม่แยก
ออกเป็นกลบีเลี้ยงหรอืกลบีดอกได้ชัด เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก เกสรเพศเมยีมจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกัน ห�ย�กที่
เชื่อมตดิกันหรอืลดจำ�นวนลงเหลอืเพยีงอันเดยีว รังไข่เหนอืวงกลบี endosperm มมี�ก ห�ย�กที่ย่นหรอืไม่ม ีembryo
มักมขีน�ดเล็ก
อันดับนี้ประกอบด้วยพชืประม�ณ 12 วงศ์ด้วยกัน แต่จะนำ�ม�กล่�วเพยีง 5 วงศ์เท่�นัน้ ต�มลักษณะต่�ง ๆ
ของดอกนัน้จะแบ่งพชืในอันดับนี้ออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คอื Magnoliaceae และ Annonaceae กลุ่มหนึ่ง เพร�ะ
กลบีดอกมจีำ�นวนม�ก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยีมจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกันและตดิอยู่บนฐ�นหรอืแกน (torus)
เดยีวกัน ดอกเป็นชนดิ bisexual อกีกลุ่มหนึ่งนัน้คอื Myristicaceae, Lauraceae และ Menispermaceae ซึ่งต่�งก็มี
จำ�นวนกลบีจำ�กัดและเรยีงกันอยู่เพยีงชัน้เดยีว ดอกเป็นชนดิ unisexual
รูปวธิำนแยกวงศ์
1. พชืมตี่อมนำ�้มัน ส่วนม�กเป็นไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม
2. ดอกออกเดี่ยว ๆ ที่ปล�ยกิ่ง ต�มง่�มใบ หรอืเป็นกระจุก (fascicle) ต�มกิ่ง หรอืต�มลำ�ต้น เกสรเพศผู้จำ�นวน
ม�ก เรยีงเวยีนสลับ (spiral) อับเรณูแตกเป็นช่องต�มย�ว หรอืเป็นรูที่ปล�ยสุด เกสรเพศเมยีมหีล�ยค�ร์เพล
3. เมล็ดมอี�ห�รสะสม (albumen) เรยีบ ดอก bisexual เกสรเพศผู้แยกจ�กกัน 1. Magnoliaceae
3. เมล็ดมอี�ห�รสะสม (albumen) ย่นเป็นร่อง เกสรเพศเมยีบ�งทมีคี�ร์เพลเดยีว
4. ดอก bisexual เกสรเพศเมยีมหีล�ยอัน ผลกลุ่ม (aggregate) แต่ละผลอวบนำ�้ ค�ร์เพลแยกจ�กกัน (ห�ย�กที่
เชื่อมตดิกัน) เกสรเพศผู้แยกจ�กกัน 2. Annonaceae
4. ดอก unisexual เกสรเพศเมยีมคี�ร์เพลเดยีว ผลคล้�ย drupe แตกออกเป็นสองซกี เกสรเพศผู้ตดิกันเป็นหลอด
หรอืเชื่อมตดิกันตรงโคนเท่�นัน้ 3. Myristicaceae
2. ดอกออกเป็นช่อ panicle ต�มปล�ยกิ่ง หรอืเป็นกระจุก (fascicle) ต�มง่�มใบ เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด มักมี
จำ�นวน 6 ถงึ 12 เรยีงเป็นวง (whorl) อับเรณูแตกออกเผ็นช่องต�มย�ว หรอืแบบช่องหน้�ต่�งต�มขว�ง
4. Lauraceae
1. พชืไม่มตี่อมนำ้�มัน ส่วนม�กเป็นไม้เถ� ดอกมักเป็น unisexual ออกดอกเป็นช่อย�วต�มง่�มใบ หรอืต�มกิ่งแก่
และต�มลำ�ต้น กลบีดอกเล็ก embryo โค้งมขีน�ดใหญ่ 5. Menispermaceae
1. วงศ์จ�ำปี จ�ำปำ Magnoliaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มักมกีลิ่นหอม ใบ เดี่ยว เรยีงสลับ หูใบมขีน�ดใหญ่ หุ้มปิดต�มดิ ส่วนม�กตดิเชื่อมกับ
ก้�นใบ แต่หลุดร่วงได้ง่�ย เหลอืรอยแผลเป็นไว้บนกิ่งและโคนก้�นใบ ดอก มขีน�ดใหญ่ ออกเดี่ยว ๆที่ปล�ยกิ่ง หรอื
ต�มง่�มใบ ดอกสมบูรณ์เพศ สมม�ตรต�มรัศม ี กลบีดอกมหีล�ยชัน้ แยกไม่ออกว่�เป็นกลบีเลี้ยงหรอืกลบีดอก
104 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
105 พชืในวงศ์นี้มกีว่� 30 สกุล ขึ้นอยู่ต�มเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบมอียู่ 12 สกุลด้วยกัน
คอื Persea, Phoebe, Dehaasia, Beilschmiedia, Cinnamomum, Actinodaphne, Alseodaphne, Temmodaphne,
Cryptocarya, Litsea, Neolitsea และ Lindera
สกุล Cinnamomum เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข.
สกุล Litsea, Beilschmiedia, Dehaasia และ Neolitsea เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ส่วนม�กพบขึ้นต�ม
ป่�ดบิทั่ว ๆไป
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ดอกออกเป็นช่อแบบ panicle แต่ถ้�เป็นแบบ umbel จะไม่มใีบประดับรองรับ
2. ผลไม่มกี้�นดอกที่พองโตหุ้ม
3. อับเรณูม ี4 ช่อง Persea, Phoebe
3. อับเรณูม ี2 ช่อง Dehaasia, Beilschmiedia
2. ผลมกี้�นดอกที่พองโตหุ้มตอนโคน หรอืหุ้มมดิผล
4. ผลมถี้วยหุ้มตอนโคน อับเรณูม ี4 ช่อง
Cinnamomum, Actinodaphne, Alseodaphne, Temmodaphne
4. ผลมถี้วยหุ้มมดิผลอับเรณูม ี2 ช่อง Cryptocarya
1. ดอกออกเป็นช่อแบบ umbel มใีบประดับใหญ่เรยีงตรงข้�มตัง้ฉ�กกันรับดอก ผลมถี้วยรองรับ
5. อับเรณูม ี4 ช่อง Litsea, Neolitsea
5. อับเรณูม ี2 ช่อง Lindera
5. วงศ์บอระเพ็ด Menispermaceae
ไม้เถ� ส่วนม�กเนื้อแข็ง มักมนีำ�้ย�งสเีหลอืงหรอืสขี�ว ใบ เดี่ยว เรยีงสลับ ไม่มหีูใบ ดอก ขน�ดเล็กม�ก
ดอกเพศเดยีว และต่�งเพศต่�งต้น กลบีเลี้ยงม ี6 กลบี เรยีงเป็น 2 ชัน้ กลบีดอกม ี6 กลบี หรอืน้อยกว่�นี้ หรอืบ�งที
ก็ไม่ม ีเกสรเพศผู้ม ี3 หรอื 6 เกสรเพศเมยีมอีันเดยีว หรอื 3 หรอื 6 มไีข่เพยีงเมล็ดเดยีว มักจะมเีกสรเพศผู้เป็นหมัน
(staminodes) และเกสรเพศเมยีเป็นหมัน (pistillodes) ผล สดแบบ drupe เมล็ดมักจะโค้ง endosperm มหีรอืไม่มี
พืชในวงศ์นี้มจีำ�นวน 80-70 สกุล ขึ้นอยู่ทั่ว ๆ ไป ต�มเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบมอียู่
ด้วยกัน 22 สกุล 51 ชนดิ มหีล�ยชนดิที่เป็นสมุนไพร เช่น บอระเพ็ด Tinospora crispa (L.) Hook.f. & Thoms. ใบก้น
ปิด Stephania japonica (Thunb.) Miers var. discolor (Blume) Forman และ โกฐหัวบัว หรอื สบู่เลอืด S. pierrei Diels
พชืมพีษิ เช่น ขมิ้นเครอื Anamirta cocculus (L.) Wight & Arn. Arcangelisia flava (L.) Merr. เมล็ดมพีษิร้�ยแรงรับ
ประท�นทำ�ให้เกดิอันตร�ยถงึเสยีชวีติได้ บ�งชนดิเป็นอ�ห�ร เช่น เถ�ย่�น�ง Tiliacora triandra Diels ใช้ต้มแก้รสขื่น
ของหน่อไม้ เป็นต้น
นอกจ�กนี้มบี�งสกุลที่นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับเพร�ะดอกมกีลิ่นหอม เช่น ส�ยหยุด Desmos chinensis
Lour. ก�รเวก Artabotrys siamensis Miq. ลำ�ดวน Melodorum fruticosum Lour. นมแมว Rauwenhoffia siamensis
Scheff. และ กระดังง� Cananga odorata Hook.f. & Thoens. เป็นต้น
พืชในวงศ์นี้จะสังเกตได้โดยง่�ยที่ใบและเปลอืกมกีลิ่นฉุน ยอดมักมขีนละเอยีดสนีำ�้ต�ลปกคลุม และ
เปลอืกเมื่อสับดูใต้เปลอืกมักจะมสีดีำ�หรอืนำ�้ต�ลแกมดำ� ชัน้ cambium ลอกออกได้เป็นเยื่อโปร่งบ�ง ๆ
3. วงศ์จันทน์ป่ำ จันทน์แดง Myristiaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ไม่ผลัดใบ เปลอืกมนีำ�้เลี้ยงใสสแีดง ใบ เดี่ยว ไม่มหีูใบ เรยีงสลับ ดอก เล็ก เป็นดอกเพศ
เดยีว (unisexual) ต่�งเพศต่�งต้น ออกเป็นช่อ หรอืเป็นกระจุก หรอืเดี่ยว ๆต�มง่�มใบ กลบีดอกเชื่อมตดิกันมี
จำ�นวน 4-2 กลบี ส่วนม�กแล้วม ี3 กลบี เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 30-3 ก้�นเกสรเชื่อมตดิกันเป็นหลอด หรอืเป็นฐ�น
ร�บ ๆ รังไข่มอีันเดยีว และมไีข่เพยีงเมล็ดเดยีว ผล สด แบบ drupe แตกออกเป็น 2 ซกี เมล็ดใหญ่ มักจะมเียื่อสแีดง
หุ้ม embryo เล็ก endosperm ย่นเป็นร่อง
พชืในวงศ์นี้ม ี15 สกุล ขึ้นในเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน 4 สกุล พชืทัง้ 4 สกุลนี้เป็นไม้ต้น
ทัง้สิ้น คอื Myristica, Gymnaranthera, Horsfieldia และ Knema
สกุล Myristica หรอืจันทน์ป่� เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. เพร�ะเมล็ดใช้เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศ
นอกนัน้เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก.
รูปวธิำนแยกสกุล
1. เยื่อหุ้มเมล็ดแฉกลกึลงม�เกอืบถงึโคน เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นหลอดย�ว
2.อับเรณูเชื่อมตดิกันกับหลอดเกสรตอนปล�ยมักมสี่วนที่เป็นหมันมใีบประดับตดิอยู่ที่โคนกลบี ดอกท�งด้�นใด
ด้�นหนึ่ง Myristica
2. อับเรณูแยกจ�กกันตอนปล�ย หลอดดอกสัน้หรอืไม่ม ีไม่มใีบประดับ Gymnacranthera
1. เยื่อหุ้มเมล็ดเรยีบหรอืแฉกเพยีงตอนปล�ยเท่�นัน้ เกสรเพศผู้มลีักษณะต่�ง ๆ
3. เยื่อหุ้มเมล็ดเรยีบ หุ้มมดิเมล็ด ตอนปล�ยหยักหรอืม้วน เกสรเพศผู้เป็นรูปกลม ๆ รูปถ้วยรูปส�มเหลี่ยม หรอื
รูปทรงกระบอก เกอืบไม่มกี้�น อับเรณูเชื่อมตดิกับหลอดเกสรเกอืบตลอดอัน ไม่มกี�บรองกลบีดอก
Horsfieldia
3. เยื่อหุ้มเมล็ดแฉกเพยีงตอนปล�ย เกสรเพศผู้มกี้�นเป็นรูปร่ม หรอืรูปจ�นส�มเหลี่ยมอับเรณูแยกจ�กกัน มใีบ
ประดับ Knema
4. วงศ์อบเชย Lauraceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ส่วนต่�ง ๆ มักมกีลิ่นหอม ใบเดี่ยว เรยีงสลับ บ�งทเีรยีงตรงข้�ม เส้นใบแบบขนนก หรอื
แบบนิ้วมอื ไม่มหีูใบ ดอก bisexual หรอื unisexual กลบีดอกมจีำ�นวน 6 เรยีงอยู่เป็น 2 ชัน้ เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 6
หรอื 9 เรยีงอยู่เป็น 3-2 ชัน้ อับเรณูแตกแบบช่องหน้�ต่�ง 2 หรอื 4 ช่อง รังไข่มอีันเดยีว และมไีข่เมล็ดเดยีว ผล สด
แบบ drupe ตอนโคนมักมกี้�นดอกที่พองโตขึ้นม�หุ้ม (hypanthium) เมล็ดไม่ม ีendosperm
106 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
107
ทองกว�ว
Butea monosperma (Lam.) Taub.
(Fabaceae)
ประดู่บ้�น
Pterocarpus indicus Willd.
(Fabaceae)
ลำ�ภูร�
Maniltoa polyandra (Roxb.) Harms.
(Fabaceae)
หย่อง
Archidendron quocense (Pierre) I. C. Nielsen
(Fabaceae)
ภ�พที่ 24
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 5(3): 300-356. 1991.)
2. อันดับ Rosales
ดอก ส่วนม�กเป็น bisexual มชีัน้ละ 5 actinomorphic หรอื zygomorphic เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยก
จ�กกันหรอืเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่มเดยีว (monadelphous) หรอื 2 กลุ่ม (diadelphous) เกสรเพศเมยีแยกจ�กกันหรอื
เชื่อมตดิกัน หรอืมเีพยีงอันเดยีว placenta เป็นแบบ axile ห�ย�กที่เป็นแบบ parietal รังไข่ตดิเหนอืวงกลบี (superior)
บ�งทตีดิใต้วงกลบี (inferior) ม ีendosperm ม�ก หรอืไม่มเีลย embryo เล็กหรอืใหญ่ ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบ ส่วน
ม�กมหีูใบ (stipule)
พชืในอันดับนี้มจีำ�นวนสม�ชกิ และมลีักษณะแตกต่�งกันแต่ละวงศ์ มดีอกตัง้แต่ actinormorphic ถงึ
zygomorphic และดอกตัง้แต่ hypogynous ถงึ epigynous ลักษณะที่พบทั่วๆ ไปคอื ดอกมถี้วย (hypanthium) เป็นที่
ตัง้ของส่วนต่�ง ๆ ของดอก ในลักษณะนี้รังไข่จะเป็นแบบ perigynous เช่น พชืสกุล Rosa (Rosaceae) ในกรณทีี่ดอก
เป็นแบบ epigynous นัน้ รังไข่จะเชื่อมกับถ้วยดอกเป็นเนื้อเดยีวกัน
สำ�หรับพรรณพชืของไทยที่มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิมอียู่ด้วยกัน 3 วงศ์ คอื Rosaceae, Leguminosae และ
Hamamelidaceae
รูปวธิำนแยกวงศ์
1. รังไข่เหนอืวงกลบี (superior ovary)
2. ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี(actinomorphic flower)
3. ผลเป็นฝักแบบถั่ว (legume) เกสรเพศเมยีมรีังไข่ช่องเดยีว 2.1. Fabaceae (Mimosoideae)
3.ผลเป็นแบบผลเมล็ดแข็ง(drupe)หรอืผลมเีนื้อหล�ยเมล็ด(berry)เกสรเพศเมยีมชี่องเดยีวหรอืหล�ยช่อง
1. Rosaceae (บำงสกุล)
2. ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง (zygomorphic flower) ผลเป็นแบบฝักถั่ว
4. ดอกแบบ caesalpinaceous 2.2. Fabaceae (Caesalpinioideae)
4. ดอกแบบ papilionaceous 2.3. Fabaceae (Papilionoideae)
1. รังไข่กึ่งใต้วงกลบี (half-inferior ovary) หรอืรังไข่ใต้วงกลบี (inferior ovary)
5. ใบเดี่ยว หรอืใบประกอบ มักมหีูใบ ดอก bisexual รังไข่มจีำ�นวน 2 หรอืม�กกว่� แยกจ�กกันหรอืเชื่อมตดิกัน
เมล็ดไม่ม ีendosperm 1. Rosaceae (บำงสกุล)
5. ใบเดี่ยว ไม่มหีูใบ ดอก unisexual รังไข่มจีำ�นวน 2 หรอืม�กกว่� เชื่อมตดิกัน ผลเป็นแบบ capsule มสีองช่อง
เปลอืกแข็ง เมล็ดม ีendosperm 3. Hamamelidaceae
108 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
109
ส้�นดิน
Dillenia hookeri Pierre
(Dilleniaceae)
รสสุคนธ์
Tetracera loureireii (Finet & Gagnep.) Pierre ex Craib
(Dilleniaceae)
กระทิง
Calophyllum inophyllum L.
(Calophyllaceae)
ติ้วข�ว
Cratoxylum formosum (Jacq.) Benth. & Hook.f. ex
Dyer
(Hypericaceae)
ภ�พที่ 26
สะบ้�ลิง
Entada glandulosa Pierre ex Gagnep.
(Fabaceae)
อรพิม
Lysiphyllum winitii (Craib) de Wit
(Fabaceae)
เสี้ยวภูลังก�
Phanera nakhonphanomensis (Chatan) Mackinder &
R. Clarke
(Fabaceae)
กระเบ�กลัก
Hydnocarpus ilicifolia King
(Flocourtiaceae)
ภ�พที่ 25
110 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
111
1. วงศ์กุหลำบ Rosaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบ ตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก มักเป็นแบบ
bisexual, regular ส่วนม�ก perigynous กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันเป็นถ้วย ม ี5 กลบี ด้�นในมจี�นดอก (disc) กลบีดอก
มจีำ�นวน 5 กลบี ตดิอยู่บน disc เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก โค้งอยู่ในดอกตูม รังไข่มอีันเดยีวหรอืหล�ยอัน แยกหรอื
เชื่อมตดิกัน และเชื่อมตดิกับถ้วยดอก (hypanthium) รังไข่แต่ละช่องมไีข่ 2 เมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว หรอื
หล�ยอัน ผล เป็นแบบแอปเปิ้ล (pome) หรอืผลแห้งเมล็ดล่อน (achene) เมล็ดม ีendosperm น้อยหรอืไม่มี
พชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 120 สกุล ส่วนม�กเป็นพชืเขตอบอุ่นเหนอื ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบมอียู่ด้วย
กัน 21 สกุล 61 ชนดิ สกุลที่มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิก็คอื Prunus, Rosa, Parinari และ Rubus
สกุลพชืที่อยู่ในเขตอบอุ่นเหนอืที่มเีขตก�รกระจ�ยพันธุ์เข้�ม�ถงึประเทศไทย ส่วนม�กพบต�มเทอืกเข�ใน
ระดับสูง เช่น สกุล Sorbus (2 ชนดิ) Cotoneaster (1 ชนดิ) Docynia (1 ชนดิ) Rubus (23 ชนดิ) Duchesnea (1 ชนดิ)
Potentilla (1 ชนดิ) Agrimona (1 ชนดิ) Rosa (6 ชนดิ) และ Prunus (8 ชนดิ) ชนดิที่เป็นพชืเขตอบอุ่นที่แท้จรงิเพยีงชนดิ
เดยีว คอื น�งพญ�เสอืโคร่ง P. cerasoides D. Don
พชืที่เป็นไม้ต้นในสกุล Parinari เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. ในผลมนีำ�้มัน คอื หมักมื่อ P. anamense Hance
สกุล Prunus นูดต้น P. arborea (Blume) Kalkman เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ไม้ชนดินี้เปลอืกมกีลิ่นหอมฉุน
นอกจ�กนี้มพีรรณไม้ที่เป็นไม้ผล ได้แก่ สตรอเบอรี่ Fragaria x ananassa Duchesne ท้อ Prunus persica
(L.) Batsch ส�ลี่ Pyrus pyrifolia (Burm.f.) Nakai แอปเปิ้ล Malus sp. มมี�กกว่� 1,000 พันธุ์ปลูก (cultivar)
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 2(1): 31-74. 1970.)
2. วงศ์ถั่ว Fabaceae (Leguminosae)
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้ล้มลุก ใบ เรยีงสลับ มักเป็นชนดิใบประกอบแบบส�มใบ (trifoliate) หรอื ใบประกอบ
แบบขนนก (pinnate) มหีูใบ ดอก ใหญ่หรอืเล็ก regular หรอื irregular ส่วนม�ก bisexual ช่อดอกแบบ raceme หรอื
panicle กลบีเลี้ยงส่วนม�กมจีำ�นวน 5 กลบี (ห�ย�กที่มจีำ�นวน 4 กลบี) แยกหรอืเชื่อมตดิกัน กลบีดอกมจีำ�นวน 5
กลบี บ�งทนี้อยกว่� ห�ย�กที่ไม่มเีลย เกสรเพศผู้ต�มปกตมิจีำ�นวน 10 บ�งทมีนี้อยกว่� ห�ย�กที่มจีำ�นวนม�ก
เกสรเพศเมยีมอีันเดยีว รังไข่ superior มักมกี้�นส่ง (gynophore) ไข่มเีมล็ดเดยีวหรอืหล�ยเมล็ด ผล ต�มปกตเิป็น
ชนดิฝักแบบถั่ว (legume) แยกออกจ�กกันหรอืไม่แยก เมล็ดมเีมล็ดเดยีวหรอืหล�ยเมล็ด
พชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 550 สกุลทั่วโลก ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบม ี 95 สกุล พชืวงศ์นี้นับได้ว่�มี
สม�ชกิม�กเป็นที่ส�มของพชืต่�ง ๆ ในโลก รองลงม�จ�กวงศ์ท�นตะวัน Compositae และวงศ์กล้วยไม้ Orchidaceae
ต�มปกตนิักพฤกษศ�สตร์ได้จำ�แนกวงศ์นี้ออกไปเป็น 3 วงศ์ย่อย (sub-families) หรอืบ�งทกี็ได้ยกฐ�นะขึ้นเป็นวงศ์
ต่�งห�ก 3 วงศ์ด้วยกัน แต่ในที่นี้จะแยกเป็ยวงศ์ย่อย
รูปวธิำนแยกวงศ์ย่อย
1. ดอก actinomorphic กลบีเลี้ยงและกลบีดอกเรยีงจรดกัน (valvate) เมื่อดอกยังตูม 2.1. Mimosoideae
1. ดอก Zygomorphic กลบีดอกส่วนม�กเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) เมื่อดอกยังตูม
ย�งเหียง
Dipterocarpus obtusifolius Teijsm. Ex Miq.
(Dipterocarpaceae)
พันจำ�
Vatica odorata (Griff.) Symington
(Dipterocarpaceae)
ตะเคียนทอง
Hopea odorata Roxb.
(Dipterocarpaceae)
เคี่ยม
Cotylelobium lanceolatum Craib
(Dipterocarpaceae)
ภ�พที่ 27
112 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
113 สกุล Archidendron เป็นไม้ต้นขน�ดเล็ก ในประเทศไทยม ี9 ชนดิ ที่เป็นไม้หวงห้�มได้แก่ เนยีง A. jiringa
(Jack) Nielsen เนยีงนก A. bubalium (Jack) Nielsen
สกุล Entada เป็นไม้เถ� ในประเทศไทยม ี3 ชนดิ คอื สะบ้� E. glandulosa Pierre ex Gagnep. สะบ้� E.
rheedii Spreng, E. spiralis Ridl.
สกุล Xylia มชีนดิเดยีวคอื แดง X. xylocarp (Roxb.) Taub. var. kerrii (Craib & Hutch.) Nielsen
สกุล Albizia มหีล�ยชนดิ ที่เป็นไม้หวงห้�มม ี3 ชนดิ พฤกษ์ A. lebbeck (L.) Benth. ค�ง A. odoratissima
(L.f.) Benth. และ ถ่อน A. procera (Roxb.) Benth. เป็นต้น
สกุล Adenanthera มพีบอยู่ 2 ชนดิ คอื มะกลำ่�ต้น ไพเงนิกำ่� A. pavonina L. var. pavonina และ A. pavonina
L. var. microsperma (Teijsm. & Binn.) Nielsen
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 4(2): 131-222. 1970.)
2. วงศ์ย่อยรำชพฤกษ์ Caesalpinioideae
ส่วนม�กเป็นไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ มักเป็นใบประกอบแบบขนนกชัน้เดยีว หรอื 2 ชัน้ (pinnate หรอื
bipinnate) ห�ย�กที่เป็นใบเดี่ยว ดอก ใหญ่ หรอืเล็ก ออกเป็นช่อกระจะ (raceme) หรอื ช่อเชงิลด (spike) กลบีดอก
มจีำ�นวน 5 กลบี (หรอืบ�งทลีดจำ�นวนลงน้อยกว่� ในสกุล Bauhinia บ�งชนดิ และสกุล Crudia ไม่มกีลบีดอกเลย)
กลบีบนสุดเรยีงอยู่รอบในสุด เกสรเพศผู้ส่วนม�กมจีำ�นวน 10 บ�งทมีจีำ�นวนน้อยกว่� ห�ย�กที่ไม่มเีลย แยกหรอื
เชื่อมตดิกันเป็นท่อ ผล แยกจ�กกัน มักมกี้�น
ในวงศ์ย่อยนี้ประกอบด้วยพชืสกุลต่�ง ๆ ที่เป็นไม้หวงห้�มอยู่ 13 สกุล คอื สกุล Afzelia, Bauhinia,
Caesalpinia, Cassia, Crudia, Cynometra, Dialium, Intsia, Koompassia, Peltophorum, Saraca, Sindora และ
Tamarindus
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบเดี่ยว ปล�ยใบหยักลกึหรอืลกึถงึโคนใบ Bauhinia
1. ใบประกอบแบบขนนกชัน้เดยีว หรอื 2 ชัน้
2. ใบประกอบแบบขนนกชัน้เดยีว
3. ใบยอดเดี่ยว
4. กลบีดอกม ี5 กลบี ผลมปีีก Koompassia
4. ไม่มกีลบีดอก ผลไม่มปีีก
5. กลบีเลี้ยงม ี5 เกสรเพศผู้ม ี2 ไข่อ่อนม ี2 ผลค่อนข้�งกลมแกมรูปไข่ แก่ไม่แตก ม ี1 เมล็ด Dialium
5. กลบีเลี้ยงม ี4 เกสรเพศผู้ม ี10-6 ไข่อ่อนม ี6-1 ผลแบน กลมหรอืรูปไข่แกมร ีแก่แตก ม3ี-1 เมล็ด Crudia
3. ใบยอดคู่
2. กลบีดอกเป็นแบบ caesalpinaceous คอื กลบีบนสุดเรยีงอยู่รอบในสุด กลบีดอกมจีำ�นวน 5 กลบีและแยก
จ�กกัน 2.2. Caesalpinioideae
2. กลบีดอกเป็นแบบ papilionaceous คอื กลบีบนสุดเรยีงอยู่รอบนอกสุด กลบีดอกคู่ล่�งมักจะเชื่อมประส�นกัน
ท�งด้�นล่�ง 2.3. Papilionoideae
1. วงศ์ย่อยแดง Mimosoideae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ ส่วนม�กเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชัน้ (bipinnate) ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี(regular)
เล็ก อยู่รวมกันแน่นเป็นก้อน หรอืเป็นช่อย�วแบบ spike เกสรเพศผู้ม ี 10 ถงึ 14 แยกหรอืเชื่อมตดิกันเป็นท่อ ผล
ส่วนม�กมกี้�น
ในวงศ์ย่อยนี้ประกอบด้วยพชืสกุลต่�ง ๆ ที่มคีว�มสำ�คัญ คอื สกุล Acacia, Adenanthera, Albizia, Entada,
Parkia, Archidendron และ Xylia
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ดอกเรยีงชดิตดิกันเป็นกระจุกแน่น (head) หรอืเป็นช่อแยกแขนง (panicle)
2. ดอกเป็นกระจุกแน่น และมกี้�นช่อย�วห้อยลงตรงปล�ยกิ่ง Parkia
2. ก้�นดอกเป็นช่อแยกแขนง
3. แกนกล�งใบ (rachis) กิ่งและลำ�ต้นมหีน�ม Acacia
3. แกนกล�งใบ กิ่ง และลำ�ต้นไม่มหีน�ม
4. ผลบดิเวยีนเป็นก้นหอย ผวิหน�คล้�ยแผ่นหนัง ใบย่อยตดิตรงข้�มกัน Archidendron
4. ผลตรง
5. ผลแคบย�วหน�คล้�ยแผ่นหนัง Albizia
5. ผลกว้�งย�วพอกัน แข็ง Xylia
1. ดอกเรยีงชดิตดิกันเป็นช่อย�วแบบ spike
6. ไม้เถ� เนื้อแข็ง ผลกว้�งและย�วม�ก โค้ง แก่จัดหักหลุดเป็นข้อ ๆ เมล็ดสนีำ�้ต�ล Entada
6. ไม้ต้น ผลแคบย�วบดิเวยีนเป็นก้นหอย เมล็ดเป็นมัน สแีดง หรอืแดงจุดดำ� Adenanthera
สกุล Parkia ในประเทศไทยม ี4 ชนดิด้วยกัน แต่ละชนดิเป็นไม้ต้นสูงใหญ่ ลำ�ต้นตรง เนื้อไม้ค่อนข้�งอ่อน
สชีมพูแกมนำ�้ต�ล ส่วนม�กเรยีกชื่อว่� สะตอ P. speciosa Hassk., P. leiophylla Kurz, P. sumatrana Miq. อกีชนดิ
หนึ่งพบท�งภ�คใต้เรยีกกันว่� เหรยีง P. timoriana (DC.) Merr. ทุกชนดิเมล็ดรับประท�นได้
สกุล Acacia ส่วนม�กเป็นไม้เถ� ที่เป็นไม้ต้นและใช้ประโยชน์เนื้อไม้ก็ม ีกระถนิพมิ�น A. tomentosa Willd.
แฉลบข�ว A. leucophloea (Roxb.) Willd. และ สเีสยีดแก่น A. catechu (L.f.) Willd.
114 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
115Schum. เนื้อไม้ใช้ทำ�เฟอร์นเิจอร์
สกุล Cynometra ใช้เนื้อไม้ในก�รก่อสร้�ง คอื มะคะ C. ramiflora L.
สกุล Dialium เป็นไม้ต้นมหีล�ยชนดิ เนื้อไม้แข็งหนักใช้ในก�รก่อสร้�ง ผลรับประท�นได้ เช่น หย ีเชลง D.
cochinchinense Pierre หยที้องบึ้ง D. platysepalum Bak. เป็นต้น
สกุล Intsia พบขึ้นทั่วไปท�งภ�คใต้ เนื้อไม้คล้�ยไม้ มะค่�โมง นยิมใช้กันม�กท�งภ�คใต้ คอื หลุมพอ I.
palembanica Miq. ที่พบต�มป่�ช�ยห�ด และด้�นหลังป่�ช�ยเลน คอื หลุมพอทะเล I. bijuga (Colebr.) O. Kuntze
สกุล Koompassia เป็นไม้ต้นสูงใหญ่ ลำ�ต้นตรง เนื้อไม้ทนท�นพอสมควร เช่น ไม้ยวน K. excelsa (Becc.)
Taubert หรอื ยวนแหล K. malaccensis Maingay ex Benth.
สกุล Peltophorum ม ีนนทร ีP. pterocarpum (DC.) Back. ex K. Heyne และ อะร�ง หรอื ค�งฮุง P. dasyr-
achis (Miq.) Kurz เนื้อไม้สนีำ�้ต�ลแกมชมพู ใช้ในก�รก่อสร้�ง
สกุล Saraca คอื โสก ม ี3 ชนดิ ส่วนม�กเป็นไม้ต้นขน�ดกล�ง มักปลูกเป็นไม้ประดับ เช่น โสกนำ�้ S. indi-
ca L. โสกเหลอืง S. thaipingensis Cantley ex Prain และโสกเข� S. declinata (Jack) Miq.
สกุล Sindora เป็นไม้ต้นขน�ดใหญ่ ลำ�ต้นตรง เปลอืกเรยีบ เรอืนยอดแผ่กว้�ง และแบนร�บ ที่พบขึ้นใน
ป่�ดบิแล้งคอื มะค่�แต้ S. siamensis Teijsm. ex Miq. ผลมหีน�มหรอืไม่ม ี ที่พบขึ้นต�มป่�ดบิชื้นนัน้ ชนดิที่ผลมี
หน�มแหลมเรยีกว่� มะค่� หรอื ข�น�ง S. echinocalyx Prain ชนดิที่ไม่มหีน�มหรอืหน�มน้อย เรยีกกันว่� อ้�ยกลิ้ง
S. coriacea (Bak.) Prain
สกุล Tamarindus มเีพยีงชนดิเดยีว คอื มะข�ม T. indica L.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand. Vol. 4(1): 1-129. 1984.)
3. วงศ์ย่อยประดู่ Papilionoideae
ไม้ต้น หรอื ไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว มเีส้นใบแบบนิ้วมอื (palmate) หรอืเป็นใบประกอบแบบขนนกชัน้เดยีว ดอก
สมม�ตรด้�นข้�ง (zygomorphic) แบบดอกถั่ว papilionaceous กลบีดอกมจีำ�นวน 5 กลบี ขน�ดไม่เท่�กัน กลบีบน
สุดใหญ่สุด เรยีกว่� stand สองกลบีข้�ง ๆขน�ดเล็กกว่� และมักจะกิ่วคอดตอนโคน เรยีกว่� wings กลบีคู่ล่�งสุด
มักกิ่วคอดตอนโคนและเชื่อมประส�นกันเป็นรูปท้องเรอืเรยีกว่� keel เกสรเพศผู้ต�มปกตมิจีำ�นวน 10 เชื่อมตดิกัน
สองกลุ่ม (diadelphous) (กลุ่มหนึ่งม ี9 อกีกลุ่มหนึ่งมอีันเดยีว) หรอืกลุ่มเดยีว (monadelphous) หรอืห�ย�กที่แยก
จ�กกัน ผล แก่แตก หรอืไม่แตก ไม่มกี้�นหรอืมี
พชืในวงศ์ย่อยนี้มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิเป็นอย่�งม�ก เพร�ะมมี�กสกุล เช่น ถั่วชนดิต่�ง ๆ ที่มนุษย์ใช้เป็น
อ�ห�ร อยู่ในสกุล Arachis, Canavalia, Vigna, Vicia, Physeolus, Dolichos, Cajanus และ Glycine เป็นต้น ที่ใช้เป็น
ย�รักษ�โรคและปร�บศัตรูพชืคอื พชืในสกุล Derris, Sophora, Crotalaria ที่ใช้เนื้อไม้ในก�รก่อสร้�ง ซึ่งนับว่�เป็น
ประโยชน์โดยตรงท�งก�รป่�ไม้ คอืไม้ในสกุล Dalbergia, Millettia, Antheroporum และ Pterocarpus
6. ไม่มกีลบีดอก ฐ�นดอกย�ว กลบีเลี้ยงม ี4 คล้�ยกลบีดอก สแีดงหรอืออกเหลอืง Saraca
6. มกีลบีดอก
7. กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกันในต�ดอก ฐ�นดอกสัน้ม�ก กลบีดอกม ี 1 เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ม ี9 นอกนัน้เป็นหมัน
ผลมักมหีน�ม เมล็ดมเีนื้อ Sindora
7. กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนเหลื่อมกันในต�ดอก
8. อับเรณูเปิดโดยรูกลม หรอืรอยแตกสัน้ ๆ ผลแคบย�ว แก่จัดสดีำ� Cassia
8. อับเรณูเปิดโดยรอยแตกย�ว
9. เกสรเพศผู้ม ี3 หรอืน้อยกว่�
10. กลบีดอกม ี3 กลบีใหญ่ 2 กลบีเล็ก ใบย่อยม ี18-10 คู่ ใบย่อยย�วถงึ 3 ซม. Tamarindus
10. กลบีดอกม ี1 ใบย่อยม ี5-2 คู่ ใบย่อยย�วกว่� 4 ซม. Intsia
9. เกสรเพศผู้ม ี7 หรอืม�กกว่�
11. มใีบประดับย่อยย�ว 9-6 มม เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ม ี 7 กลบีดอกม ี 1 ผลแข็ง หน� 7 -5 มม. กว้�ง
9-7 ซม. ย�ว 20-15 ซม. เมล็ดมเีนื้อ Afzelia
11. ใบประดับหลุดร่วง เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ม ี10 เกสรเพศผู้แยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกันแค่โคน
Cynometra
2. ใบประกอบแบบขนนกสองชัน้
12. กลบีเลี้ยงและกลบีดอกขน�ดไม่เท่�กัน ยอดเกสรเพศเมยีเป็นตุ่ม ผลที่ขอบมปีีกเป็นครบีย�วตลอด ใบย่อยตดิ
ตรงข้�ม ม ี22-6 คู่ กว้�ง 8-5 มม. ย�ว 55-12 มม. Peltophorum
12. กลบีเลี้ยงขน�ดไม่เท่�กัน กลบีดอกขน�ดเท่�หรอืไม่เท่�กัน ยอดเกสรเพศเมยีไม่เป็นตุ่ม ผลไม่มปีีก หรอืมทีี่
ขอบเฉพ�ะตอนบน ใบย่อยตดิตรงข้�มหรอืเรยีงสลับ ม ี20-2 คู่ กว้�ง 6-0.5 ซม. ย�ว 10-1 ซม.
Caesalpinia
สกุล Afzelia มเีพยีงชนดิเดยีวคอื มะค่�โมง A. xylocarpa (Kurz.) Craib
สกุล Bauhinia ที่เป็นไม้เถ�นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับกันบ้�ง เช่น คิ้วน�ง หรอื อรพมิ B. winitii Craib ที่เป็น
ไม้ต้น ชงโค B. variegate L.
สกุล Caesalpinia เป็นไม้เถ�มหีน�ม ใช้เนื้อไม้ย้อมสผี้� คอื ฝ�ง C. sappan L.
สกุล Cassia เป็นไม้ต้น หรอืไม้ล้มลุก ที่ใช้เป็นสมุนไพร คอื ชุมเห็ด C. occidentalis L. ชุมเห็ดเทศ C. alata
L. ร�ชพฤกษ์ หรอื คูน C. fistula L. ชัยพฤกษ์ C. bakeriana Craib ขี้เหล็กเลอืด C. timoriensis DC. ที่ใช้เนื้อไม้ม ีขี้
เหล็กบ้�น C. siamea Lamk. และ แสมส�ร C. garrettiana Craib
สกุล Crudia เป็นไม้ต้นขน�ดเล็กถงึขน�ดกล�ง ใช้ผลเป็นสมุนไพร คอื สะดอื C. chrysantha (Pierre) K.
116 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
117 พชืในอันดับนี้ประกอบด้วยพชืวงศ์ต่�ง ๆ 9 วงศ์ด้วยกัน วงศ์ที่จะกล่�วถงึมอียู่ 2 วงศ์ คอื Achariaceae
และ Datiscaceae
1. วงศ์กะเบำ Achariaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ลำ�ต้นตรง หรอืเป็นเถ� ใบ ตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก regular เล็ก ส่วนม�ก unisexual
ออกเป็นช่อกระขุก (cyme) กลบีเลี้ยงม ี2 ถงึ 8 กลบีดอกจำ�นวนเท่�กับกลบีเลี้ยง หรอืบ�งทลีดจำ�นวนลง เกสรเพศ
ผู้จำ�นวนม�ก แยกหรอืตดิเป็นกลุ่ม บ�งครัง้เป็นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน (staminodes) รังไข่ superior ห�ย�กที่เป็น
half-inferior ม ี 10-2 ค�ร์เพล รังไข่มชี่องเดยีว ไข่มจีำ�นวนม�กตดิบน placenta ชนดิ parietal ก้�นเกสรเพศเมยี
(style) มแีฉกเดยีวหรอืหล�ยแฉก ผล เป็นชนดิ baccate หรอื capsule เมล็ดมัน มเียื่อหุ้ม และม ีendosperm
พชืในวงศ์นี้มมี�กกว่� 80 สกุล ส่วนม�กเป็นพชืในเขตร้อน ในประเทศไทยเท่�ที่ได้สำ�รวจพบมอียู่ด้วยกัน
4 สกุล แต่ที่มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิป่�ไม้มอียู่ด้วยกันเพยีง 1 สกุล คอืสกุล Hydnocarpus ได้แก่ กะเบ� ชนดิต่�ง ๆ ที่
เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. คอื กะเบ�นำ�้ หรอืกะเบ�ใหญ่ H. anthelminthicus Pierre ex Laness. เมล็ดให้นำ�้มัน
กะเบ� (Chaulmogra oil) ใช้เป็นย�รักษ�โรคเรื้อน (ดูร�ยละเอียดเพิม่เตมิในหนังสือ Flora of Thailand Vol. 13(1):
1-17)
2. วงศ์สมพง Datiscaceae
ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบ ตดิเรยีงสลับ ไม่มหีูใบ ดอก เล็ก เพศเดยีว (unisexual) ออก
เป็นช่อแยกแขนง (panicle) กลบีเลี้ยง 9-4 กลบีดอก 9-4 หรอืไม่มเีลย เกสรเพศผู้ม ี4 ถงึจำ�นวนม�ก แยกจ�กกัน
รังไข่ inferior ม ี4-3 ค�ร์เพล รังไข่มชี่องเดยีว ไข่มจีำ�นวนม�กตดิอยู่บน placenta ชนดิ parietal ผล capsule เป็นช่อง
ตรงปล�ยผล เมล็ดขน�ดเล็กม�ก ไม่ม ีendosperm
พชืในวงศ์นี้มอียู่ด้วยกันเพยีง 3 สกุลเท่�นัน้ในโลก สกุลหนึ่งเป็นพันธุ์พชืประจำ�ทวปีอเมรกิ�เขตร้อน อกี 2
สกุลเป็นพชืของทวปีเอเซยี ในประเทศไทยพบขึ้นอยู่เพยีงสกุลเดยีวคอื Tetrameles พันธุ์ไม้สกุลนี้มอียู่เพยีงชนดิ
เดยีวในโลก คอื งุ้น กะพง หรอื สมพง T. nudiflora R. Br. ex Benn. เป็นไม้ต้นขน�ดใหญ่ มพีูพอนใหญ่ เปลอืกเรยีบ
พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆไปในประเทศไทย โดยเฉพ�ะต�มเข�หนิปูน เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 95-100. 1994.)
4. อันดับ Guttiferales
ดอก ส่วนม�ก bisexual และ actinomorphic มกีลบีดอก เกสรเพศผู้มักจะมจีำ�นวนม�ก เรยีงกันอยู่เป็น
หล�ยชัน้ แยกหรอืเชื่อมตดิกันอยู่ในลักษณะต่�ง ๆ เกสรเพศเมยีแยกจ�กกัน แต่โดยม�กแล้วเชื่อมตดิกัน ม ีplacenta
แบบ axile (บ�งทกี็เป็นชนดิ parietal) รังไข่ส่วนม�ก superior เมล็ดม ีendosperm มมี�ก น้อย หรอืไม่มเีลย ใบ ส่วน
ม�กตดิเรยีงสลับ และเป็นพชืที่มเีนื้อไม้
พชืในอันดับนี้ประกอบด้วยวงศ์ต่�ง ๆ 8 วงศ์ด้วยกัน พบขึ้นอยู่ในประเทศไทยทัง้สิ้น แต่ที่มคีุณค่�ท�ง
เศรษฐกจิคอื วงศ์ Dilleniaceae, Guttiferae, Theaceae และ Dipterocarpaceae
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบย่อยตดิเรยีงสลับ
2. ผลกลมแบน มปีีกโดยรอบ (samara) Pterocarpus
2. ผลแบนแคบย�ว Dalbergia
1. ใบย่อยตดิตรงข้�ม ขอบของฝักทัง้สองข้�งเป็นสันหน� Millettia
สกุล ประดู่ Pterocarpus มลีักษณะเด่น คอื ฝักมลีักษณะเป็นครบีกลมคล้�ยรูปโล่ เมล็ดอยู่ตรงกล�งฝักซึ่ง
พอง หน�และแข็ง ส่วนรอบ ๆ เมล็ดจะบ�งคล้�ยเป็นปีกรอบ ประเทศไทยม ี2 ชนดิ คอื ประดู่บ้�น P. indicus Willd.
เปลอืกลำ�ต้นแตกเป็นแผ่นบ�ง ๆ กิ่งย�วห้อยย้อยลง ฝักขน�ด 4.5-3 ซม. และประดู่ป่� P. macrocarpus Kurz
เปลอืกลำ�ต้นแตกเป็นร่องลกึ ปล�ยกิ่งมักชี้ขึ้น ฝักขน�ด 10-6 ซม.
สกุล ชงิชัน Dalbergia ฝักจะย�วและเมล็ดเรยีงต�มย�วของฝัก ไม้ที่มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิ ได้แก่ พะยุง D.
cochinchinensis Pierre ชงิชัน D. oliveri Gamble เก็ดดำ� D. cultrata Craib
สกุล กระพี้เข�คว�ย Millettia ฝักจะเป็นรูปขอบขน�น เปลอืกฝักหน�แข็ง ขอบของฝักเป็นสันหน� ไม้ที่
สำ�คัญคอื แซะ M. atropurpurea Benth. กระพี้เข�คว�ย หรอื ขะเจ�ะ M. leucantha Kurz สะท้อน หรอื ส�ธร M.
pendula Benth. (ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 26-28. 1994.)
3. วงศ์สบ กระตุก Hamamelidaceae
ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก ส่วนม�กเป็นดอกเพศเดยีว ออกเป็นช่อแบบ raceme,
spike หรอืรวมเป็นกระจุก (capitae) กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมจีำ�นวน 4 ถงึ 5 กลบี กลบีดอกมักลดขน�ดลง หรอื
บ�งทกี็ไม่ม ี เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 4 หรอืม�กกว่� เรยีงอยู่ชัน้เดยีว รังไข่กึ่งใต้วงกลบี (half-inferior) หรอืใต้วงกลบี
(inferior) มี 2 ค�ร์เพล 2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีว หรอืม�กกว่� ผล เป็นชนดิ capsule เปลอืกแข็งม�ก แตก
ออกเป็น 2 เสี่ยง เมล็ดม ีendosperm
พชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 23 สกุล ขึ้นอยู่ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของทวปีเอเซยี เท่�ที่สำ�รวจพบใน
ประเทศไทยนัน้มอียู่เพยีง 7 สกุล ที่สำ�คัญ คอื สกุล Altingia พบเพยีงชนดิเดยีว คอื A. siamensis Noranha ที่เรยีก
กันว่� ไม้หอม สบ หรอื กระตุก เป็นไม้ต้นขน�ดใหญ่ ขึ้นต�มรมิลำ�ธ�รในป่�ดบิเข�ทั่ว ๆ ไปในภ�คเหนอืและภ�ค
ตะวันออกเฉยีงเหนอื พันธุ์ไม้ชนดินี้ใบมกีลิ่นเหมอืนก�รบูน เนื้อไม้มกีลิ่นก�รบูนจ�ง ๆ
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 15: 1-14. 1985; Flora of Thailand 7(3): 400-
411. 2001; Thai Forest Bulletin (Botany) No. 31: 132-135. 2003; Thai Forest Bulletin (Botany) No. 43: 1-3. 2015)
3. อันดับ Passiflorales
ดอก ส่วนม�กเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual) ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมจีำ�นวน 5 กลบี ดอกแยกหรอืเชื่อม
ตดิกัน (เช่นในวงศ์ Cucurbitaceae) เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กหรอืน้อย รังไข่ตดิเหนอืวงกลบี (superior ovary) หรอืตดิ
ใต้วงกลบี (inferior ovary) เชื่อมตดิกันเป็นช่องเดยีว parietal placentation เมล็ดม ีendosperm ม�กหรอืน้อย หรอืๆ
ไม่มเีลย ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�ม หรอืตดิเรยีงสลับ โดยม�กมหีูใบ
118 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
119 5. ผลัดใบ ลำ�ต้นมรี�กคำ้�ตอนโคน ดอกออกเป็นช่อสัน้ ๆ แยกแขนงและอยู่เป็นกลุ่ม ออกพร้อมใบอ่อน
6. ม ี6-4 ค�ร์เพล ไม่มกีลบีดอก เกสรเพศผู้มคีว�มย�วไร่เรี่ยกัน ส้ำน D. grandifolia Wall.
6. ม ี10-9 ค�ร์เพล มกีลบีดอกแต่หลุดร่วงเมื่อดอกบ�น เกสรเพศผู้ม ี2 ขน�ด สำ้น D. reticulate King
5. ไม่ผลัดใบ ไม่มรี�กคำ�้ที่โคนต้น ดอกออกเดี่ยว ๆ หรอืช่อชนดิ raceme
7. ช่อดอกม ีดอก 12-3 ดอก ผลแตกแยกจ�กกัน ส้ำน D. excelsa Martelli
7. ดอกออกเดี่ยว ๆหรอืบ�งทเีป็นช่อม ี2 ดอก ผลไม่แตก
8. กลบีดอกสเีหลอืง ม ี (12-10(-8 ค�ร์เพล ผลโตเส้นผ่�นศูนย์กล�ง 6-5 ซม. ใบมขีนหน�แน่นและสัน้แข็ง
ท�งด้�นล่�ง ส้ำนใบเล็ก D. ovata Wall.
8. กลบีดอกสขี�ว ม ี20-14 ค�ร์เพล ผลโตเส้นผ่�นศูนย์กล�ง 10-8 ซม. ใบอย่�งม�กมขีนย�วท�งด้�นล่�ง
มะตำด หรอื ส้ำนป้ำว D. indica L.
2. วงศ์พะวำ มังคุด Guttiferae (ปัจจุบันแยกออกเป็น Clusiaceae,
Hypericaceae, Calophyllaceae)
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม เปลอืกมนีำ้�ย�งเหนยีวสเีหลอืง ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�ม เนื้อใบหน� ไม่มหีูใบ ดอก สมบูรณ์
เพศ หรอืเพศเดยีว กลบีเลี้ยงและกลบีดอกจำ�นวนอย่�งละ 5-4 เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก มักตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ รังไข่
ม ี5-3 ค�ร์เพล มชี่องเดยีวหรอืหล�ยช่อง axile placentation หรอื basal placentation โดยม�กแล้วบน placenta
หนึ่งมไีข่เมล็ดเดยีว หรอืสองส�มเมล็ด ยอดเกสรเพศเมยีเป็นรูปร่ม (peltate) ผล baccate หรอื drupe ไม่ม ี
endosperm
พืชในวงศ์นี้มปีระม�ณ 35 สกุล พบขึ้นทั่ว ๆ ไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมพีบอยู่ 7 สกุล แต่ชนดิที่มี
คุณค่�ท�งเศรษฐกจินัน้มอียู่เพยีง 4 สกุล
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ดอกเพศเดยีว ต่�งเพศต่�งต้น รังไข่ม ี12-2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีว Garcinia (Clusiaceae)
1. ดอกสมบูรณ์เพศ รังไข่ม ี1 หรอื 2 ช่อง
2. ใบมเีส้นแขนงใบถี่ รังไข่มชี่องเดยีวและมไีข่เมล็ดเดยีว
3. ใบมเีส้นเรยีบขอบใบ Mammea
3. ใบไม่มเีส้นเรยีบขอบใบ Calophyllum (Calophyllaceae)
2. ใบไม่เหมอืนข้�งบน หลังใบข�ว รังไข่ม ี2-1 ช่อง และมไีข่ 2-1 เมล็ด Mesua
1. วงศ์ส้ำน Dilleniaceae
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้เถ� ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว ตดิเรยีงสลับ ขอบเรยีบ หรอืจักหย�บเป็นซี่ฟัน
เส้นใบเด่นชัดขน�นกัน ไม่มหีูใบ ถ้�มกี็เชื่อมตดิกันกับก้�นใบ ช่อดอกมหีล�ยแบบแตกต่�งกันไปแต่ละสกุล ดอกเล็ก
หรอืขน�ดกล�ง ห�ย�กที่มขีน�ดใหญ่ สขี�ว หรอืเหลอืง ดอกสมบูรณ์เพศ ห�ย�กที่เป็นดอกเพศเดยีวและแยกกัน
อยู่คนละต้น กลบีเลี้ยง 5 เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) แน่น กลบีดอก 5 แยกจ�กกัน เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน เมื่อยัง
ไม่บ�นพับย่นยู่ยี่ เมื่อดอกบ�นจะหลุดร่วงไปโดยเร็ว เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กอยู่เหนอืเกสรเพศเมยี แยกจ�กกัน
หรอืเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ ตอนโคน ไม่หลุดร่วงไป และมักตดิค้�งอยู่จนเป็นผล รังไข่แยกจ�กกันหรอืเชื่อมประส�น
กันเล็กน้อย ห�ย�กที่มเีพยีงอันเดยีว ไข่มจีำ�นวนม�กหรอืมเีพยีงเมล็ดเดยีว อยู่ตรงพื้นล่�งของรังไข่ หรอืเรยีงเป็น 2
แถวต�มผนังท�งด้�นที่อยู่ต�มแนวแกนของดอก ก้�นเกสรเพศเมยี (style) แยกโค้งออกจ�กกัน แต่ละอันต่�งมยีอด
เกสรเพศเมยี ผล แตกแยกออกจ�กกัน หรอืมลีักษณะคล้�ย berry เมล็ดมจีำ�นวนน้อยหรอืเพยีงเมล็ดเดยีว มักจะมี
หงอนหรอืเยื่อเป็นฝอยหุ้ม
พชืในวงศ์นี้มอียู่ด้วยกันในโลก 18 สกุล ประม�ณ 530 ชนดิ ขึ้นอยู่ทั่ว ๆ ไปในเขตร้อนของโลก ใน
ประเทศไทยเท่�ที่ได้สำ�รวจพบมอียู่ด้วยกัน 3 สกุล คอื สกุล รสสุคนธ์ Tetracera เป็นไม้เถ�เนื้อแข็ง สกุล ส้�นเต่�
หรอื ปดขน Acrotrema มชีนดิเดยีว คอื A. costatum Jack
สกุล Dillenia ได้แก่ ส้�น ชนดิต่�ง ๆ เป็นไม้ต้นและไม้พุ่ม เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก.
รูปวธิำนแยกชนดิ
1. ดอกออกต�มปล�ยยอดกิ่งสัน้ ๆ มใีบประดับหุ้มดอกหล�ยอัน ออกก่อนหรอืพร้อมๆ กันกับใบอ่อน เป็นพชื
ผลัดใบ
2. ดอกมขีน�ดเล็ก เส้นผ่�นศูนย์กล�ง 5-2.5 ซม. ช่อหนึ่งม ี7-5 ดอก เกสรเพศเมยีมจีำ�นวน 8-5 ผลโตเส้นผ่�น
ศูนย์กล�ง 18-15 มม. (วัดรวมกลบีเลี้ยงที่หุ้มอยู่ด้วย)
3. กลบีเลี้ยงด้�นนอกเกลี้ยง ม ี6-)5) ค�ร์เพล ดอกโตเส้นผ่�นศูนย์กล�ง 3-2.5 ซม. ใบมขีนแนบกับแผ่นใบไป
ท�งด้�นล่�งและหลุดร่วงไป สำ้นหิ่ง D. pentagyna Roxb.
3. กลบีเลี้ยงด้�นนอกมขีนเป็นมันคล้�ยเส้นไหม รังไข่ จำ�นวน 8-5 ค�ร์เพล ดอกโตวัดผ่�นศูนย์กล�ง 5 ซม. ใบมี
ขนสัน้แข็งไปท�งด้�นล่�ง ส้ำนแคว้ง D. parviflora Griff.
2. ดอกมขีน�ดใหญ่ เส้นผ่�นศูนย์กล�ง 16-10 ซม. ช่อดอกม ี 3-1 ดอก ม ี 14-9 ค�ร์เพล ผลโต เส้นผ่�น
ศูนย์กล�ง (รวมกลบีเลี้ยง) 4-3 ซม.
4. ใบรูปไข่กลับ หรอืขอบขน�น เรยีวสอบและหยักเข้�ห�ก้�นใบไม่เท่�กันทัง้สองข้�ง ก้�นใบย�ว 6.5-3 ซม.
ดอกโตเส้นผ่�นศูนย์กล�ง 12-10 ซม. ก้�นดอกย�ว 12-5 ซม. ส้ำนหลวง D. aurea Smith
4. ใบรูปไข่กลับ ค่อย ๆ เรยีวสอบลงม�ห�ก้�นใบ ก้�นใบย�ว 4-1.5 ซม. ดอกโต เส้นผ่�นศูนย์กล�ง 16-14 ซม.
ก้�นดอกย�วอย่�งม�ก 4 ซม. ห�ย�กที่ย�วถงึ 5 ซม. ส้ำนใหญ่ D. obovata (Blume) Hoogl.
1. ดอกเดี่ยว หรอืเป็นช่อต�มปล�ยยอดกิ่งในชัน้แรก ต่อม�จะอยู่ตรงข้�มกับใบ บ�งทดีอกออกต�มง่�มใบเดี่ยว ๆ
หรอืเป็นกลุ่มละ 3-2 ดอก ไม้ผลัดใบหรอืไม่ผลัดใบ
120 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
121
4. วงศ์ยำง Dipterocarpaceae
ไม้ต้น ส่วนม�กมขีน�ดสูงใหญ่ เนื้อไม้มชีัน (resin) ใบเดี่ยว ตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual)
สมม�ตรต�มรัศม ี(regular) ออกเป็นช่อแยกแขนง (pinicle) กลบีเลี้ยงม ี5 แยกจ�กกันหรอืเชื่อมตดิกัน กลบีดอก 5
เรยีงสลบีเวยีนกัน แยกหรอืเชื่อมตดิกันเล็กน้อยที่โคน เกสรเพศผู้มจีำ�นวน 10 หรอืม�กกว่� ห�ย�กที่ม ี5 แยกจ�ก
กัน รังไข่ส่วนม�กม ี3 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 2 เมล็ดหรอืม�กกว่�ตดิอยู่บน placenta ชนดิ axile ก้�นเกสรเพศเมยีมัก
พองตอนโคนเรยีกว่� stylopodium ผล ส่วนม�กมเีมล็ดเดยีว ผวิแข็ง มักมปีีกจำ�นวน 3 ,2 หรอื 5 ปีก เกดิจ�กกลบี
เลี้ยงที่เจรญิขย�ยตัวในระยะที่เป็นผล เมล็ดไม่ม ีendosperm ใบเลี้ยงมักจะพับหรอืบดิ
พืชในวงศ์นี้มปีระม�ณ 25 สกุล ส่วนม�กอยู่ในทวปีเอเซยี ม ี3-1 สกุลในทวปีแอฟรกิ� ในประเทศไทยเท่�
ที่สำ�รวจพบมอียู่ด้วยกัน 9 สกุล ประม�ณ 50 ชนดิ
รูปวธิำนแยกชนดิ (อ�ศัยลักษณะของผล)
1. กลบีเลี้ยงเจรญิขย�ยออกไปเป็นปีกมขีน�ดไม่เท่�กัน
2. ปีกย�ว 2 ปีก สัน้ 3 ปีก
3. ปีกย�วมเีส้นเห็นชัด 3 เส้น
4. ถ้วยกลบีเลี้ยงไม่เชื่อมตดิกับผล Dipterocarpus
4. ถ้วยกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกับผล Anisoptera
3. ปีย�วมเีส้นเห็นชัด 7-5 เส้น
5. ปีกย�วมเีส้น 5 เส้น
6. ผลมขีนสัน้นุ่มปกคลุม เส้นแขนงใบโค้งจรดกันห่�งจ�กขอบใบเข้�ม� Cotylelobium
6. ผลเกลี้ยง เส้นใบเป็นแบบร่�งแห หรอืขัน้บันได Vatica
5. ปีกย�วมเีส้นอย่�งน้อย 7 เส้น Hopea
2. ปีกย�ว 3 ปีก สัน้ 2 ปีก Shorea
1. กลีบเลี้ยงเจรญิขย�ยออกไปเท่� ๆกันหรอืเกอืบเท่�กัน
7. กลบีเลี้ยงเจรญิเป็นปีก พ้นตัวผลออกไป โคนกลบีกิ่งเล็กเป็นก้�น Parashorea
7. กลบีเลี้ยงไม่เจรญิเป็นปีก
8. กลบีเลี้ยงเรยีงซ้อนสลับกันหรอืเชื่อมตดิกันเป็นกระทงหุ้มรอบผลหรอืเชื่อมตดิกับฐ�นของผล
9. กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกับผล Vatica stapfiana van Slorten
9. กลบีเลี้ยงไม่เชื่อมตดิกกับผล
10. ผลย�วประม�ณ 5 ซม. Balanocarpu
พรรณไม้สกุล Garcinia มมี�กชนดิ ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. คอื รง G. hanburyi Hook.f. นอกนัน้เป็นไม้
หวงห้�มประเภท ก. ที่ใช้ในก�รระกอบอ�ห�ร เช่น มะดัน G. schomburgkiana Pierre ชะมวง G. cowa Roxb. และ
ส้มพะงุน G. atroviridis Griff. สกุล Mammea คอื ส�รภ ีM. siamensis Kosterm. เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. สกุล
Calophyllum มมี�กชนดิเป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. เรยีกกันว่� พะอง และ ตังหน สกุล Mesua เป็นไม้หวงห้�มคอื
บุนน�ค หรอื น�คบุตร M. ferrea L. พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆไปจัดได้ว่�เป็นไม้ที่มเีนื้อแข็งและหนักที่สุดของ
ประเทศไทย
นอกจ�กนี้ยังม ีสกุล Cratoxylum (Hypericaceae) ไม้ต้น เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. พันธุ์ไม้ในสกุลนี้ส่วน
ม�กลำ�ต้นเมื่ออ�ยุยังน้อยอยู่มหีน�มแหลม เกดิจ�กกิ่งที่ได้แปรสภ�พไป ชนดิที่พบขึ้นทั่วไปต�มป่�เบญจพรรณคอื
ติ้ว Cratoxylum cochinchinensis Blume ติ้วข�ว C. formosum Dyer ที่พบต�มป่�ดบิม ีแต้ว C. maingayi Dyer ที่พบ
ต�มป่�พรุ คอื โงงงัง C. arborescens Blume
3. วงศ์ทะโล้ สำรภดีอย Theaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ตดิเรยีงสลับ ไม่มหีูใบ ดอก ส่วนม�กสมบูรณ์เพศ สมม�ตรต�มรัศม ี มักมใีบ
ประดับหุ้ม กลบีเลี้ยงและกลบีดอกต�มปกตมิจีำ�นวนชัน้ละ 5 ห�ย�กที่มจีำ�นวนม�กกว่�นี้ เกสรเพศผู้จำ�นวนม�ก
แยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ อับเรณูตดิกับก้�นเกสรเพศผู้ตรงโคนอับ หรอืแกว่งไปม�ได้ รังไข่มจีำ�นวน
5-3 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีวหรอืหล�ยเมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว หรอื 5-3 แฉก ผล เป็นชนดิ baccate
หรอื capsule เมล็ดม ีendosperm น้อย หรอืไม่มเีลย
พชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 35 สกุล ส่วนม�กเป็นพชืในเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่�ที่สำ�รวจพบมอียู่
9 สกุลด้วยกัน แต่ที่พบบ่อยตอื สกุล Schinma, Ternstroemia, Annesles และ Adinandra
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ผลสดชนดิ baccate อับเรณูตดิกับก้�นเกสรเพศผู้ที่โคนอับเรณู (basifixed)
2. รังไข่เหนือวงกลบี (superior ovary)
3. ใบตดิเวยีนสลับกัน อับเรณูเกลี้ยง ผลมเีมล็ดน้อย Ternstroemia
3. ใบตดิเรยีงสลับเป็น 2 แถว อับเรณูมขีน ผลมเีมล็ดม�ก Adinandra
2. รังไข่กึ่งใต้วงกลบี (half-inferior ovary) Anneslea
1. ผลแห้งชนดิ capsule เปลอืกแข็ง แก่แตก เมล็ดมปีีก อับเรณูตดิกับก้�นเกสรเพศผู้ที่กึ่งกล�ง
อับเรณูแกว่งไปม� (versatile) Schima
สกุล Adinandra เรียกกันว่� ตนีจำ�ดง มหีล�ยชนดิที่พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆ ไป สกุล Annelea มชีนดิเดยีวคอื
ส�รภดีอย หรอื โมงนั่ง A. fragrans Wall. สกุล Schima มชีนดิเดยีว คอื ทะโล้ หรอื ค�ยโซ่ S. wallichii Korth. เป็น
ไม้หวงห้�มประเภท ก. สกุล Camellia ช� หรอื เมี่ยง C. sinensis Kumtze var. assamica Kitam. เป็นพชืเศรษฐกจิ
122 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
123ตรงข้�มกับกลบีและมักเชื่อมตดิกับกลบี ส่วนอับเรณูแยกจ�กกัน รังไข่ superior ไข่มจีำ�นวนเมล็ดเดยีวหรอืหล�ย
เมล็ด ติดอยู่บน placenta ชนดิ parietal
พรรณไม้ในอันดับนี้มเีพยีงวงศ์เดยีว คอื Proteaceae มเีขตก�รกระจ�ยพันธุ์จำ�กัดอยู่แต่ท�งแถบใต้ของ
โลกเท่�นัน้
วงศ์เหมอืด Proteaceae
ไม้ต้น หรไืม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ออกเรยีงสลับ (บ�งทมีขีอบจักลกึม�ก) ไม่มหีูใบ ดอก bisexual หรอื unisexual
ออกเป็นช่อชนดิ receme หรอื spike กลบีเชื่อมตดิกันเป็นหลอด ปล�ยม ี4 กลบี ลักษณะคล้�ยกลบีดอก เกสรเพศ
ผู้มจีำ�นวน 4 อยู่ตรงข้�มกับกลบี และเชื่อมตดิกันกับกลบีนัน้ อับเรณูแยก รังไข่ superior มชี่องเดยีว ไข่มเีมล็ดเดยีว
หรอืหล�ยเมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีย�วม�ก ผลเป็นชนดิ drupe เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มอียู่ประม�ณ 55 สกุล ส่วนม�กอยู่ในทวปีออสเตรเลยีและแอฟรกิ�ใต้ มนี้อยในทวปี
อเมรกิ�เขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่ด้วยกันเพยีง 2 สกุล คอื Helicia ดอก bisexual ใบเดี่ยวมแีบบเดยีว และ
Heliciopsis ดอก unisexual ใบเดี่ยวมสีองแบบ (dimorphic)
ไม้ทั้งสองสกุลนี้เรยีกกันทั่ว ๆไปว่� เหมอืดคน ทัง้หมดมอียู่ด้วยกันประม�ณ 10 ชนดิ พันธุ์ไม้ออสเตรเลยี
ชนดิหนึ่งได้นำ�เข้�ม�ปลูกในประเทศไทยน�นม�แล้ว คอื สนอนิเดยี (หรอื Silky oak tree) Grevillea robusta A. Cunn.
ex R. Br.
6. อันดับ Amentiferae
ดอก ส่วนม�ก unisexual มักอยู่รวมกันเป็นช่อห้อยแบบห�งกระรอก (catkin) กลบี perianth มักไม่ม ีรังไข่
มักม ี2 ช่อง endosperm บ�งหรอืไม่ม ีใบ ออกเรยีงสลับ ห�ย�กที่ออก รอบกิ่ง ก�รผสมพันธุ์อ�ศัยลม
พันธุ์ไม้ในอันดับนี้ม ี5 วงศ์ มอียู่ทั่วไปในเขตอบอุ่นของโลก ในเขตร้อนมนี้อยชนดิ จะกล่�วถงึ 2 วงศ์ คอื
Casuarinaceae และ Fagaceae
1. วงศ์สนทะเล สนประดพิัทธ์ Casuarinaceae
ไม้ต้น กิ่งสเีขยีว เรยีว และหักหลุดเป็นข้อ ๆ ใบ จำ�นวน 16-4 เรยีงอยู่ในระดับเดยีวกันรอบกิ่ง ลดขน�ดลง
เป็นรูปเขี้ยว โคนใบเชื่อมตดิกัน ดอก unisexual เรยีงอยู่รอบแกนช่อดอก ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อเรยีว ดอกเพศเมยี
ออกรวมกันเป็นกลุ่มกลม ๆ ไม่มกีลบี perianth เลย มแีต่เพยีงก�บรองดอก ดอกเพศผู้มเีกสรเพศผู้เพยีงอันเดยีว
รังไข่ในชัน้แรกม ี2 ช่อง ต่อม�ลดลงเหลอืเพยีงช่องเดยีว ไข่จำ�นวน 2 เมล็ด แต่เจรญิเพยีงเมล็ดดยีว ผล รวมกัน
เป็นกระจุกคล้�ยผลของสนเข� แต่ละผลมขีน�ดเล็ก ผวิแข็งมปีีก มกี�บรองดอกแข็ง ๆ 2 อันหุ้มอยู่ เมล็ดไม่ม ี
endosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มอียู่เพยีงสกุลเดยีวในโลก ส่วนม�กเป็นพชืพื้นเมอืงของทวปีออสเตรเลยี ในประเทศไทย
พบขึ้นต�มป่�ช�ยห�ดที่เป็นทร�ยชนดิเดยีว คอื สนทะเล Casuarina equisetifolia J.R. Forster & G. Forster อกีชนดิ
คอื สนประดพิัทธ์ C. junghuhniana Miq. นัน้เป็นพันธุ์พชืต่�งประเทศได้นำ�เข้�ม�ปลูกกันกว่� 100 ปีม�แล้ว เข้�ใจ
ว่�จะเป็นพันธุ์ผสม เนื่องจ�กเมื่อนำ�เข้�ม�เป็นครัง้แรกนัน้เป็นต้นเพศผู้ พันธุ์ไม้ชนดินี้จงึแยกขย�ยพันธุ์ได้ด้วยก�ร
ตัดแยกร�กหรอืตอนกิ่งเท่�นัน้
10. ผลย�วประม�ณ 2 ซม. Hopea apiculata Sym.
8. กลบีเลี้ยงไม่เชื่อมตดิกันเป็นกระทงหุ้มรอบผล
11. กลบีเลี้ยงแข็งม�ก
12. กลบีเลี้ยงมนเป็นรูปหูหนู ก�งออกไปท�งแนวระดับ Shorea sumatrana Sym.
12. กลบีเลี้ยงหน�ไม่ก�งออกไปท�งแนวระดับ Vatica pauciflora (Korth.) Blume
11. กลบีหน�คล้�ยหนัง Vatica diospyroides Sym.
พรรณไม้ในวงศ์นี้ต่�งเป็นไม้ที่มคี่�ท�งเศรษฐกจิทุกชนดิ ยกเว้น จันทน์กะพ้อ Vatica diospyroides Sym.
ซึ่งเป็นไม้ยนืต้น ขน�ดเล็กถงึขน�ดกล�ง ปลูกเป็นไม้ประดับเพร�ะดอกมกีลิ่นหอมม�ก ชนดิที่เป็นไม้หวงห้�ม
ประเภท ข. คอื ตะเคยีนชันต�แมว Balanocrpus heirmii King เพื่อสงวนไว้เก็บห�ชันที่มคีุณสมบัตสิูงกว่�ชันชนดิอื่น
ๆ นอกนัน้เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก.
สกุล ย�ง Dipterocarpus พวกนี้มปีีกย�ว 2 ปีก มดี้วยกันประม�ณ 19 ชนดิ ชนดิที่ขึ้นในป่�เต็งรัง ได้แก่
เหยีง D. obtusifolius Teijsm. ex Miq. พลวง D. tubercultus Gaertn.f. และ กร�ด D. intricatus Dyer
สกุล กะบ�ก Anisoptera พวกนี้มปีีกย�ว 2 ปีก ต่�งจ�ก Dipterocarpus ที่ถ้วยรองกลบีดอกเชื่อมตดิก้�น
ผล มอียู่ด้วยกัน 5 ชนดิ เช่น A. costata Korth.
สกุล เต็ง Shorea พวกนี้มปีีกย�ว 3 ปีก ขึ้นอยู่ต�มป่�เต็งรัง มอียู่ด้วยกันประม�ณ 20 ชนดิ เช่น เต็ง S.
obtuse Wall. พะยอม S. roxburghii G. Don เป็นต้น
สกุล เคี่ยม Cotylelobium มอียู่เพยีงชนดิเดยีวเคอื C. melanoxylon Pierre มปีีกย�ว 2 ปีก ปีกย�วมเีส้น 5
เส้น
สกุล ตะเคยีน Hopea พวกนี้มปีีกย�ว 2 ปีก ปีกย�วมเีส้นอย่�งน้อย 7 เส้น มปีระม�ณ 16 ชนดิ เช่น ตะเคยีน
ทอง H. odorata Roxb. ตะเคยีนหนิ H. ferrea Laness. หงอนไก่บก หรอื กะบกกรัง H. helferi Brandis ชันภู่ H. reco-
pei Pierre ex Laness หมอร�น H. oblongifolia Dyer
สกุล ไข่เขยีว Parashorea มอียู่ชนดิเดยีว คอื P. stellata Kurz ปีก 5 ปีก เจรญิพ้นตัวผลออกไป โคนกลบี
กิ่วเล็กเป็นก้�น
สกุล พันจำ� Vatica มอียู่ด้วยกัน 7 ชนดิ เช่น จันทน์กะพ้อ V. diospyroides Sym. พวกนี้กลบีเลี้ยงไม่เจรญิ
เป็นปีก แต่เรยีงสลับกันหรอืเชื่อมตดิกันเป็นรย�งค์เชื่อมตดิก้�นผล
สกุล ตะเคยีนชันต�แมว Balanocarpus มชีนดิเดยีวคอื B. heimii King กลบีเลี้ยงไม่เจรญิเป็นปีก กลบีไม่
เชื่อมตดิกับผล
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 12: 1-133. 1979.)
5. อันดับ Proteales
ดอก bisexual หรอื unisexual ส่วนม�กมชีัน้ละ 4 กลบี perianth เหมอืนกลบีดอก เกสรเพศผู้จำ�นวน 4 อยู่
124 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
125
ก่อบังบ�ตร
Lithocarpus corneus (Lour.) Rehder
(Fagaceae)
ก่อด�น
Castanopsis purpurea Barnett
(Fagaceae)
ก่อหมวก
Quercus auricoma A. Camus
(Fagaceae)
ก่อส�มเหลี่ยม
Trigonobalanus doichangensis (A. Camus) Forman
(Fagaceae)
ภ�พที่ 28
2. วงศ์ก่อ Fagaceae
ไม้ต้น ใบ เดี่ยว ออกเรยีงสลับกัน ห�ย�กที่เรยีงอยู่รอบ ๆ กิ่ง มหีูใบแต่กลุดร่วงไปก่อนที่ใบจะเจรญิเต็มที่
ดอก เล็กม�ก unisexual อยู่บนช่อเดยีวกัน หรอืแยกกันอยู่คนละช่อ กลบี perianth มจีำ�นวน 6-4 กลบี เกสรเพศผู้
จำ�นวนน้อย รังไข่ inferior ม ี4-3 ช่อง ช่องหนึ่งมีไข่สองเมล็ด ผล เปลอืกแข็ง โดยม�กมเีมล็ดเดยีว มกี�บเป็นรูปถ้วย
(cupule) หุ้มอยู่ ก�บนี้มรีอยเป็นชัน้ ๆ มเีมล็ดเรยีงเป็นแถวหรอืมหีน�มแหลมอยู่ท�งด้�นนอก เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 8 สกุล ส่วนม�กเป็นไม้เขตอบอุ่นหรอืเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยเท่�ที่
สำ�รวจพบมอียู่ 4 สกุลด้วยกัน เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ทัง้สิ้น
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ดอกเพศผู้มักมเีกสรเพศเมยีเป็นหมัน (pistillodes) ปร�กฏอยู่ เกสรเพศผู้ส่วนม�กม ี 12 อับเรณูเล็กตดิกับก้�น
เกสรท�งด้�นหลัง หลอดเกสรเพศเมยีเป็นรูปท่อ ยอดเกสรเล็กม�ก ก�บรองผลหุ้มผลมดิ หรอืไม่มดิ
2. ก�บรองผลมักมหีน�มแหลม หุ้มผลมดิ เวล�แก่จัดจะแยกออกจ�กกัน ก�บหนึ่งมผีลจำ�นวน 3-1 ใบเรยีงสลับ
ท้องใบมเีกล็ดสนีำ�้ต�ลเป็นมัน Castanopsis
2. ก�บรองผลไม่มหีน�ม เป็นรูปถ้วยตื้นหรอืลกึ ก�บหนึ่งมผีลเพยีงผลเดยีว ท้องใบไม่มเีกล็ด ลักษณะเหมอืน
ข้�งบน Lithocarpus
1. ดอกเพศผู้ไม่มเีกสรเพศเมยีเป็นหมัน (pistillode) เกสรเพศผู้ม ี6 อับเรณูใหญ่กว่�ตดิกับก้�นท�งโคนอับ ก�บรอง
ผลไม่หุ้มมดิผล ขอบเรยีบหรอืหยักเว้�
3. ผลกลมเมื่อดูท�งรอยตัดต�มขว�ง ก�บรองผลมผีลอยู่เดี่ยว ๆ เป็นรูปถ้วยขอบไม่หยักเว้� Quercus
3. ผลเป็นรูปส�มเหลี่ยมเมื่อดูท�งรอยตัดต�มขว�ง ก�บรองผลมผีล 3-1 หรอืม�กกว่� และขอบหยัก
Trigonobalanus
พรรณไม้ในวงศ์นี้เรยีกกันทั่ว ๆไปว่� ก่อ เท่�ที่มอียู่ในประเทศไทยมจีำ�นวนกว่� 80 ชนดิ สกุลที่มสีม�ชกิ
ม�กที่สุดคอื Lithocarpus พบขึ้นตัง้แต่ในป่�ดบิพื้นร�บจนถงึป่�ดบิเข�ในระดับสูง บ�งชนดิพบขึ้นในป่�ดบิแล้ง เช่น
ก่อขี้หมู L. harmandii A. Camus พบท�งภ�คตะวันออกเฉยีงเหนอืและภ�คตะวันออก
ไม้ก่อในสกุล Castanopsis และ Lithocarpus มลีักษณะใกล้เคยีงกันม�ก แต่จะสังเกตดูได้ที่ท้องใบของ
สกุล Castanopsis นัน้ มเีกล็ดละเอยีดสนีำ�้ต�ลตดิแนบกับผวิดูเป็นมันเลื่อม ลักษณะนี้มปีระโยชน์ม�กในก�ร
วเิคร�ะห์เมื่อพรรณไม้ยังไม่มดีอกหรอืผล ช่อดอกของสองสกุลนี้ก็คล้�ยกันคอื บ�งทดีอกเพศผู้และเพศเมยีอยู่รวม
กันในช่อเดยีวกัน และช่อดอกตัง้ตรงออกต�มปล�ยกิ่ง หรอืต�มง่�มใบใกล้ปล�ยกิ่ง
ส่วนสกุล Quercus และ Trigonobalanus นัน้ ดอกทัง้สองเพศแยกกันอยู่คนละช่อ ดอกเพศเมยีในสกุล
Quercus มักจะสัน้ม�กและมนี้อยดอก ส่วนของ Trigonobalanus นัน้ เป็นช่อย�วคล้�ย ๆ ช่อดอกของสองสกุลแรก
พรรณไม้สกุล Trigonobalanus นี้ ปัจจุบันมอียู่ด้วยกันเพยีง 2 ชนดิ ชนดิหนึ่งพบท�งประเทศม�เลเซยี และ
แคว้นซ�บ�ห์ในเก�ะบอร์เนยีว อกีชนดิหนึ่งนัน้พบท�งภ�คเหนอืของประเทศไทยคอื T. doichangensis (A. Camus)
Forman
126 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
127
เฉียงพร้�น�งแอ
Carallia brachiata (lour.) Merr.
(Rhizophoraceae)
โกงก�งใบเล็ก
Rhizophora apiculata Blume
(Rhizophoraceae)
กะออก
Artocarpus elasticus Reinw. ex Blume
(Moraceae)
มะเดื่อกว�ง
Ficus callosa Willd.
(Moraceae)
ภ�พที่ 30
สนทะเล
Casuarina equisetifolia J.R. Forster & G. Forster
(Casuarinaceae)
เหมือดคนตัวผู้
Helicia nilagirica Bedd.
(Proteaceae)
ตำ�แยช้�ง
Dendrocnide stimulans Chew
(Urticaceae)
ไข่ปล�
Debregeasia longifolia (Burm.f.) Wedd.
(Urticaceae)
ภ�พที่ 29
128 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
129
7. อันดับ Urticales
ดอก มขีน�ดเล็ก bisexual หรอื unisexual มักอยู่รวมกันแน่นเป็นก้อน กลบี perianth จำ�นวน 5-4 กลบี
หรอืห�ย�กที่ไม่มกีลบีเลย เกสรเพศผู้จำ�นวนมักจะเท่�กันกับกลบี และอยู่ตรงข้�มกับกลบี รังไข่ superior ส่วนม�ก
ม ี 2 ช่อง บ�งทมีชี่องเดยีวและไข่เมล็ดเดยีว ผล มลีักษณะต่�ง ๆ บ�งทอียู่รวมกันเป็นแบบ multiple เมล็ดม ี
endosperm เป็นไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม หรอืไม้ยนืต้น
พรรณไม้ในอันดับนี้มอียู่ด้วยกัน 3 วงศ์คอื Ulmaceae, Urticaceae และ Moraceae วงศ์ Moraceae และ
Ulmaceae ส่วนใหญ่เป็นไม้ต้นและไม้พุ่ม วงศ์ Urticaceae ส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุก มบี�งชนดิเป็นไม้ต้นขน�ดเล็กและ
มขีนเป็นพษิ
รูปวธิำนแยกวงศ์
1. เกสรเพศเมยีตัง้ตรงในต�ดอก ไม้ต้นหรอืไม้พุ่ม ย�งใส ใบตดิเรยีงสลับ โคนมักเบี้ยว ผลสด แบบ drupe
1. Ulmaceae
1. เกสรเพศเมยีโค้งเข้�ในต�ดอก (จะตัง้ตรงในวงศ์ Moraceae บ�งชนดิ) ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้ล้มลุก ย�งใสหรอื
ข�ว ใบส่วนม�กตดิเรยีงสลับ บ�งทพีบตดิตรงข้�มบ้�ง โคนใบเท่�กัน ผลมหีล�ยชนดิ มักเป็นผลรวม (multiple
หรอื syncarp)
2. ไม้ล้มลุก หรอืไม้ต้นเนื้ออ่อน มยี�งใส 2. Urticaceae
2. ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก มยี�งข�ว ไข่ตดิที่โคนรังไข่ 3. Moraceae
1. วงศ์ขี้หนอนควำย Ulmaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว เรยีงสลับ มหีูใบ ดอก เล็ก สมบูรณ์เพศหรอืเพศเดยีว ออกเดี่ยว ๆ หรอืเป็นกระ
จุกต�มง่�มใบ กลบีรวมมักม ี5-4 แฉก เกสรเพศผู้ม ี5-4 (หรอือ�จน้อยกว่�) ตดิตรงข้�มกับแฉกกลบีรวม ก้�นชูอับ
เรณูตัง้ตรงในต�ดอก เกสรเพศเมยีม ี2 ค�ร์เพล รังไข่ม ี1 ช่อง มไีข่ 1 เมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีม ี2 แฉก ผล สดแบบ
drupe หรอืผลแห้งมปีีก เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้ม ี15 สกุล พบในซกีโลกภ�คเหนอื ประเทศไทยพบ 4 สกุล
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ผลแห้ง ปีกกว้�ง เมล็ดแบน Ulmus
1. ผลสดแบบ drupe เมล็ดกลม
2. หูใบเชื่อมตดิ ดอกเพศเดยีว กลบีเลี้ยงของดอกเพศผู้เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน Gironniera
2. หูใบแยก
3. ดอกเพศเดยีว กลบีเลี้ยงของดอกเพศผู้เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน drupe แห้ง Celtis
3. ดอกสมบูรณ์เพศ หรอื บ�งทเีพศเดยีวกลบีเลี้ยงเรยีงจนดกัน drupe มเีนื้อ Trema
หว้�
Syzygium cumini (L.) Skeels
(Myrtaceae)
ชมพู่น้ำ�
Syzygium siamense (Craib) Chatar. & J. Parn.
(Myrtaceae)
งวงชุ่ม
Combretum pilosum Roxb. ex G. Don
(Combretaceae)
ตะแบกเลือด
Terminalia mucronata Craib & Hutch.
(Combretaceae)
ภ�พที่ 31
130 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
131
8. อันดับ Myrtales
ดอก โดยม�กสมม�ตรต�มรัศม ี (actinomorphic) สมบูรณ์เพศ (bisexual) กลบีเลี้ยงโดยม�กเรยีงจรดกัน
(valvate) เกสรเพศผู้จำ�นวนม�ก มักจะมรีูปร่�งโดยเฉพ�ะ แยกหรอืเชื่อมตดิกัน มักมจี�นดอก (disc) เกสรเพศเมยี
เชื่อมตดิกัน (syncarpous) พล�เซนต�รอบแกนร่วม (axile placentation) รังไข่เหนอืวงกลบี (superior) กึ่งใต้วงกลบี
(half-inferior) หรอื ใต้วงกลบี (inferior) ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มอีันเดยีว เมล็ดม ีendosperm น้อยหรอืไม่มเีลย
ใบ เดี่ยว ส่วนม�กออกตรงข้�ม มักมจีุดต่อม
พรรณไม้ในอันดับนี้สังเกตได้ที่มใีบเดี่ยวออกตรงข้�มกัน ส่วนม�กไม่มหีูใบ รังไข่เชื่อมตดิกันกับถ้วยกลบี
เลี้ยง (hypanthium) เช่น ในวงศ์ Lythraceae และ Myrtaceae ที่พบในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน 9 วงศ์ แต่จะกล่�วถงึ
วงศ์ที่สำ�คัญคอื Rhizophoraceae, Combretaceae, Myrtaceae, Lythraceae และ Thymelaeaceae
1. วงศ์โกงกำง Rhizophoraceae
ไม้ต้น ห�ย�กที่เป็นไม้พุ่ม เป็นพรรณไม้ป่�ช�ยเลน ใบ เดี่ยว ส่วนม�กออกตรงข้�มและแต่ละคู่ตัง้ฉ�กกัน
(decussate) และมหีูใบอยู่ระหว่�งก้�นใบ (interpetiolar stipule) ดอก มขีน�ดเล็กหรอืใหญ่ สมม�ตรต�มรัศม ี
(regular) ส่วนม�กเป็นแบบสมบูรณ์เพศ (bisexual) ออกเดี่ยว ๆ หรอืออกเป็นกระจุก (cyme) ต�มง่�มใบ กลบีเลี้ยง
โคนเชื่อมตดิกัน ปล�ยแยกเป็น 8-4 กลบี (หรอื 16-3 กลบี) กลบีดอกแยกจ�กกัน มจีำ�นวนเท่�กับกลบีเลี้ยง และ
มักจะมขีน�ดเล็กกว่� เกสรเพศผู้ส่วนม�กมจีำ�นวนม�กกว่�กลบีดอก มักอยู่เป็นคู่ ๆ ตรงข้�มกลบีดอก รังไข่ inferior
หรอื superior มจีำ�นวน 6-2 ช่อง (บ�งครัง้มเีพยีงช่องเดยีว) แต่ละช่องมไีข่ -2หล�ยเมล็ด ผล สดมเีนื้อหล�ยเมล็ด
(baccate) หรอื ผลแบบ drupe เมล็ดของพรรณไม้ป่�ช�ยเลนมคีุณลักษณะพเิศษผดิแปลกกว่�วงศ์อื่น ๆ คอื เมล็ด
ส�ม�รถงอกเป็นต้นอ่อนได้ในขณะที่ผลยังตดิอยู่บนต้น (vivipary) เมล็ดส่วนใหญ่ม ีendosperm
พรรณไม้วงศ์นี้มปีระม�ณ 20 สกุล พบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในไทยที่สำ�คัญมอียู่ 5 สกุลด้วยกันคอื
สกุล โกงก�ง Rhizophora สกุล พังก� ประสัก รุ่ย Bruguiera สกุล เฉยีงพร้�น�งแอ Carallia สกุล รังกะแท้ Kandelia
และ สกุล โปรง Ceriops
รูปวธิำนแยกสกุล
1. พชืขึ้นในป่�ช�ยเลนเมล็ดงอกเมื่อผลยังตดิค�ต้น คอร�ก (hypocoty) เจรญิเมื่อยังเป็นผล
2. กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน 4 กลบีดอกขอบเรยีบ ไม่มรีย�งค์ Rhizophora
2. กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน 16-5 แฉก กลบีดอกหยักเป็น 2 หรอืหล�ยแฉก แต่ละแฉกมคีรุย
3. กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน 6-5 แฉก กลบีดอกมคีรุยหรอืมหีล�ยแฉก
4. กลบีเลี้ยงรูปไข่ กลบีดอกมคีรุยตอนปล�ยกลบี คอร�กมสีัน Ceriops
4. กลบีเลี้ยงรูปขอบขน�นแคบ กลบีดอกมหีล�ยแฉก คอร�กเรยีบ Kandelia
3. กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน 16-8 แฉก กลบีดอกหยักเป็น 2 แฉก ตรงกล�งเป็นแอ่ง Bruguiera
1. พชืขึ้นในป่�บก เมล็ดไม่งอกค�ต้น กลบีดอกขอบหยักไม่เป็นระเบยีบ Carallia
สกุล Gironniera เช่น ขี้หนอนคว�ย G.nervosa สกุล พังแหร Trema เช่น พังแหรใบใหญ่ T. orientalis Blume
พบเป็นไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้นทั่วไป สกุล ลูบลบี Ulmus มชีนดิเดยีว คอื U. lancifolia Roxb.
2. วงศ์ต�ำแย Urticaceae
ไม้ล้มลุก มเีส้นใย ไม้พุ่ม ไม้ต้นเนื้ออ่อน ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�มหรอืตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก เล็ก เพศเดยีว
ออกเป็นกระจุก กลบีรวมม ี5-4 แฉก เกสรเพศผู้ม ี5-4 ตดิตรงข้�มกับแฉกกลบีรวม ก้�นชูอับเรณูโค้งในต�ดอก
รังไข่ม ี1 ช่อง ไข่ 1 เมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ผล แห้ง หรอืผลสด มักมกีลบีรวมตดิอยู่
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ไม้ต้นหรอืไม้พุ่ม ตัง้ตรง หรอืไม้ล้มลุก
2. ดอกออกเป็นช่อกระจุก แยกแขนง (panicle)
3. ไม้ล้มลุก แข็ง ตัง้ตรง ใบใหญ่ มขีนค�ย Laportea, Dendrocnide
3. ไม้ล้มลุก ขน�ดเล็ก ใบเล็ก ไม่มขีนค�ย Pilea, Boehmeria
2. ดอกออกเป็นกระจุกต�มง่�มใบ หรอื บนฐ�นดอกมเีนื้อ ใบ equilateral Pouzolzia
1. ไม้เลื้อย หรอื ไม้องิอ�ศัย Poikilospermum
พชืวงศ์นี้ สกุล Laportea และ Dendrocnide มขีนทำ�ให้ระค�ยเคอืงผวิหนัง ได้แก่ กะลังตังช้�ง Laportea bulbifera
Wedd. ตำ�แยตัวเมยี L. interrupta Chew ตำ�แยช้�ง Dendrocnide stimulans Chew กะลังตังช้�ง D. sinuate Chew
3. วงศ์มะเดื่อ Moraceae
ไม้ต้น และไม้พุ่ม มนีำ�้ย�งขุ่นข�วคล้�ยนำ�้นม ใบ เดี่ยว เรยีงสลับ หูใบ (stipules) เล็กหรอืใหญ่ และหุ้มปิด
ปล�ยยอด ดอก มขีน�ดเล็ก เพศเดยีว (unisexual) ออกเป็นช่อสัน้ ๆ (cyme) หรอืเป็นก้อน (head) หรอืฝังตัวอยู่บน
ฐ�นรูปโถ (urn-shaped receptacle) กลบี perianth มจีำ�นวน 4 ห�ย�กที่ไม่ม ีเกสรเพศผู้มจีำ�นวน 4 (อยู่ตรงข้�มกับ
กลบี perianth หรอืลดจำ�นวนลงเหลอืเพยีง 1 หรอื 2 เท่�นัน้) เกสรเพศเมยีม ี2 อัน รังไข่มชี่องเดยีวและเมล็ดเดยีว
ก้�นเกสรเพศเมยี (style) ส่วนม�กม ี2 อัน ผล ผวิแข็งแบบ nut หรอืผวิอุ้มนำ�้แบบ drupe หรอืผลแห้งแบบ achene
มักรวมกันอยู่เป็นก้อนกลม หรอืมฐี�นอวบหุ้มอยู่
พรรณไม้วงศ์นี้มปีระม�ณ 53 สกุล ส่วนม�กเป็นพรรณไม้ในเขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่ประม�ณ 8 สกุล
ที่เป็นไม้หวงห้�มก็คอื สกุล ขนุน มะห�ด Artocarpus พรรณไม้ในสกุลนี้ต่�งเป็นไม้ต้นขน�ดกล�งถงึขน�ดใหญ่ ใบ
เดี่ยว และมักจะมสีองแบบ ใบของต้นอ่อนขอบมักหยักเว้�ลกึ ใบแก่ขอบเรยีบ ส่วนม�กมขีนส�กค�ยต�มกิ่งอ่อน
และตัวใบ ออกเรยีงสลับกัน ดอกเพศผู้เล็กม�ก อยู่ชดิกันเป็นช่อแน่น รูปขอบขน�น มที่อก้�นย�วออกต�มง่�มใบ
ปล�ยกิ่ง หรอืต�มกิ่งแขนงสัน้ ๆ ต�มลำ�ต้น ดอกเพศเมยีคล้�ยกับดอกเพศผู้แต่มขีน�ดใหญ่กว่� ผลเชื่อมตดิกันเป็น
แบบ multiple ขน�ดใหญ่ ผวิผลรวมนี้เป็นตุ่มขรุขระหรอืเป็นเส้นค่อนข้�งแข็ง เช่น ห�ด หรอื มะห�ด A. lakoocha
Roxb. ไม้สกุลนี้เป็นไม้ผล คอื ขนุน A. heterophyllus Lamk.
ไม้วงศ์นี้ที่รู้จักกันทั่วไป คอื สกุล มะเดื่อ และ ไทร Ficus เช่น มะเดื่ออุทุมพร F. racemosa L. ทรย้อยใบ
แหลม F. benjamina L.
132 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
133 พรรณไม้สกุลนี้มลีักษณะเด่นคอื ใบเดี่ยวออกตรงข้มกัน เส้นใบจะมเีส้นเรยีบขอบใบ (intramarginal vein)
ปร�กฏให้เห็นชัด
4. วงศ์ตะแบก อนิทนลิ เสลำ Lythraceae
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว ขอบเรยีบ มักออกตรงข้�มกัน ไม่มหีูใบ ดอก regular, bisexual ออก
เป็นช่อชนดิ raceme หรอื panicle ฐ�นดอก (hypanthium) เป็นรูปทรงกระบอก หรอืรูประฆัง กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน
8-4 กลบีเรยีงจรดกัน กลบีดอกมจีำ�นวนเท่�หรอืน้อยกว่�กลบีเลี้ยง ย่นยับ ห�ย�กที่ไม่มกีลบีดอก เกสรเพศผู้มี
จำ�นวน 4 หรอื 8 หรอืจำ�นวนม�ก รังไข่ไม่เชื่อมตดิกับฐ�นดอก มักมจีำ�นวน 6-2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่จำ�นวนม�ก
axile placenta ผล เป็นแบบ capsule มฐี�นดอกหุ้ม เมล็ดมจีำ�นวนม�ก ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มมี�กกว่� 20 สกุล พบกระจัดกระจ�ยทั่ว ๆ ไปในเขตอบอุ่น แต่มมี�กในเขตร้อนของโลก
ที่พบในประเทศไทยมอียู่ 6 สกุลด้วยกัน ที่สำ�คัญคอื สกุลตะแบก เสล� อนิทนลิ Lagertroemia มอียู่หล�ยชนดิ ที่
เรยีกกันว่� ตะแบก นัน้ลำ�ต้นมพีูพอนที่โคนต้น เปลอืกสเีท�ล่อนหลุดออกเป็นสะเก็ด ทิ้งรอยไว้ที่เปลอืกเป็นหลุมตื้น
ๆ เช่น ตะแบกเกรียบ L. balansae Koehne ตะแบกน� L. floribunda Jack ส่วนไม้จำ�พวก เสล� นัน้ เปลอืกสเีท�ค่อน
ข้�งดำ� แตกเป็นร่องละเอยีดต�มท�งย�ว เช่น เสล�เปลอืกหน� L. villosa Wall. เสล�ใบใหญ่ หรอื อนิทรชติ
L. loudonii Teijsm. & Binn. ทัง้ ตะแบก และเสล� เมื่อสับดูส่วน cambium จะเป็นสมี่วงเมื่อถูกอ�ก�ศ
ส่วน อนิทนลิ เปลอืกค่อนข้�งเรยีบ หรอื ลอกเป็นสะเก็ดบ�ง ๆ เช่น อนิทนลินำ�้ L. speciosa Pers อนิทนลิ
บก L. macrocarpa Wall. ทัง้ 2 ชนดิต่�งกันที่ดอกตูม ขน�ดของดอกและผล โดยอนิทนลินำ�้ ที่ปล�ยสุดของดอกตูม
ตรงกล�งมตีุ่มกลมเล็ก ๆ ดอกบ�นมขีน�ดกว้�ง 8-5 ซม. ผลย�ว 2.5-2 ซม. ส่วน อนิทนลิบก ที่ปล�ยสุดของดอก
ตูม ตรงกล�งมรีอยบุ๋มเป็นแอ่งเล็กน้อย ช่อดอกมขีน�ดใหญ่ม�ก ดอกบ�นมขีน�ดกว้�ง 12-10 ซม. ผลย�ว 4-3 ซม.
เสล� และ อนิทนลิ ที่นยิมนำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับคอื เสล�ใบใหญ่ หรอื อนิทรชติ อนิทนลินำ้� และ ยี่เข่ง
L. indica L. พรรณไม้ในสกุลอื่นที่นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับและไม้ผล ก็คอื ทับทมิ Punica granatum L. เป็นพชืถิ่น
เมดเิตอร์เรเนยีนและเอเซยีตะวันตก ที่นำ�ม�ปลูกเป็นสมุนไพรกันบ้�งก็คอื เทยีนกิ่ง Lawsonia inermis L. เป็นพชืมี
ถิ่นกำ�เนดิในอนิเดยี ให้สนีำ�้ต�ลแดงย้อมผม (henna)
5. วงศ์กฤษณำ Thymelaeaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว ขอบเรยีบ ออกเรยีงสลับหรอืออกตรงข้�ม ไม่มหีูใบ ดอก
โดยม�ก regular, bisexual หรอื unisexual ออกเดี่ยว ๆหรอืเป็นช่อแบบ raceme กลบี perianth เชื่อมตดิเป็นหลอด
ปล�ยม ี5-4 พู คล้�ยกลบีดอก เกสรเพศเมยีม ี 2 หรอืหล�ยอัน รังไข่มชี่องเดยีว ไข่มเีมล็ดเดยีว แขวนห้อยอยู่ที่
ปล�ยรังไข่ ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ผล เป็นชนดิ drupe ห�ย�กที่เป็นชนดิ capsule เมล็ดม ีendosperm หรอืไม่มี
พรรณไม้วงศ์นี้มปีระม�ณ 40 สกุล พบขึ้นทั่วโลกเว้นเขตหน�ว ในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน 5 สกุล ที่เป็น
ไม้หวงห้�มประเภท ข. เพยีงสกุลเดยีว คอื ไม้หอม หรอื กฤษณ� Aquilaria นอกนัน้เป็นไม้พุ่ม หรอืไม้เถ�
ไม้หอม หรอื กฤษณ� นี้มชีื่อท�งก�รค้�ว่� Englewood ในประเทศไทยมดี้วยกัน 4 ชนดิ คอื Aquilaria
subintegra Hou, A. crassna Pierre ex Lec., A. malaccensis Lamk. และ A. hirta Ridl. ส่วนม�กพบท�งภ�คใต้ และ
ภ�คตะวันออกเฉยีงใต้ เนื้อไม้ของไม้ดังกล่�วนี้จะมกีลิ่นหอม ซึ่งเดมิเชื่อว่�กลิ่นหอมนี้เกดิจ�กเชื้อร�ชนดิหนึ่งเข้�ไป
ทำ�ล�ยเนื้อไม้ แต่ปัจจุบันได้มกี�รวจิัยแล้วพบว่�กลิ่นหอมนี้เกดิขึ้นเองต�มธรรมช�ติ
พรรณไม้ในวงศ์โกงก�ง Rhizophoraceae คล้�ยคลงึกับวงศ์เข็ม Rubiaceae ม�ก โดยที่มลีักษณะใบออก
ตรงข้�มและแต่ละคู่ตัง้ฉ�กกัน (decussate) และมหีูใบแบบ interpetiolar stipules เช่นเดยีวกัน แต่พรรณไม้พวก
Rhizophoraceae มกีลบีดอกเป็นอสิระแยกจ�กกันเป็นกลบี ๆ ส่วนพวก Rubiaceae มกีลบีดอกเชื่อมตดิกันเป็น
หลอด (corolla tube)
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 2(1): 5-15. 1970.)
2. วงศ์สมอ Combretaceae
ไม้ต้น และไม้พุ่ม ไม้เถ�มบี้�งไม่ม�กนัก ใบ เดี่ยว ออกเรยีงสลับ หรอืออกกึ่งตรงข้�ม (semi-opposite)
ไม่มหีูใบ ดอกมขีน�ดเล็ก สมม�ตรต�มรัศม ี(regular) สมบูรณ์เพศ หรอืเพศเดยีวออกเป็นช่อย�วแบบห�งกระรอก
(catkin) อ�จเป็นแบบ raceme, spike หรอื panicle กลบีเลี้ยงม ี5-4 กลบี เชื่อมตดิกันเป็นรูปถ้วย หรอืหลอด หลุด
ร่วงได้ย�ก กลบีดอกม ี5-4 กลบี บ�งพวกไม่มกีลบีดอก เกสรเพศผู้ม ี8-5-4 หรอื 10 อัน ต�มปกตเิกสรเพศผู้มี
จำ�นวนเป็น 2 เท่�ของจำ�นวนกลบีเลี้ยง และมอียู่ 2 แถว รังไข่ inferior มเีพยีง 1 ช่อง ไข่ม ี6-2 เมล็ด แขวนห้อยหัว
ลง ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มเีพยีงอันเดยีว ผล มทีัง้แบบผลแห้งส่วนม�กเมื่อแก่ไม่แตก และผลสดแบบ drupe มี
ลักษณะค่อนข้�งกลมหรอืแบน หรอืเป็นเหลี่ยม หรอืมคีรบี 5-2 ครบี และมเีพยีงเมล็ดเดยีว เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้วงศ์นี้มปีระม�ณ 20 สกุล ชอบขึ้นอยู่ในเขตร้อน สำ�หรับพรรณไม้ของไทยที่สำ�คัญม ี3 สกุล คอื
สกุล สมอ รกฟ้� Terminalia สกุลฝ�ด Lumnitzera และ สกุลตะเคยีนหนู Anogeissus
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ไม่มกีลบีดอก ดอกเล็ก ผลรูปร ีหรอืมักแบนแผ่ออกไปเป็นปีก Terminalia
1. มกีลบีดอก
2. ดอกเล็กออกเป็นกระจุกต�มง่�มใบ ผลแบนมคีรบีข้�ง ๆ และตอนปล�ยมยีอดเรยีวแหลม Anogeissus
2. ดอกขน�ดกล�ง เรยีงเป็นช่อแบบ raceme สัน้ ๆ ต�มปล�ยกิ่ง Lumnitzera
3. วงศ์ชมพู่ Myrtaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว มักออกตรงข้�มกัน ตัวใบมตี่อมโปร่งแสง ไม่มหีูใบ ดอก สมม�ตรต�มรัศม ี
(regular) สมบูรณ์เพศ (bisexual) กลบีเลี้ยงและกลบีดอกจำ�นวน 4 หรอื 5 เกสรเพศู้มจีำ�นวนม�ก ก้�นชูอับเรณู
เรยีวย�ว บ�งทเีชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ รังไข่ inferior มชี่องเดยีวหรอืหล�ยช่อง ไข่แต่ละช่องมจีำ�นวน 2 หรอืม�กกว่�
ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มอีันเดยีว ผล เป็นชนดิ berry หรอื capsule เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 80 สกุล เป็นพรรณไม้เขตร้อน ที่พบขึ้นอยู่ในประเทศไทยประม�ณ 6 สกุล
พรรณไม้ที่นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ผล เช่น ฝรั่ง Psidium guajava L. สกุล ชมพู่ Syzygium เช่น ชมพู่นำ�้ดอกไม้ S.
jambos (L.) Alsoton ชมพู่ส�แหรก S. malaccensis (L.) Merr. และชมพู่น�ก หรอื ชมพู่แก้มแหม่ม S. samarangense
(Blume) Merr. & L.M. Perry var. smarangense หว้� S. cumini (L.) Skeels ที่ปลูกเป็นไม้เศรษฐกจิ เช่น ยูค�ลปิ
Eucalyptus ที่ขึ้นอยู่ต�มธรรมช�ตใิช้เปลอืกห่อได้ และใบกลั่นเอ�นำ�้มัน คอื เสม็ด Melaleuca leucadendra L. ver.
Minor Duthie ที่ปลูกเพื่อใช้ดอกอ่อนเป็นเครื่องเทศก็ม ีก�นพลู Syzygium aromaticum (L.) Merr.
134 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
135 พรรณไม้ในวงศ์นี้ที่ปลูกใช้ทำ�ปอคอื ปอกระเจ� Coechorus capsularis L. มชีื่อท�งก�รค้�ว่� jute และที่นำ�
ม�ปลูกเป็นไม้ประดับทั่ว ๆ ไปคอื ตะขบฝรั่ง Muntingia calabura L.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 16: 2-118. 1986.)
2. วงศ์ย่อยชบำ Malvoideae
ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก หรอืไม้ต้น มักมขีนรูปด�ว (stellate hairs) ปกคลุม ใบ ออกเรยีงสลับ มักจะหยักเว้�แบบ
รูปฝ่�มอื (palmate) มหีูใบ ดอก bisexual, regular มักมสีสีรรสวยง�ม ออกเดี่ยว ๆ หรอืเป็นช่อ กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน
5 มักจะมกีลบี epicalyx รองอยู่อกีชัน้หนึ่ง กลบีดอกจำ�นวน 5 ขน�ดใหญ่ มักบดิเวยีน เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก
เชื่อมตดิกันเป็นหลอดเห็นชัด หุ้มรอบเกสรเพศเมยี อับเรณูมเีซลล์เดยีว ละอองเรณูผวิมหีน�ม รังไข่ 5 ถงึหล�ยอัน
ก้�นเกสรเพศเมยีมจีำ�นวนเท่�กับรังไข่ ผล เป็นชนดิ capsule หรอื schizocarp เมล็ดม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มกีว่� 80 สกุล พบขึ้นทั่วโลก ในประเทศไทยพบอยู่ประม�ณ 10 สกุล ที่เป็นไม้หวงห้�ม
ประเภท ก. คอื โพทะเล Thespesia populnea (L.) Soland ex Corr. พบขึ้นด้�นหลังป่�ช�ยเลน
พรรณไม้ในวงศ์นี้ที่นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับ คอื ชบ� ชนดิต่�ง ๆ ในสกุล Hibiscus และ Malvaviscus ที่
ปลูกเป็นพชืกสกิรรม คอื ปอแก้ว Abelmoschus manihot (L.) Medik นอกจ�กนี้ก็มฝี้�ยพันธุ์ต่�ง ๆ และสำ�ล ีซึ่งก็อยู่
ในสกุล Hibiscus
3. วงศ์ย่อยงิ้ว นุ่น Bombacoideae
ไม้ต้น ขน�ดใหญ่ ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบแบบนิ้วมอื (palmately compound) ออกเรยีงสลับ มักมขีนรูป
ด�ว (stellate) หรอืเกล็ด (scales) ปกคลุม มหีูใบ ดอก bisexual, regular กลบีเลี้ยงม ี5 กลบี และมกีลบี epicalyx
รองรับ กลบีดอกย�ว ห�ย�กที่ไม่ม ีเกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ อับเรณูม ี2-1
เซลล์ หรอืม�กกว่� ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ผล ชนดิ capsule มักมขีน�ดใหญ่และผวิเป็นหน�ม เมล็ดมเียื่อหุ้ม
(arillate) หรอืมปีุยหุ้ม ปุยนี้มกีำ�เนดิม�จ�กเปลอืกผล เมล็ดม ีendosperm น้อยหรอืไม่มเีลย
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 20 สกุล เป็นพชืเขตร้อน โดยม�กอยู่ในทวปีอเมรกิ� ที่สำ�รวจพบใน
ประเทศไทยมเีพียง 5 สกุล คอื สกุล งิ่ว Bombax สกุล ทุเรยีน Durio เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. สกุล ช้�งร้อง
Neesia สกุล นุ่น Ceiba และสกุล พศิวง Paradombeya
ลักษณะเด่นของพรรณไม้ในวงศ์นี้คอื เปลอืกมใียเหนยีวม�ก และลอกออกได้ง่�ย เมื่อดงึให้ข�ดจ�กกันจะ
เห็นเส้นใยเป็นมันเหมอืนเส้นไหม
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 6(3): 226-245. 1997.)
9. อันดับ Malvales
ใบ เรยีงสลับกัน มหีูใบ มักมขีนชนดิ stellate ดอก bisexual (บ�งทเีป็นชนดิ unisexual) ส่วนม�กเป็นชนดิ
regular ส่วนต่�ง ๆ มจีำ�นวนอย่�งละ 5 กลบีเลี้ยงเรยีงจรดกัน (valvate) เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กแยกจ�กกัน หรอื
เชื่อมตดิกันบ�งส่วน หรอืเชื่อมตดิกันเป็นหลอด ห�ย�กที่มจีำ�นวนน้อย อยู่ตรงข้�มกับกลบีดอก อับเรณูม ี 2-1
เซลล์ เกสรเพศเมยีเป็นชนดิ syncarpous ม ีplacenta ชนดิ axile รังไข่ superior เมล็ดม ีendosperm ม�ก ห�ย�กที่
ไม่ม ีembryo ใหญ่ตรงหรอืโค้ง
พรรณไม้ในอันดับนี้ม ี4 วงศ์ คอื Tiliaceae, Malvaceae, Bombacaceae และ Sterculiaceae ทัง้ 4 วงศ์นี้ไม้
ต้นที่เป็นไม้หวงห้�มด้วยกันทัง้นัน้ ไม่ม�กก็น้อยชนดิ ทัง้ 4 วงศ์นี้มลีักษณะคล้�ยคลงึกันม�ก เป็นก�รย�กที่จะแยก
ออกจ�กกันได้ ห�กอ�ศัยเพยีงลักษณะของใบแต่อย่�งเดยีว
ปัจจุบันได้ยุบรวมอยู่ในวงศ์ Malvaceae โดยแบ่งเป็นวงศ์ย่อยดังนี้
1. Subfamily Malvoideae or Malvaceae sensu stricto
2. Subfamily Bombacoideae or Bombacaceae
3. Subfamily Byttnerioideae or Byttneriaceae
4. Subfamily Grewioideae or Spawmanriaceae
5. Subfamily Tilioideae or Tiliaceae sensu stricto
6. Subfamily Dombeyoideae or Dentapetaceae
7. Subfamily Helicteroideae or Helicteraceae and Durionaceae
8. Subfamily Brownlowioideae or Brownlowiaceae
1. วงศ์ย่อยปอ Grewioideae
ไม้ต้น และ ไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ออกเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก regular ส่วนม�ก bisexual ออกเป็นช่อชนดิ cyme
หรอื panicle กลบีเลี้ยงมจีำ�นวน 5 กลบี กลบีดอกมจีำ�นวนเท่�กัน เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กแยกจ�กกัน หรอืเชื่อม
ตดิกันเป็นกลุ่ม ๆ อับเรณูม ี2 เซลล์ มักม ี staminode รังไข่ม ี10-2 ช่อง ช่องหนึ่ง ๆ มไีข่เมล็ดเดยีว หรอืม�กกว่�
ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันดยีว ผล มลีักษณะต่�ง ๆ เมล็ดม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มมี�กกว่� 40 สกุล ส่วนม�กเป็นพชืเขตร้อน ในประเทศไทยพบอยู่ 11 สกุลด้วยกัน ที่เป็น
ไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื สกุล สเีสยีดเปลอืก หรอื สเีสยีดเหนอื Pentace ได้แก่ P. burmanica Kurz สกุล แดงสบ
คอื Schoutenia hypoleuca Pierre สกุล เลยีงมัน คอื Berrya ammonilla Roxb. และที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. คอื
สกุลจันทน� หรอื จันทน์ชะมด Mansonia gagei Drumm.
136 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
137
ทุเรียนป่�
Durio mansonii (Gamble) Bakh.
(Malvaceae)
ปอทะเล
Hibiscus tiliaceus L.
(Malvaceae)
จันทร์ชะมด
Mansonia gagei J.R. Drumm. ex Prain
(Malvaceae)
พล�กว�ง
Pterospermum lanceifolium Roxb.
(Malvaceae)
ภ�พที่ 33
กฤษณ�
Aquilaria crassna Pierre ex Lec.
(Thymelaeaceae)
พวมพร้�ว
Aquilaria malaccensis Lam.
(Thymelaeaceae)
ตะแบกน�
Lagerstroemia floribunda Jack
(Lythraceae)
อินทนิลน้ำ�
Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.
(Lythraceae)
ภ�พที่ 32
138 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
139
สะเด�
Azedirachta indica A. Juss.
(Meliaceae)
ตะบูนข�ว
Xylocarpus granatum J. Koenig
(Meliaceae)
ค้�งค�ว
Aglaia edulis (Roxb.) Pellegr.
(Meliaceae)
แสลงใจ
Strychnos nuxvomica L.
(Meliaceae)
ภ�พที่ 35
ปล�ไหลเผือก
Eurycoma longifolia Jack.
(Simaroubaceae)
ก่วมภูค�
Acer pseudowilsonii Y.S. Chen
(Sapindaceae)
มะแฟน
Protium serratum Engl.
(Burseraceae)
มะกอกเลื่อม
Canarium subulatum Guill.
(Burseraceae)
ภ�พที่ 34
140 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
141 สกุล Sterculia, Pterygota, Firmiana, Pterocymbium ดอก unisexual ผลของพชืกลุ่มนี้ต่�งเป็น follicle
ยกเว้น Pterygota ซึ่งเป็น capsule ขน�ดใหญ่ แยกออกต�มรอยประส�นด้�นนอก เมล็ดมปีีกตอนปล�ยเรยีงซับ
ซ้อนกันแน่น ส่วนสกุล Heritiera นัน้ดอก unisexual ผลเป็น nut มปีีกตอนปล�ยผล ผสของสกุล Scaphium นัน้ มี
เมล็ดเดยีว และ รังไข่หุ้มเมล็ด เมล็ดมเียื่อหุ้ม เมื่อถูกนำ�้จะพองขย�ยตัวเป็นวุ้น เช่น พุงทะล�ย S. scaphigerum
(G. Don) Guib. & Planch.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 23: 62-110. 1995.)
10. อันดับ Geraniales
ดอก actinomorphic หรอืค่อนข้�งจะเป็น zygomorphic ต�มปกตมิชีัน้ละ 5 ส่วนม�กเป็นดอก bisexual
เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด สัน้ย�วไม่เท่�กัน (obdiplostermonous) ส่วนม�กม ีdisc เกสรเพศเมยีเป็นชนดิ syncarpous
รังไข่ superior ไข่จำ�นวนม�ก หรอืมเีพยีง 2 หรอื 1 เมล็ด ม ีendosperm หรอืไม่มี
พรรณไม้ในอันดับนี้ม ี 11 วงศ์ แต่จะกล่�วถงึเพยีง 5 วงศ์ คอื Erythroxylaceae, Simaroubaceae,
Burseraceae, Meliaceae และ Euphorbiaceae
1. วงศ์ไกรทอง Erythroxylaceae
ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น ใบ เดี่ยว ออกเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก bisexual, recular ก้�นเกสรเพศเมยีมักสัน้ย�วไม่เท่�
กัน กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมจีำ�นวน 5 กลบี ดอกจะมตีิ่งอยู่ท�งด้�นใน เกสรเพศผู้ม ี10 เชื่อมตดิกันเป็นหลอดตรง
โคน รังไข่ม ี 4-3 ช่อง แต่มชี่องเดยีวที่เจรญิ ช่องหนึ่งมไีข่จำ�นวน 1 หรอื 2 เมล็ด ผล เป็นชนดิ drupe เมล็ดม ี
endosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มอียู่ด้วยกันเพยีง 3 สกุล ส่วนม�กมถีิ่นกำ�เนดิในทวปีอเมรกิ�เขตร้อน ในประเทศไทยพบมี
อยู่เพยีงสกุลเดยีวคอื Erythroxylum ม ี 2 ชนดิ ๆที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื ไกรทอง หรอื เจตมูล
E. cuncatum Kurz เป็นไม้ต้น ลำ�ต้นเปล�ตรง แตกกิ่งก้�นส�ข�ท�งร�บ พบขึ้นทั่วไปต�มป่�เบญจพรรณชื้นและป่�ดบิ
พรรณไม้ที่มีประโยชน์อกีชนดิหนึ่งคอื Erythroxylum coca L. ที่เรยีกกันว่� Coca Plant มถีิ่นกำ�เนดิในทวปี
อเมรกิ�เขตร้อน ใช้ใบสกัดเอ�ธ�ตุ cocaine
2. วงศ์ยมป่ำ Simaroubaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มักมเีปลอืกขม ใบ ส่วนม�กเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ไม่มหีูใบ ไม่มจีุดในเนื้อ
ใบ ดอก เล็ก regular, Polygamous หรอื dioecious กลบีเลี้ยงม ี5-3 กลบีดอกม ี5-3 เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับ
หรอืเป็น 2 เท่�ของกลบีดอก disc เป็นรูปวงแหวนหรอืเป็นรูปถ้วย ก้�นเกสรเพศเมยีเชื่อมตดิกัน ผลมลีักษณะต่�ง ๆ
endosperm บ�งหรอืไม่มเีลย
พรรณไม้ในวงศ์นี้มกีว่� 30 สกุล พบขึ้นทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่ 5 สกุลคอื สกุล สฟีันคนฑ�
Harrisonia มชีนดิเดยีว คอื H. perforate (Blanco) Merr. สกุล กอมขม Picrasma มชีนดิเดยีว คอื P. javanica Blume
สกุล ปล�ไหลเผอืก Eurycoma ม ี2 ชนดิ คอื E. longifolia Jack และ E. harmandiana Pierre สกุล ยมป่� Ailanthus
มชีนดิเดยีว เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื A. triphysa (Dennst.) Alston สกุล ร�ชคัด Brucea ม ี 2 ชนดิ คอื
B. javanica (L.) Merr. และ B. mollis (Wall.) Kurz
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบเดี่ยว
2. กลบีเลี้ยงม ี5 แยกจ�กกัน ไม่มรีิ้วประดับ (epicalyx) ผลรูปไข่ ปล�ยแบน ไม้พุ่มรอเลื้อย Paradombeya
2. กลบีเลี้ยงม ี1 มรีิ้วประดับ ผลรูปไข่ หรอืร ีปล�ยไม่แบน ไม้ต้น
3. เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกัน ม ี5 มัด แต่ละมัดเชื่อมตดิกัน รังไข่มขีน ผลม ี5 เหลี่ยม ไม่มหีน�ม
3. เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็น 5 มัด แต่ละมัดแยกจ�กกัน รังไข่มเีกล็ด ผลไม่เป็นเหลี่ยม แต่มหีน�มหน�แน่น
Neesia
1. ใบประกอบรูปนิ้วมอื
4. เกสรเพศผู้ม ี6-)5) อัน ผลเรยีบม ี5 ร่อง Ceiba
4. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก (ไม่ตำ่�กว่� 50) ผลเรยีบหรอืม ี5 สัน Bombax
สกุล งิ้ว Bombax ในประเทศไทยมหีล�ยชนดิ ชนดิดอกสแีดงม ีงิ้วบ้�น B. ceiba L. ชนดิดอกสขี�วม ีงิ้วป่�
หรอื งิ้วผ� B. anceps Pierre ง้�ว B. anceps Pierre var. cambodiense (Pierre) Robyns
สกุล ทุเรยีน Durio ที่ผลรับประท�นได้ คอื ทุเรียนนก D. griffithii (Mast.) Bakh. ทุเรยีนป่� D. mansoni
(Gamble) Bakh. และที่ปลูกข�ยคอื D. zibethinus L. ดอกทุเรยีนอ�ศัยค้�งค�วผสมพันธุ์ เพร�ะเกสรเพศผู้และเกสร
เพศเมยีจะเจรญิเต็มที่ตอนยำ่�คำ่� เป็นเวล�ที่ค้�งค�วออกห�กนิ
สกุล Neesia มเีพยีงชนดิเดยีวคอื ช้�งแหก N. altissima (Blume) Blume เป็นไม้ต้นขน�ดกล�ง พบขึ้นต�ม
รมิลำ�ธ�ร ใบขน�ดใหญ่ ผลแก่จัดจะแยกออกเป็น 5 เสี่ยง ต�มผนังเสี่ยงมขีนสนีำ�้ต�ล ขนนี้จะทำ�ให้เกดิระค�ยเคอืง
ต่อผวิหนังที่อ่อนนุ่ม ช�วบ้�นจะไม่ดื่มนำ�้ในลำ�ธ�รที่ไม้ชนดินี้ขึ้นอยู่ เพร�ะจะทำ�ให้เกดิอ�ก�รคันคออย่�งรุนแรง
ที่นำ�ม�ปลูกกันทั่ว ๆ ไปก็คอื นุ่น Ceiba pentandra (L.) Gaertn. ปุยของงิ้วชนดิต่�ง ๆ ก็ใช้ประโยชน์ได้เหมอืนนุ่น
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 25: 81-101. 1997.)
4. วงศ์ย่อยส�ำโรง พุงทะลำย Sterculioideae
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบ มหีูใบ ดอก สมบูรณ์เพศ หรอื เพศเดยีว กลบีเลี้ยงม ี
5 กลบีดอกม ี5 มขีน�ดเล็กลดขน�ดลง หรอืบ�งทกี็ไม่มเีลย เกสรเพศผู้ม ี2 ชัน้ แต่ละชัน้เชื่อมตดิกัน ชัน้นอกมัก
เป็น staminode หรอืไม่มเีลย ชัน้ในเป็นเกสรสมบูรณ์ อับเรณูม ี2 เซลล์ รังไข่ม ี5 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 2 หรอืม�ก
เมล็ด ผล เป็นชนดิ capsule หรอืเป็นพวง (follicle) เมล็ดม ีendosperm
พรรณพชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 50 สกุล เป็นไม้เขตร้อน หรอืกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่ประม�ณ
16 สกุล ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ก็คอืสกุล Pterospermum, Sterculia, Pterygota, Firmiana, Pterocymbium
และ Heritiera ส่วนที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. คอื สกุล Scaphium
สกุล Pterospermum นัน้ มดีอกสมบูรณ์เพศ กลบีดอกใหญ่ ผลเป็น capsule แยกออกเป็น 5 เสี่ยง เช่น
สลักพ�ด P.diversifolium Blume
142 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
143Parker และ A. cucullata (Roxb.) Pellegr. กัดลิ้น หรอื ขี้อ้�ย Walsura robusta Roxb. และ W. villosa Wall. ex Wight
& Arn. ตะบูนดำ� Xylocarpus moluccensis (Lam.) M. Roem. ตะบัน X. gangeticus Parkinson ยมหนิ หรอื สะเด�หนิ
Chukrasia tabularis A. Juss ยมหอม หรอื สเีสยีดอ้ม หรอื สะเด�หนิ Toona ciliate M. Roem.
ไม้ต่�งประเทศที่นำ�ม�ปลูกกันเป็นไม้รมิถนนคอื มะฮอกก�น ีSwieteria macrophylla King
สกุล สะเด� Azadirachta และ เลี่ยน Melia มใีบประกอบแบบขนนก 2 หรอื 3 ชัน้ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย
ผลชนดิ drupe กระท้อน Sandoricum ใบประกอบ 3 ใบ (tri-foliate) ผลอวบนำ�้ขน�ดใหญ่ ยมหอม Toona และ
ยมหนิ Chukrasia ใบประกอบแบบขนนก ผลชนดิ capsule ต�เสอื Aphanamixis ใบประกอบแบบขนนก ผลเปลอืก
หน� แก่จัดแตกออกเป็นเสี่ยงต�มรอยประส�น เมล็ดมเียื่อหุ้ม ตะบัน และ ตะบูน Xylocarpus ใบประกอบแบบขนนก
ผลเปลอืกบ�ง แก่จัดแตกออกไม่เป็นระเบยีบ เมล็ดไม่มเียื่อหุ้ม
ลักษณะเด่นของพันธุ์ไม้ในวงศ์นี้ก็คอื โคนก้�นใบมักจะพองใหญ่
5. วงศ์เปล้ำ Euphorbiaceae sensu stricto
ไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม หรอืไม้ต้น มักมนีำ�้ย�ง ใบ ส่วนม�กตดิเรยีงสลับ มหีูใบ ดอก มขีน�ดเล็ก สมม�ตรต�ม
รัศม ีเพศเดยีว และมักต่�งเพศร่วมต้น ออกเป็นช่อแยกแขนง กลบีรวม (perianth) ม ี5 เรยีงเป็น 2-1 วง หรอืลดรูป
เกสรเพศผู้ม ี1 ถงึจำ�นวนม�ก มักมจี�นดอก (disc) รังไข่ม ี3 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 1 เม็ด ห้อยหรอืควำ่� (anotropous)
ก้�นเกสรเพศเมยีม ี 3 ผล มหีล�ยแบบ ส่วนม�กเป็น 3 พู เมื่อแก่จะแตกต�มรอยประส�น มเีมล็ด 6-3 เมล็ดม ี
endosperm (ประกอบด้วยวงศ์ย่อย Acalyphoideae วงศ์ย่อย Crotonoideae และวงศ์ย่อย Euphorbioideae)
พชืในวงศ์นี้ทั่วโลกม ี280 สกุล ในประเทศไทยพบ 87 สกุล 425 ชนดิ พรรณไม้วงศ์นี้มคีุณค่�ท�งเศรษฐกจิ
หล�กหล�ยชนดิ ท�งด้�นสมุนไพร ได้แก่ สกุล เปล้� Croton มหีล�ยชนดิ เช่น เปล้�น้อย C. sublyratus Kurz เปล้�
ใหญ่ C. oblongifolius Roxb. ฯลฯ.
สกุล ขันทองพย�บ�ท Suregada ได้แก่ S. multiflorum (A. Juss.) Baill. สกุล ลูกใต้ใบ หรอื มะยม Phyllanthus
เช่น ลูกใต้ใบ หรอื มะข�มป้อมดนิ P. amarus Schum. & Thonn. พชือ�ห�ร เช่น มะยม Phyllanthus cidus (L.) Skeels
มะข�มป้อม P. emblica L. มะไฟ Baccaurea ramiflora Lour. พชืเกษตร ได้แก่ มันสำ�ปะหลัง Manihot esculenta Crantz
ละหุ่ง Ricinus communis L. บ�งชนดิปลูกเป็นไม้ประดับ เช่น ครสิต์ม�ส Euphorbia pulcherrima Willd.
นอกจ�กนี้ยังเป็นวัชพชื เช่น นำ�้นมร�ชสหี์ Euphorbia hirta L. พชืมพีษิ เช่น สลอด Croton tiglium L.
ปัจจุบันวงศ์เปล้�ในบ�งวงศ์ย่อย และบ�งเผ่�ได้แยกเป็นวงศ์ใหม่ ได้แก่ วงศ์มะข�มป้อม Phyllanthaceae
เป็นวงศ์ที่มอีอวุล 2 เม็ด(ยกระดับจ�กวงศ์ย่อย Phyllathoideae) วงศ์สองกระดองเต่� Putranjivaceae (ยกระดับจ�ก
เผ่� Drypeteae) และวงศ์ Picrodendraceae (ยกระดับจ�กวงศ์ย่อย Oldfieldioideae)
11. อันดับ Sapindales
ดอก bisexual หรอื unisexual กลบีดอกส่วนม�กเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) disc ถ้�มจีะเชื่อมกับโคน
กลบีเลี้ยง เกสรเพศผู้มชีัน้เดยีว จำ�นวนเท่�กันกับกลบีดอก หรอืสองเท่�ของกลบีดอก เรยีงเป็น 2 ชัน้ เกสรเพศเมยี
syncarpous ม ี placenta แบบ axile รังไข่ส่วนม�ก superior ไข่ห้อยแขวนอยู่ที่ตอนบน หรอืตัง้ตรงที่ฐ�นของรังไข่
เมล็ดม ีendosperm น้อย หรอืไม่มเีลย ใบ เดี่ยว หรอืประกอบ ไม่มจีุดในเนื้อใบ
รูปวธิำนแยกสกุล
1. แกนกล�งใบย่อยมปีีก กิ่งก้�นมหีน�ม เกสรเพศผู้มเีกล็ด Harrisonia
1. แกนกล�งใบย่อยไม่มปีีก กิ่งก้�นไม่มหีน�ม เกสรเพศผู้ม ีหรอืไม่มเีกล็ด
2. มหีูใบ หลุดร่วงง่�ย เกสรเพศผู้ไม่มเีกล็ด กลบีดอกขย�ยขึ้นเมื่อเป็นผล Picrasma
2. มหีูใบ เกสรเพศผู้ม ีหรอื ไม่มเีกล็ด
3. ใบย่อยไม่มกี้�นใบ หรอื สัน้ม�ก ตดิกับแกนกล�งโดยมขี้อต่อเห็นชัด Eurycoma
3. ใบย่อยมีก้�น ก้�นใบย่อยย�วอย่�งน้อย 2 มม.
4. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเป็น 2 เท่�ของกลบีดอก ช่อดอกแยกแขนง กิ่งก้�นหน� มรีอยแผลเป็นที่ใบหลุดร่วงไป
ขน�ดใหญ่ ผลมปีีก Ailanthus
4. เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับกลบีดอก ช่อดอกเป็นกระจุกแยกแขนง กิ่งก้�นไม่เหมอืนข้�งบน ผลเมล็ดแข็ง
Brucea
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 2(4): 439-447. 1981.)
3. วงศ์มะเกิ้ม Burseraceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม เปลอืกมักมชีัน (resin) ใบ ส่วนม�กเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ออกเรยีงสลับ
กัน เนื้อใบมจีุดต่อม (glandular punctuate) ดอก เล็ก regular ส่วนม�ก unisexual ออกเป็นช่อแบบ raceme หรอื
panicle กลบีเลี้ยงม ี5-3 กลบีดอกม ี5-3 เกสรเพศผู้มักมจีำ�นวนเป็น 2 เท่�ของกลบีดอก ก้�นชูอับเรณูแยกจ�กกัน
หรอืเชื่อมตดิกัน และตดิกับ disc รังไข่ม ี5-2 ช่อง ช่องหนึ่งมไีข่ 2 เมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีวสัน้ ผล แบบ
drupe หรอื capsule เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 16 สกุล ส่วนใหญ่มถีิ่นกำ�เนดิในทวปีอเมรกิ�และแอฟรกิ� ในประเทศไทยมี
อยู่ 5 สกุลด้วยกัน ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ม ี3 ชนดิ อยู่ต่�งสกุลกัน คอื มะเกิ้ม หรอื มะกอกเลื่อม Canarium
ubulatum Guill. มะแฟน Protium serratum Engl. และ ตะครำ�้ หรอื หวดี Garuga pinnata Roxb.
4. วงศ์เลี่ยน Meliaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ ส่วนม�กเป็นใบประกอบแบบ pinnate เนื้อใบไม่มจีุดต่อม ไม่มหีูใบ ดอก regular,
bisexual ช่อดอกเป็นแบบ cymose panicle กลบีเลี้ยงม ี6-3 กลบี (ส่วนม�กมจีำ�นวน 5) บ�งทเีชื่อมตดิกันตอนโคน
กลบี เกสรเพศผู้ม ี10-8 อัน เชื่อมตดิกันเป็นหลอดรอบ ๆ ฐ�นของ disc รังไข่ม ี5-3 ช่อง ช่องหนึ่งมไีข่ 2-1 เมล็ด
ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ยอดเกสรเพศเมยีพองโต ผล มักเป็นผลแห้งแบบ capsule หรอืผลสดชนดิ baccate
เมล็ดมจีำ�นวนน้อย ขน�ดใหญ่ มักมเียื่อหุ้มหรอืมปีีก ม ีendosperm หรอืไม่มี
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 50 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่ 15 สกุลด้วยกัน ที่เป็น
ไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื สะเด� Azadirachta indica A. Juss. เลี่ยน Melia azedarach L. กระท้อนป่� Sandoricum
koetjape (Burm. f.) Merr. จันทน์ชะมด Aglaia pyramidata Hance ต�เสอื Aphanamixis polystachya (Wall.) R.N.
144 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
145
มะข�มป้อม
Azedirachta indica A. Juss.
(Phyllanthaceae)
สำ�เภ�
Chaetocarpus castanocarpus (Roxb.) Thwaites
(Peraceae)
เปล้�ภูวัว
Croton poomae Esser
(Euphorbiaceae)
ประคำ�ไก่
Putranjiva roxberghii Wall.
(Putranjivaceae)
ภ�พที่ 36
พรรณไม้ในอันดับนี้มลีักษณะคล้�ยกันกับอันดับ Geraniales ลักษณะที่จะแยกออกจ�กกันได้ง่�ย ๆ ก็คอื
ในอันดับนี้เกสรเพศผู้มจีำ�นวนจำ�กัด ไข่ห้อยแขวน ช่อง micropyle อยู่ท�งด้�นบน
พรรณไม้ในอันดับนี้มอียู่ 12 วงศ์ด้วยกัน แต่จะกล่�วถงึคอื วงศ์ Celastraceae, Sapindaceae และ
Anacardiaceae เท่�นัน้
1. วงศ์สองสลงึ Celastraceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ออกตรงข้�ม ห�ย�กที่ออกเรยีงสลับ ดอก เล็ก regular, bisexual สเีขยีวหรอื
ข�ว ออกเป็นช่อแบบ cyme กลบีเลี้ยงม ี5-4 เรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate) กลบีดอกม ี5-4 เรยีงซ้อนสลับกัน
เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กันกับกลบีดอก ห�ย�กที่มเีพยีง 3 อัน ตดิอยู่ต�มขอบของ disc ที่มขีน�ดใหญ่ แบนร�บ
รังไข่ไม่มกี้�นส่ง ม ี5-2 ช่อง ช่องหนึ่งมไีข่ 2 เมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มอีันเดยีว ผล ชนดิ capsule หรอื
baccate เมล็ดมเียื่อหุ้ม ม ีendosperm หรอืไม่มี
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 90 สกุล พบทั่วไปในโลก ในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน 13 สกุล ที่เป็นไม้หวง
ห้�มมเีพยีงสกุลเดยีว คอื Lophopetalum ม ี3-2 ชนดิ เช่น สองสลงึ หรอื ย�ยปู่ L. duperreanum Pierre เนื้อเหนยีว
หรอื พันจุล ีL. wallichii Kurz และ พวกพร้�ว L. javanicum (Zoll.) Turcz.
พรรณไม้ในสกุลนี้เป็นไม้ต้นขน�ดใหญ่ พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่ว ๆไป ผลชนดิ capsule แก่จัดจะแตกออกเป็น
3 เสี่ยง เมล็ดมปีีกบ�งใสทัง้สองด้�น
2. วงศ์ล�ำใย Sapindaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ห�ย�กที่เป็นไม้เถ� ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรยีงสลับ ดอก เล็ก มักเป็นชนดิ unisexual
บ�งครัง้ zygomorphic กลบีเลี้ยงม ี5-4 กลบี เรยีงซ้อนเหลี่อมกัน (imbricate) กลบีดอกม ี5-4 หรอืบ�งทไีม่มเีลย
ขน�ดไม่เท่�กัน disc มักอยู่ด้�นใดด้�นหนึ่ง (unilateral) เกสรเพศผู้มักม ี8 อัน (หรอื 10-5) รังไข่เรยีบหรอืเป็นพู มัก
ม ี3 ช่อง ก้�นเกสรเพศเมยีม ี1 ไข่มจีำ�นวน 2-1 เมล็ดต่อช่อง ผล เป็นชนดิ capsule หรอื drupe เมล็ดมเียื่อหุ้ม หรอื
ไม่ม ีส่วนม�กไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 130 สกุล ส่วนม�กเป็นพชืเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมปีระม�ณ
23 สกุล ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. มอียู่ 3 สกุล คอื ขี้หนอน Zollingeria dongnaiensis Pierre ตะกร้อ Schleichera
oleosa (Lour.) Oken และ คอแลน Nephelium hypoleucum Kurz
พรรณไม้ที่มีประโยชน์อื่น ๆ ให้ผลใช้รับประท�นได้ คอื ลำ�ไย Dimocarpus longana Lour. ลิ้นจี่, สรี�มัน
Litchi chinensis Sonn. เง�ะ Nephelium lappacem L. มะหวด Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. ชำ�มะเลยีง L.
fruticosa (Roxb.) Leenh. เมล็ดใช้แทนสบู่ และเปลอืกชัน้นอกก็ใช้หมักทำ�สบู่ได้เหมอืนกัน คือ มะซัก Sapindus rarak
DC.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 25: 21-53. 1997.)
146 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
147
ตะโกน�
Diospyros rhodocalyx Kurz
(Ebenaceae)
พิกุล
Mimusops elengi L.
(Sapotaceae)
โมกสย�ม
Wrightia siamensis D.J. Middleton
(Apocynaceae)
หญ้�พันเกลียว
Ceropegia thailandica Meve
(Apocynaceae)
ภ�พที่ 38
กฤษณ�
Aquilaria crassna Pierre ex Lec.
(Thymelaeaceae)
พวมพร้�ว
Aquilaria malaccensis Lam.
(Thymelaeaceae)
ตะแบกน�
Lagerstroemia floribunda Jack
(Lythraceae)
อินทนิลน้ำ�
Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.
(Lythraceae)
ภ�พที่ 37
148 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
149
3. วงศ์มะม่วง Anacardiaceae
ไม้ต้น มยี�ง (resin) ระค�ยเคอืงต่อผวิหนัง เมื่อถูกอ�ก�ศจะกล�ยเป็นสดีำ� ใบ ออกเรยีงสลับ ห�ย�กที่
ออกตรงข้�ม ไม่มหีูใบ ดอก เล็ก สเีขยีว ข�ว หรอืชมพู มัก unisexual ออกเป็นช่อ panicle กลบีเลี้ยงและกลบีดอก
จำ�นวน 5 (หรอื 7-3) ม ีdisc เป็นรูปวงแหวน เกสรเพศผู้ตดิอยู่ใต้ฐ�นของ disc มักมจีำ�นวนเป็น 2 เท่�ของกลบีดอก
บ�งอันเป็นหมัน เกสรเพศเมยีม ี3-2 อัน รังไข่ม ี3-1 ช่อง ช่องหนึ่งมเีมล็ดเดยีว ก้�นเกสรเพศเมยีม ี3-1 น ผล มัก
เป็นชนดิ drupe บ�งทมีปีีกที่เกดิจ�กกลบีดอก เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 60 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตร้อน ในประเทศไทยม ี18 สกุล เป็นไม้หวงห้�ม
10 สกุล
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบเดี่ยวออกตรงข้�มหรอืเรยีงสลับ
2. ใบออกตรงข้�ม ผลอวบนำ�้ Bouea
2. ใบออกเรยีงสลับ
3. กลบีดอกร่วงหลุดไปไม่เจรญิเป็นปีกรองรับผล
4. ก้�นผลบวมใหญ่ Semecarpus
4. ก้�นผลไม่บวมใหญ่
5. รังไข่มอีันเดยีว ผลใญ่อวบนำ�้ Mangifera
5. รังไข่ม ี5 อัน แยกจ�กกัน Buchanania
3. กลบีดอกไม่หลุดร่วงและเจรญิเป็นปีกรองรับผล
6. กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน ผลไม่มกี้�นส่ง Gluta
6. กลบีเลี้ยงแยกจ�กกัน ผลมกี้�นส่ง Swintonia
1. ใบประกอบแบบขนนก ผลอวบนำ�้
7. เมล็ดมหีล�ยช่อง
8. ลำ�ต้นกลม ผลัดใบ เมล็ดไม่มรีอยท�งด้�นบน Spondias
8. ลำ�ต้นใหญ่มพีูพอน ไม่ผลัดใบ เมล็ดมรีอยท�งด้�นบน 5 รอย Dracontomelon
7. เมล็ดมชี่องเดยีว Lannea
พรรณไม้ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื มะยง Bouea oppositifolia (Roxb.) Meisn. รักขี้หมู Buchanania
lanzan Spreng. มะม่วงป่� Mangifera caloneura Kurz, M. lagenifera Griff และ M. sylvatica Roxb. มะม่วงหัว
แมลงวัน Buchanania reticulate Hance เปรยีง Swintonia schwenkii (Teijsm. & Binn.) Teijsm. & Binn. มะกอกป่�
โกงก�งเข�
Fagraea ceilanica Thunb.
(Gentianaceae)
ตะเคียนเฒ�่
Fagraea racemosa Jack
(Gentianaaceae)
เข็มดอย
Duperrea pavettifolia (Kurz) Pit.
(Rubiaceae)
เข็มทอง
Ixora javanica (Blume) DC.
(Rubiaceae)
ภ�พที่ 39
150 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
151 3. กลบีเลี้ยงม ี6 กลบี เรยีงเป็น 2 ชัน้
5. เกสรเพศผู้เป็นหมัน (staminodes) ม ี6 รังไข่ม ี7 ช่อง หรอืม�กกว่� Manilkara
5. ไม่มเีกสรเพศผู้เป็นหมัน (staminodes) รังไข่ม ี6 ช่อง Palaquium
พรรณไม้ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื ขี้ผึ้ง Donella lanceolata (Blume) Aubreville โพอ�ศัย หรอื ง�ไซ
Planchonella obovata Pierre มะซ�ง Madhuca pierrei H.J. Lam พกิุลเถื่อน Payena lucida A.DC. และ เกด
Manilkxantra hexandra Dubard
ส่วน ขนุนนก Palaquium obovatum (Griff.) Engler นัน้ เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. เพื่อสงวนไว้สับเอ�ย�ง
ที่เรยีกท�งก�รค้�ว่� Gutta percha ใช้หุ้มส�ยโทรเลขใต้นำ�้
พรรณไม้ที่มีประโยชน์ชนดิอื่น ๆ ในวงศ์นี้ม ีละมุด Manikaraachras (Mill.) Fosberg ที่ปลูกเป็นไม้ผล ละมุด
สดี� Madhuca grandiflora Fletcher และ M. esculenta Fletcher เป็นพรรณไม้พื้นบ้�นเร� พกิุล Mimusops elegi L.
เป็นไม้พื้นเมอืงของประเทศอนิเดยี ปลูกกันต�มวัดทั่ว ๆไปต้นไคนโิต หรอื Star-apple คอื Chrysophyllum cainito L.
ได้มผีู้นำ�ม�ปลูกกันบ้�งเป็นไม้ผล แต่ไม่นยิมรับประท�นกัน
2. วงศ์มะพลับ Ebenaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม เปลอืกมักมสีดีำ� ใบ เดี่ยว ขอบเรยีบ มักตดิเรยีงสลับ ดอก เพศเดยีว (unisexual) ออก
เดี่ยว ๆ หรอืเป็นช่อกระจุกแน่น (cyme) ดอกมจีำ�นวนน้อย กลบีเลี้ยงม ี5-3 กลบี และมักจะบดิเวยีนต�มกันเมื่อ
บ�นเต็มที่ เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับกลบีดอก หรอืม�กกว่�เป็น 3-2 เท่� แยกจ�กกันหรอืเชื่อมกันเป็นกลุ่ม รังไข่
superior ม ี5-3 ช่องหรอืม�กกว่� แต่ละช่องมไีข่ 2-1 เมล็ด ผล สดชนดิ berry เปลอืกหน�หรอือวบนำ�้ มเีมล็ดเดยีว
หรอืหล�ยเมล็ด เมล็ดม ีendosperm ย่นเป็นร่อง
พรรณพืชในวงศ์นี้ม ี 5 สกุล เป็นพชืในเขตร้อนหรอืกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมอียู่เพยีงสกุลเดยีว คอื
Diospyros เป็นไม้หวงห้�มเกอืบทุกชนดิ มะเกลอื Diospyros mollis Griff. เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. เพร�ะเนื้อไม้
สดีำ�เป็นที่ต้องก�รของท้องตล�ดม�ก ส่วนผลใช้ย้อมผ้�ดำ�สไีม่ตก นอกจ�กนัน้ยังใช้เป็นย�ถ่�ยพย�ธไิด้เป็นอย่�งด ี
พันธุ์ต่�งประเทศที่ปลูกกันเป็นไม้ผลม ี พลับ Diospyros kaki L.f.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 2(4): 281-392. 1981.)
3. วงศ์ก�ำยำน Styracaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ตดิเรยีงสลับกัน มักมขีนเป็นกระจุกหรอืสะเก็ดปกคลุม ดอก bisexual ออกเป็น
ช่อชนดิ raceme หรอื panicle กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันเป็นรูประฆัง ปล�ยม ี5 แฉก หลอดกลบีดอกมักจะสัน้ 6-5 กลบี
แต่ละกลบีขอบขน�น รังไข่ superior ม ี5-3 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีว หรอืสองส�มเมล็ด ก้�นเกสรเพศเมยีรูป
ลิ่มแคบ ผล สดชนดิ drupe เมล็ดไม่ม ีendosperm
พรรณพืชในสกุลนี้มปีระม�ณ 10 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตอบอุ่นของโลก ในประเทศไทยมอียู่ด้วยกัน
2 สกุล สกุล Styrax ชนดิที่เป็นไม้ต้น เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. เพื่อสงวนไว้สับเอ�ย�งที่เรยีกกันว่� กำ�ย�น คอื
กำ�ย�น S. benzoin Dryander กำ�มะแย S. betongensis Fletcher กำ�ย�น หรอื สะด�น S. benzoides Craib พรรณไม้ใน
สกุลนี้มักจะมี gall ที่แมลงจำ�พวก Diptera ม�ว�งไข่ เกดิเป็นรูปลักษณะต่�ง ๆ พออ�ศัยใช้เป็นหลักแยกชนดิได้บ้�ง
Spondias pinnata (L.f.) Kurz พระเจ้�ห้�พระองค์ Dracontomelon dao (Blanco) Merr. และ กุ๊ก หรอื อ้อยช้�ง Lannea
coromandekica (Houtt.) Merr. ส่วนไม้ รักหลวง หรอื รักใหญ่ Gluta usitata (Wll.) Ding Hou และ G. laccifera (Pierre)
Ding Hou นัน้เป็นไม้หวงห้�มประเภท ข. เนื่องจ�กย�งใช้ทำ�เครื่องเขนิ ลงรักปิดทอง
มะม่วงชนดิต่�ง ๆ ที่ปลูกกันเป็นผลนัน้ต่�งเป็นพันธุ์ของ Mangifera indica L. มะปร�ง หรอื มะยงชดิ ที่ปลูก
กันมผีลใหญ่ คอื Bouea macrophylla Griff. ไม้อกีชนดิหนึ่ง ที่ใช้ย�งทำ�เครื่องเขนิได้ก็คอื แกนมอ Rhus succedanea L.
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 1-25. 1994.)
12. อันดับ Ebenales
ดอก สมม�ตรต�มรัศม ี (actinomorphic) กลบีดอกเชื่อมตดิกันเป็นท่อ เกสรเพศผู้บ�งทมีจีำ�นวนม�ก ตดิ
อยู่บนกลบีดอก หรอืเป็นอสิระ บ�งทเีรยีงสลับกันกับ staminodes รังไข่ superior หรอื inferior ม ี8-2 ช่อง placenta
แบบ axile เมล็ดม ีendosperm ม�ก
พรรณพชืในอันดับนี้ม ี4 วงศ์ด้วยกัน จะกล่�วถงึเพยีง 3 วงศ์เท่�นัน้ คอื Sapotaceae, Ebenaceae และ
Styraceae
1. วงศ์ละมุด Sapotaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม มีนำ�้ย�งสขี�วเหมอืนนำ�้นม ใบเดี่ยว ขอบใบมักเรยีบ ดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual)
สมม�ตรต�มรัศม ี(regular) ออกเป็นช่อแบบแยกแขนง (panicle) หรอืเป็นกระจุก (cyme) ห�ย�กที่ออกเดี่ยว ๆ กลบี
เลี้ยง 8-4 มชีัน้เดยีวหรอื 2 ชัน้ ท่อกลบีดอกสัน้ จำ�นวนแฉกกลบีเท่�กับกลบีเลี้ยง เกสรเพศผู้ตดิอยู่บนกลบีดอก
มักจะเรยีงเป็น 2 หรอื 3 ชัน้ ชัน้ในสุดเป็นเกสรที่สบืพันธุ์ได้ ชัน้นอกเป็นเกสรที่เป็นหมัน หรอืไม่ม ีรังไข่เหนอืวงกลบี
(superior) ม ี10-4 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีว placenta แบบ axile ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มอีันเดยีว ผล สด
ชนดิ berry
พรรณไม้ในวงศ์นี้มปีระม�ณ 40 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตร้อน ในประเทศไทยมดี้วยกัน 9 สกุล เป็นไม้
หวงห้�มอยู่ 6 สกุล
รูปวธิำนแยกสกุล
1. กลบีเลี้ยงม ี5 กลบี เรยีงเป็นชัน้เดยีว กลบีดอกม ี5 กลบี
2. ใบมเีส้นใบขน�นกันถี่ ท้องใบมักมขีนสนีำ�้ต�ลแดง Donella
2. ใบไม่เมอืนข้�งบน Planchonella
1. กลบีเลี้ยงม ี 8-4 กลบี เรยีงเป็น 2 ชัน้ ชัน้นอกเรยีงจรดกัน (valvate) ชัน้ในเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน (imbricate)
กลบีดอกมจีำ�นวนม�ก
3. กลบีเลี้ยงม ี4 กลบี เรยีงป็น 2 ชัน้
4. ใบมเีส้นใบแบบขนนกแยกจ�กเส้นกล�งใบ Mahuca
4. ใบมเีส้นใบขน�นกับเส้นกล�งใบ Payena
152 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
153 2. ผลผวิหน�แข็ง ย�วประม�ณ 10 เท่�ของคว�มกว้�ง ตัง้ขึ้น โคนต้นไม่มพีูพอน Dyera
1. ใบตดิตรงข้�ม
3. เกสรเพศผู้โผล่พ้นท่อกลบีดอก ผลผวิหน� รูปกระสวยย�ว Wrightia
3. เกสรเพศผู้ไม่โผล่พ้นท่อกลบีดอก ผลผวิบ�ง รูปเรยีว Holarrhena
สกุล Alsonia, Wrightia และ Holarrhena เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. ได้แก่ ตนีเป็ด หรอื สัตบรรณ Alstonia
scholaris (L.) R. Br. ตนีเป็ดพรุ หรอื เทยีะ A. spathulata Blume ซึ่งเป็นไม้เบ�ที่สุดของประเทศไทย โมกมัน
Wrightia tomentosa Roem. & Schult. โมกหลวง Holarrhena antidysenteria Wall. ส่วนสกุล Dyera นัน้ เป็นไม้หวง
ห้�มประเภท ข. เพื่อสงวนเอ�ไว้สับเอ�ย�งทำ�หม�กฝรั่ง คอื ตนีเป็ดแดง หรอื เยลูตง Dyera costulata (Miq.) Hook.f.
พรรณพชืในวงศ์นี้มจีำ�นวนม�กเป็นพชืสมุนไพร ที่ใช้ผล เช่น ชะลูด Alyxia reinwardtii Blume ใช้ร�ก เช่น
ระย่อม Rauvolfia serpentina (L.) Benth. ex Kurz ใช้เปลอืก เช่น โมกหลวง Holarrhena antidysenteria Wall. เป็นต้น
นอกจ�กนี้ได้นำ�เอ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับม ี บ�นบุรเีหลอืง Allamanda cathartica L. ชวนชม Adenium obesum
(Forsk.) Roem. & Schult แพงพวยฝรั่ง Catharanthus roseus (L.) G. Don ยี่โถ Nerium oleander L. รำ�เพย Thevetia
peruviana (Pers) K. Schum. หน�มแดง Carissa carandus L. ลั่นทมข�ว Plumeria obtuse L. ลั่นทมแดง P. rubra L.
พุดฝรั่ง Tabernaemontana divaricata (L.) R. Br. ex Roem. & Schult และหริัญญกิ�ร์ Beaumontia multiflora Teijsm.
& Binn. เป็นต้น
14. อันดับ Rubiales
ดอก actionmorphic หรอืบ�งท ี zygomorphic กลบีดอกเชื่อมตดิกัน เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กับกลบีดอก
อับเรณูเป็นอสิระ แตกต�มย�ว เกสรเพศเมยีชนดิ syncarpous รังไข่ inferior ช่องหนึ่งมไีข่เมล็ดเดยีว หรอืจำ�นวน
ม�ก placenta ชนดิ axile ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว เมล็ดส่วนม�กม ีendosperm ใบตดิตรงข้�ม หูใบถ้�มจีะอยู่
ระหว่�งก้�นใบทัง้สอง (interpetiolar stipules)
พรรณไม้ในอันดับนี้มดี้วยกัน 2 วงศ์ จะกล่�วถงึเพยีงวงศ์เดยีว คอื Rubiaceae
1. วงศ์เข็ม Ribiaceae
ไม้พุ่ม ไม้ต้น หรอื ไม้เถ� ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�ม ขอบเรยีบ หูใบชนดิ interpetiolar เห็นชัด ดอก สมบูรณ์เพศ
(bisexual) สมม�ตรต�มรัศม ี(regular) มชีัน้ละ 5-4 กลบี ออกเป็นช่อกระจุกแน่น (cyme) ธรรมด� หรอืเป็นช่อแยก
แขนง ท่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกับรังไข่ ท่อกลบีดอกสัน้หรอืย�ว ปล�ยม ี5-4 กลบี เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กัน และตดิ
เรยีงสลับกับกลบีดอก รังไข่ inferior มักม ี2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่เมล็ดเดยีว หรอืจำ�นวนม�กตดิอยู่บน placenta ชนดิ
axile ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว ผล ชนดิ capsule, baccate หรอื drupe, embryo ใหญ่ ม ีendosperm ม�ก
พรรณพชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 400 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมี
ประม�ณ 69 สกุล ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื สกุล ก้�นเหลอืง Nauclea สกุล กระทุ่ม Anthocephalus
สกุล กว้�ว Haldina สกุล ตุ้มกว้�ว Mitragyna สกุล ส้มกบ หรอื อุโลก Hymenodictyon สกุล พุด Gardenia และ
สกุล ยอ Morinda
13. อันดับ Gentianales
ดอก แบบ actinomorphic กลบีดอกเชื่อมตดิกัน กลบีบดิเวยีนต�มกัน (convolute) เกสรเพศผู้ตดิอยู่กับ
หลอดกลบีดอก สลับกันกับแฉกกลบีดอก ห�ย�กที่เชื่อมตดิกับเกสรเพศเมยีที่ทำ�ให้เกดิส่วนที่เรยีกว่� gynostegium
ขึ้น รังไข่ superior ม ี2 ค�ร์เพล มชี่องเดยีวหรอื 2 ช่อง เมล็ดมักม ีendosperm, embryo เหยยีดตรง
พรรณพชืในอันดับนี้ล้วนแต่มกีลบีดอกที่บดิเวยีนต�มกัน ต่�มเีกสรเพศเมยี 2 อัน และรังไข่ superior มอียู่
ด้วยกัน 5 วงศ์ จะไดกล่�วถงึ 2 วงศ์ คอื Loganiaceae และ Apocynaceae เท่�นัน้
1. วงศ์กันเกรำ Loganiaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�ม หรอืเป็นวงรอบกิ่ง หูใบมักอยู่ตรงกล�ง
ระหว่�งใบทัง้สอง ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual) สมม�ตรต�มรัศม ี (regular) ออกเป็นช่อชนดิซี่ร่ม (umbel) หรอื
ช่อกระจุกแน่นแตกแขนง (paniculate cyme) กลบีเลี้ยงม ี 5-4 กลบี กลบีดอกเป็นท่อหรอืระฆัง ปล�ยแยกเป็น
5-4 กลบี เกสรเพศผู้ม ี5-4 ตดิอยู่บนท่อกลบีดอก รังไข่ superior หรอื half-inferior ม ี2 ช่อง ไข่มจีำ�นวนม�กตดิอยู่
บน placenta แบบ axile ก้�นเกสรเพศเมยี (style) มอีันเดยีว ผล สดชนดิ berry หรอื ผลแห้งชนดิ capsule เมล็ดม ี
endosperm
พรรณพชืในวงศ์นี้มมี�กกว่� 30 สกุล เป็นพชืเขตอบอุ่น และเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยมอียู่ 8 สกุล
ที่เป็นไม้หวงห้�มม ี2 สกุล
สกุล Fagraea คอื ตำ�เส� กันเกร� หรอื มันปล� F. fragrans Roxb. พบขึ้นต�มป่�ดบิทั่วไปและที่ ๆมนีำ�้ขัง
สกุล Strychnos คอื แสลงใจ S. nux-vornica L. พบขึ้นทั่ว ๆ ไปต�มป่�เต็งรัง
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 6(3): 197-225. 1997.)
2. วงศ์ลั่นทม Apocynaceae
ไม้ต้น หรอืไม้พุ่ม หรอืไม้เถ� ห�ย�กที่เป็นไม้ล้มลุก มนีำ้�ย�ง ใบเดี่ยว มักออกตรงข้�มกัน หรอืเป็นวงรอบ
กิ่ง ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual) สมม�ตรต�มรัศม ี (regular) ออกเป็นช่อกระจุก (cyme) ธรรมด� หรอืชนดิ
corymbose cyme ท่อกลบีเลี้ยงสัน้ปล�ยม ี5 กลบี เกสรเพศผู้มักมตี่อม ท่อกลบีดอกมักย�ว และเป็นรูปกรวยแคบ
ปล�ยม ี5 กลบี บดิเวยีนต�มกัน เกสรเพศผู้ม ี5 อัน ตดิอยู่บนกลบีดอก อับเรณูรูปขอบขน�น แยกหรอืเชื่อมประส�น
กัน เกสรเพศเมยีม ี 2 อัน รังไข่ม ี 2 ค�ร์เพล ทัง้สองแยกหรอืประส�นตดิกันตรงโคน มกี้�นเกสรเพศเมยีอันเดยีว
รังไข่ส่วนม�ก superior ผล เป็นฝักชนดิแตกต�มแนวเดยีว (follicles) เป็นพวงคู่หนึ่ง หรอืแบบ drupe หรอื capsule
พรรณพชืในวงศ์นี้มกีว่� 300 สกุล ส่วนใหญ่อยู่ในเขตร้อน ในประเทศไทยมปีระม�ณ 42 สกุล 126 ชนดิ
ที่เป็นไม้หวงห้�มมดี้วยกัน 4 สกุล คอื Alstonia, Dyera, Holarrhena และ Wrightia
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบตดิเป็นวงรอบกิ่ง
2. ผลผวิบ�ง ย�วเรยีว ประม�ณ 20 เท่�ของคว�มกว้�ง ห้อยลง โคนต้นมพีูพอน Alstonia
154 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
155
15. อันดับ Tubiflorae
ดอก เป็น actinomorphic ถงึ zygomorphic กลบีดอกเชื่อมตดิกัน เกสรเพศผู้มจีำ�นวนเท่�กันและตดิเรยีง
สลับกันกับกลบีดอก หรอืไม่ก็ลดจำ�นวนลงเหลอืเพยีง 4 หรอื 2 อันมักจะตดิอยู่กับกลบีดอก รังไข่ superior
ส่วนม�กม ี2 ช่อง บ�งทหียักลกึ ก้�นเกสรเพศเมยี (style) เป็นชนดิ gynobasic ไข่มจีำ�นวนม�ก หรอืมจีำ�นวนเพยีง
เมล็ดเดยีวหรอืสองเมล็ด placenta ชนดิ axile, parietal หรอื basal ส่วนม�กเป็นพชืล้มลุก ที่เป็นไม้ต้นมจีำ�นวนน้อย
อันดับนี้นับว่�เป็นอันดับใหญ่ มพีรรณพชืรวมอยู่ด้วยกัน 13 วงศ์ จะกล่�วถงึแต่วงศ์ที่สำ�คัญคอื
Acanthaceae, Bignoniaceae และ Verbenaceae เท่�นัน้
1. วงศ์เหงอืกปลำหมอ Acanthaceae
ไม้ล้มลุก หรอืไม้พุ่ม ใบ เดี่ยว ตดิตรงข้�ม ไม่มหีูใบ ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual) สมม�ตรด้�นข้�ง
(irregular) ออกเป็นช่อแบบ raceme หรอื panicle กลบีเลี้ยงและกลบีดอกมอีย่�งละ 5 กลบี ปล�ยแยกเป็นซี่ฟัน
หรอืเป็นพู กลบีดอกจะแยกเป็น 2 ป�ก เกสรเพศผู้ม ี4 หรอื 2 อยู่บนกลบีดอก รังไข่ม ี2 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ตัง้แต่
2 ถงึหล�ยเมล็ด ตดิอยู่บน placenta ชนดิ axile ผล capsule มักแตกจ�กปล�ยลงไป เมล็ดมักมขีอ
พรรณพชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 240 สกุล พบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมปีระม�ณ 40 สกุล
มหีล�ยชนดิที่เป็นไม้ป่�ของไทย เช่น ห้อมช้�ง Phlogacanthus curviflorus Nees ออกดอกเป็นช่อตัง้ สสี้มแดง พบใน
ป่�ดบิชื้น เหงอืกปล�หมอ Acanthus ebracteaus Vahl ดอกสขี�ว หรอื ม่วงแดง พบต�มที่ลุ่มรมิแม่นำ�้ลำ�คลอง
บรเิวณนำ�้กร่อย และป่�ช�ยเลน อังก�บ Barleria cristata L. พบขึ้นต�มป่�ดบิ ป่�เต็งรัง หัวไร่ปล�ยน�
นอกจ�กนี้ยังนำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับ เช่น เข็มม่วง Eranthemum wattii Stapf บ�หย� Asystasia gangetica
(L.) Anders. ตรชีว� Justicia betonica L. ที่เป็นสมุนไพร เช่น เสลดพังพอน Barleria lupulina Lindl. ทองพันชั่ง
Rhinacanthus nasutus (L.) Kutz พญ�ปล้องทอง Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
2. วงศ์แคหำงค่ำง Bignoniaceae
ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอืไม้เถ� ใบ ตดิตรงข้�ม ส่วนม�กเป็นใบประกอบแบบนิ้วมอื (digitate) หรอืใบประกอบ
แบบขนนก (pinnate) 2-3 ชัน้ บ�งทปีล�ยใบแปรสภ�พเป็นมอืพัน (tendril) ไม่มหีูใบ ดอก เป็นช่อแบบ raceme,
panicle หรอื corymb ดอก bisexual, zygomorphic กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันเป็นรูประฆัง ปล�ยม ี5 แฉก หรอื 2 แฉก
บ�งทกี็เป็นก�บ (spathaceous) กลบีดอกม ี5 กลบี เชื่อมตดิกับกลบีบน 2 กลบี แยกออกเป็นส่วนหนึ่งจ�ก 3 กลบี
ล่�ง กลบีดอกเรยีงซ้อนเหลื่อมกัน เกสรเพศผู้ม ี5 อัน ตดิอยู่กับท่อกลบีดอก ห�ย�กที่สมบูรณ์ทัง้ 5 อัน มักจะม ี
4 อัน สองอันย�ว สองอันสัน้ (didynamous) อับเรณูม ี2 เซลล์ แตกออกต�มย�ว เกสรเพศผู้อันที่ 5 มักจะลดขน�ด
ลงหรอืห�ยไปเลย จ�นดอก (disc) เป็นต่อม รังไข่ superior ม ี2 ช่อง หรอืช่องเดยีว placenta แบบ parietal ไข่มี
จำ�นวนม�ก ก้�นเกสรเพศเมยี (style) ม ี2 แฉก ผล ชนดิ capsule แตกเป็น 2 ซกี เมล็ดแบนบ�งมปีีก หรอือวบนำ�้
เมล็ดไม่มปีีกฝังตัวอยู่ในเนื้อผล เมล็ดไม่ม ีendosperm, embryo เหยยีดตรง
พรรณพชืในวงศ์นี้มมี�กกว่� 100 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืแถบอเมรกิ�เขตร้อน ในประเทศไทยพบ 12 สกุล
จำ�นวน 23 ชนดิ ที่เป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. คอื สกุล แคข�ว Dolichandrone สกุล แคทร�ย หรอื แคฝอย
Stereospermum สกุล แคห�งค่�ง Fernandoa และ สกุล แคหัวหมู Markhamia
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ดอกอยู่ชดิตดิกันเป็นก้อนกลม หรอืกลมเบี้ยว ๆ อยู่ต�มปล�ยกิ่งหรอืง่�มใบ ท่อกลบีเลี้ยงแยกจ�กกันหรอืเชื่อม
ติดกัน ผลผวิแห้ง หรอืเชื่อมตดิกัน อวบนำ�้
2. ก้�นดอกกลมเบี้ยว ๆท่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกันสนทิโดยตลอด ผลอวบนำ�้ Morinda
2. ก้อนดอกกลม ท่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน หรอือยู่ชดิกัน หรอืแยกจ�กกัน เมื่อเป็นผลจะเชื่อมตดิกัน หรอืเพยีงอยู่
ชดิกัน หรอืแยกจ�กกัน
3. ท่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน หรอือยู่ชดิกัน ไม่มใีบประดับย่อย (bractlets)
4. ท่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน ผลค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน อวบนำ�้ Nauclea
4. ท่อกลบีเลี้ยงอยู่ชดิกัน ผลรูปกรวยควำ่� ม ี2 ช่อง แต่แบ่งออกเป็น 4 ตัง้แต่ส่วนบนลงไป ผวิแข็ง
Anthocephalus
3. ท่อกลบีเลี้ยงแยกจ�กกัน มใีบประดับย่อย (bractlets)
5. ช่อดอกเป็นก้อนเดี่ยว ๆ หรอืถ้�เป็นช่อชนดิ panicle ไม่มใีบประดับ (bracts) รองรับ ยอดเกสรเพศเมยีเป็นรูป
กระบอง
5. ช่อดอกเป็นชนดิ panicle มใีบประดับ (bracts) รองรับ ปล�ยเกสรเพศเมยีเป็นรูปคล้�ยฝ�ช ี Mitragyna
1. ดอกเป็นช่อธรรมด�ไม่ชดิตดิกันเป็นก้อน หรอืออกเดี่ยว ๆ
2. ดอกเป็นช่อมใีบประดับ (bracts) ใหญ่รองรับ ก้�นใบประดับย�วไม่หลุดร่วง แต่ขย�ยตัวใหญ่ขึ้นเมื่อเป็นผล
ผลชนดิ capsule Hymenodictyon
2. ดอกออกเดี่ยว ๆ หลอดกลบีดอกย�ว หูใบเชื่อมตดิกันหุ้มยอดอ่อนมดิ และมชีันเคลอืบฉ�บอยู่
ผลชนดิ baccate Gardenia
พรรณไม้หวงห้�ม คอื ยอป่� Morinda coreia Ham. และ M. elliptica Ridl. ก้�นเหลอืง Nauclea orientalis
L. กระทุ่มนำ�้ หรอื ตะโกส้ม Anthocephalus chinensis (Lamk.) A. Rich. ex Walp. กว้�ว Haldina cordifolia (Roxb.)
Ridsdale กระท่อมหมู Mitragyna brunonis (Wall. ex D. Don) Craib อุโลก หรอื ส้มกบ Hymenodictyon excelsum
Wall. พุด หรอื ข่อยด่�น Gardenia collinsae Craib
พรรณไม้ที่นำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับ พุดซ้อน Gardenia angusta (L.) Merr. ดอนย่�ข�ว Mussaenda philippica
A. Rich. var. aurorae Sulit ดอนย่�แดง M. erythrophylla Schum. & Thonn. เขี้ยวกระแต Paracoffea merguensis (Ridl.)
Le Roy เข็มอนิเดยี Pentas lanceolata (Forssk.) Deflers และเข็มต่�ง ๆ Ixora spp.
ชนดิที่เป็นสมุนไพรม ีควนินิ Cinchona ledgeriana Moens. และ C. succirubra Pav. ex Klotzsch ที่เป็นพชื
บรโิภค ก็ม ีก�แฟ Coffea arabica L. และ C. canephora Pierre ex Frohner (robusta หรอื congo coffee) ส่วนพชืใน
สกุล เกยีวโซ้ Uncaria มักจะมนีำ�้ฝ�ดสูงใช้ในก�รฟอกหนังชนดิดี
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Thai Forest Bulletin (Botany), No. 9: 15-55. 1975.)
156 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
157
พุดหอมไทย
Rothmannia thailandica Tirveng.
(Rubiaceae)
ก้�นเหลือง
Nauclea orientalis (L.) L.
(Rubiaceae)
กะอวม
Acronychia pedunculata (L.) Miq.
(Rutaceae)
มะน�วผี
Atalantia monophylla (L.) DC.
(Rutaceae)
ภ�พที่ 40
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบย่อยขอบเรยีบ ดอกสขี�ว เป็นรูปกรวย กลบียับย่น ย�วถงึ 18 ซม. Dolichandrone
1. ใบย่อยขอบจัก ดอกสมี่วงอ่อน หรอืเหลอืงแกมนำ�้ต�ล
2. ดอกสมี่วงอ่อน กลบียับย่น เป็นรูปกรวย ย�วถงึ 6 ซม. ผลเกลี้ยงกลมย�ว Stereospermum
2. ดอกสเีหลอืงแกมนำ�้ต�ล ท่อกลบีดอกมกีระพุ้งด้�นข้�ง
3. ผลมขีนนุ่ม ค่อนข้�งแบนโค้ง ๆ Markhamia
3. ผลมขีนสัน้ ๆ กลม มรี่องต�มย�ว บดิ Fernandoa
ไม้หวงห้�มในวงศ์นี้คอื แคข�ว หรอื แคน� Dolichandrone spathacea (L.f.) K. Schum แคฝอย Stereospermum
cylindricum Pierre ex G. Don แคหัวหมู Markhamia stipulate (Wall.) Seem ex K. Schum. var. stipulate และ แค
ห�งค่�ง Fernandoa adenophyllum (Wall. ex G. Don) Steenis
พรรณไม้ในวงศ์นี้ส่วนม�กมดีอกใหญ่สวยนยิมนำ�ม�ปลูกเป็นไม้ประดับหล�ยชนดิ คอื พวงแสด Pyrostegia
venusta (Ker) Miers กระเทยีบมเถ� Pachyptera hymenaea (DC.) A. Gentry แคแสด Spathodea camoanulata
Beauv. ทองอุไร Tecoma stans (L.) H.B.K. นำ้�เต้�ญี่ปุ่น Crescentia cujete L. ตนีเป็ดฝรั่ง Crescentia alata H.B.K.
ศรตีรัง Jacaranda mimosifolia D. Don และชมพูพันธ์ทพิย์ หรอื ธรรมบูช� Tabebuia rosea (Bertol.) DC. เป็นต้น
พันธุ์ไม้เหล่�นี้ล้วนเป็นไม้ต่�งประเทศ สำ�หรับพันธุ์ไม้ไทยที่ปลูกกันบ้�งม ีปีบ Millingtonia hortensis L.f. ส่วน เพก�
หรอื มะรดิไม้ Oroxylum indicum (L.) Kurz ปลูกกันต�มชนบทเพื่อใช้ฝักอ่อนรับประท�นเป็นผัก
(ดูร�ยละเอยีดเพิ่มเตมิในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 5(1): 32-66. 1987.)
3. วงศ์สัก Lamiaceae (Labiatae)
ไม้ต้น หรอืไม้ล้มลุก กิ่งมักเป็นสี่เหลี่ยม ใบ เดี่ยว หรอืใบประกอบ ตดิตรงข้�ม หรอืเรยีงเป็นวงรอบกิ่ง ไม่มี
หูใบ ช่อดอกหล�ยแบบ ชนดิ cyme, spike corymb หรอื thryse ดอก zygomorphic, bisexual มชีัน้ละ 5-4 กลบีเลี้ยง
เชื่อมตดิกัน และมักเจรญิขย�ยใหญ่เมื่อเป็นผล ม ี5-4 กลบี กลบีดอกเชื่อมตดิกัน ม ี5-4 กลบี เกสรเพศผู้ตดิอยู่กับ
ท่อกลบีดอก มักม ี4 อัน didynamous บ�งทมีเีพยีง 2 อัน ห�ย�กที่ม ี5 อัน (สกุล Tectona) อับเรณูม ี2 ช่อง แตก
ต�มย�ว รังไข่ superior ม ี8-2 ช่อง ส่วนใหญ่ม ี4 ช่อง ก้�นเกสรเพศเมยีมอีันเดยีว แต่ละช่องมไีข่ 2-1 เมล็ดต่อช่อง
ผล ชนดิ drupe หรอื berry เมล็ดไม่ม ีendosperm, embryo ตัง้ตรง
พรรณพชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 100 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชืเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมปีระม�ณ
20 สกุล ที่ประก�ศเป็นไม้หวงห้�มประเภท ก. มสีกุล สัก Tectona สกุล ตนีนก Vitex สกุล ซ้อ Gmelina สกุล
สักขี้ไก่ Premna โดยบ�งสกุลของวงศ์ Verbenaceae ได้ย้�ยม�อยู่วงศ์ Lamiaceae
158 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
159
ซ้อ
Gmelina arborea Roxb.
(Lamiaceae)
ผ่�เสี้ยน
Vitex canescens Kurz
(Lamiaceae)
กะเพร�ตะน�วศรี
Teucrium scabrum Sudee & A. J. Paton
(Lamiaceae)
น้ำ�ล�ยผีเสื้อ
Callicarpa rubella Lindl.
(Lamiaceae)
ภ�พที่ 42
ระฆังทอง
Pauldopia ghorta (Buch.-Ham. ex G. Don)
(Bignoniaceae)
ปีบทอง
Radermachera hainanensis Merr.
(Bignoniaceae)
แคทะเล
Dolichandrone spathacea (L.f.) K. Schum.
(Bignoniaceae)
ศรีตรัง
Jacaranda obtusifolia Bonpl.
(Bignoniaceae)
ภ�พที่ 41
160 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
161
รูปวธิำนแยกสกุล
1. ใบเดี่ยว
2. เกสรเพศผู้ม ี5 อัน Tectona
2. เกสรเพศผู้ม ี4 อัน
3. ดอกเล็กสเีขยีว ๆ ข�ว ๆ ออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ต�มปล�ยกิ่ง Premna
3. ดอกใหญ่ สเีหลอืง มแีต้มสนีำ�้ต�ล ออกเป็นช่อชนดิ raceme ต�มง่�มใบ Gmelina
1. ใบประกอบแบบนิ้วมอื (digitate) ม ี5-3 ใบ ดอกสีม่วงอ่อน Vitex
ไม้หวงห้�มในวงศ์นี้ม ีสัก Tectona grandis L.f. สักขี้ไก่ Premna tomentosa Willd. ซ้อ Gmelina arborea
Roxb. ตนีนก หรอื ก�ส�มปีก Vitex peduncularis Wall. ex Schauer สวอง Vitex limonifolia Wall. ผ�เสี้ยน Vitex
canescena Kurz และ ตนีนก หรอื นน Vitex pinnata L. ไม้ในสกุลที่นำ�ม�เป็นไม้ประดับ เช่น พวงเงนิ Clerodendrum
thomsonae Balf.f. พวงม่วง หรอื เทยีนหยด Duranta erecta L. ซึ่งเป็นไม้ต่�งประเทศ พันธุ์ไม้พื้นเมอืงที่นำ�ม�ปลูก
กันบ้�งก็ม ี เครอืออน หรอื พวงประดษิฐ์ Congea tomentosa Roxb. ซ้องแมว Gmelina philippensis Cham. และ
พนมสวรรค์ Clerodendrum paniculatum L. เป็นต้น ตัวอย่�งชนดิที่อยู่วงศ์ Verbenaceae เช่น ไม้ในสกุลอื่นที่นำ�ม�
ปลูกเป็นไม้ประดับมี ผก�กรอง Lantana camara L. พวงคร�ม Petrea volubilis L.
ชั้นพชืใบเลี้ยงเดี่ยว (Class Monocotyledonae)
พรรณพชืใบเลี้ยงเดี่ยวในประเทศไทยมอีย่�งน้อย 11 อันดับ อันดับที่มีคว�มสำ�คัญที่จะกล่�วถงึม ี2 อันดับ
คอื Palmales และ Glumiflorae
คว�มจรงิพรรณพชืใบเลี้ยงเดี่ยวมคีว�มสำ�คัญต่อคว�มเป็นอยู่ของมนุษย์เป็นอย่�งม�ก เช่น อันดับ
Liliflorae วงศ์ Stermonaceae (ขี้ปุงมดง่�ม) มพีชืหล�ยชนดิที่ใช้เป็นย�ฆ่�แมลง วงศ์ Smilacaceae (เข้�เย็นเหนอื เข้�
เย็นใต้) เป็นพชืสมุนไพร วงศ์ Dioscoreaceae (กลอย) เป็นพชือ�ห�รและสมุนไพร อันดับ Commelinales นัน้
วงศ์ Bromeliaeae (สับปะรด) เป็นพชือ�ห�ร อันดับ Palmales วงศ์ Palmae เป็นพชือ�ห�รและวัสดุใช้สอยต่�ง ๆ
อันดับ Arales วงศ์ Araceae (บอน) เป็นพชือ�ห�ร อันดับ Zingiberales วงศ์ Musaceae (กล้วย) เป็นพชือ�ห�ร
วงศ์ Zingiberaceae (ขงิ, ข่�) ให้พชืสมุนไพร อันดับ Orchidales วงศ์ Orchidaceae (กล้วยไม้) ให้พชืที่มคีุณค่�ท�งพชื
กรรม และ อันดับ Glumiflorae วงศ์ Cyperaceae (กก, แห้ว) ให้พชือ�ห�รและวัสดุใช้สอย วงศ์ Gramineae (ข้�ว, ไผ่)
ให้พชือ�ห�รและวัสดุใช้สอย
อันดับ Palmales
ไม้ต้น ตัง้ตรง ใบ มักใหญ่ ดอก เล็ก regular, bisexual หรอื unisexual ต่�งเพศร่วมต้น ออกเป็นช่อ
panicles มักมกี�บใหญ่รองรับ เกสรเพศผู้จำ�นวน 6 รังไข่ superior ส่วนม�ก 3 ช่อง มไีข่ช่องละเมล็ด ผล แบบ berry
หรอื drupe เมล็ดม ีendosperm
ลักษณะลำ�ต้นของพชืจำ�พวก หม�ก หว�ย ที่เป็นไม้เนื้อแข็ง มกี�รเจรญิเตบิโตขึ้นไปท�งสูงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็น
ลักษณะพเิศษในพวกพชืใบเลี้ยงเดี่ยว
จ�กเข�
Eugeissona tristis Griff.
(Arecaceae)
ช้�งร้อง
Borasssodendron machadonis (Ridl.) Becc.
(Arecaceae)
ระกำ�
Salacca wallichiana Mart.
(Arecaceae)
เต่�ร้�งดอยภูค�
Caryota obtuse Griff.
(Arecaceae)
ภ�พที่ 43
162 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
163 7. ผลชนดิ berry เนื้อนุ่ม ม ี3-1 เมล็ด ใบย่อยเม่อยังอ่อนอยู่เป็นรูปตัว V ได้แก่ Arenga, Caryota, Didymo
sperma และ Wallichia 8. วงศ์ย่อย Caryotoideae
พืชในวงศ์นี้ต่�งมคีว�มสำ�คัญต่อคว�มเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วยกันทัง้นัน้ ที่ใช้เป็นอ�ห�รก็คอื ส�คู
Metroxylon sagus Rottb. มะพร้�ว Cocos nucifera L. ฉก หรอื ต๋�ว Arenga pinnata Merr. จ�ก Nypa fruticans
Wurmb. ระกำ� Salacca rumphii Wall. ต�ลตะโหนด Borassus flabellifer L. หม�ก Areca catechu L. และ ล�น
Corypha lecomtei Becc.
ที่ให้วัสดุใช้สอยในก�รจักส�นและทำ�เครื่องเรอืนก็คอื หว�ย ซึ่งมหีล�ยสกุลและหล�ยชนดิ ใช้ทำ�เส�โป๊ะ
คอื ค้อ Livistona speciosa Kurz และ หน�มพน Orania sylvicola Moore ใช้ใบมุงหลังค� เช่น จ�ก Nypa fruticans
Wurmb. ล�น Corypha spp. และ หว�ย สกุล Daemonorps spp. นอกจ�กนี้ ใบ ล�นยังใช้ทำ�วัสดุต่�ง ๆ เช่น หมวก
ใช้จ�รกึคัมภรี์ในพระพุทธศ�สน�
เนื่องจ�กหว�ยชนดิต่�ง ๆมคีุณค่�ท�งป่�ไม้เป็นอย่�งม�ก จงึได้จัดรูปวธิ�นสำ�หรับใช้จำ�แนกสกุลต่�ง ๆ ไว้
รูปวธิำนแยกสกุลหวำย
1. ออกดอกครัง้เดยีวแล้วต�ย เป็นผลครัง้เดยีวในชวีติ (monocarpic)
2. ช่อดอกแยกแขนงห้อยย�วคล้�ยห�งกระรอก มกี�บใหญ่แบนซ้อนเหลื่อมกัน คลุมช่อดอกย่อยมดิ
หวำยเต่ำเพรำะ หวำยโตงโพล่ง Plectocomia
2. ช่อดอกแยกแขนงม�ก แต่ละแขนงมกี�บรูปกรวยเล็ก ๆ ปล�ยส�มเหลี่ยมรองรับช่อดอกย่อย
3. โคนก้�นใบมหีน�มกระจ�ยกันห่�ง ๆ เกล็ดที่เปลอืกผลใหญ่ เรยีงกันเป็นระเบยีบ
หวำยกุ้งน�้ำพรำย Plectocomiopsis
3. โคนก้�นใบมหีน�ม 7-2 อัน เรยีงเป็นแถว ในระน�บเดยีวกันห่�ง ๆ เกล็ดที่เปลอืกผลเล็ก ละเอยีด เรยีงกัน
ไม่เป็นระเบยีบ หวำยกุ้ง Myrialepis
1. ดอกออกเกอืบทุกปี เป็นผลหล�ยครัง้ (polycarpic)
4. ใบย่อยปล�ยใบเรยีวแหลม ขอบเรยีบ เส้นใบขน�นกัน
5. ก�บรองรับช่อดอกรูปหลอดปล�ยเรยีบ ไม่หุ้มช่อดอก ตดิแน่น หวำยนั่ง หวำยขม หวำยตะคร้ำ Calamus
5. ก�บรองรับช่อดอกรูปเรอื หุ้มช่อดอกทัง้หมด หรอืไม่หุ้ม หลุดร่วงง่�ย
หวำยจำก หวำยโสมเขำ Daemonorops
4. ใบย่อยรูปขนมเปียกปูน โคนสอบแคบ หรือ รูปหอก ขอบจักซี่ฟัน เส้นใบรูปพัด
หวำยเถำใหญ่ Korthalsis
อันดับ Glumiflorae
อันดับนี้มเีพยีง 2 วงศ์ คอื Poaceae และ Cyperaceae เป็นพชืล้มลุกอ�ยุปีเดยีว เช่น หญ้�ชนดิต่�ง ๆ และกก
ชนดิต่�ง ๆ หรอื อ�ยุหล�ยปี เป็นไม้พุ่มเป็นกอ เลื้อยพ�ดไปต�มต้นไม้อื่น ลำ�ต้นเป็นปล้อง เนื้อแข็ง เช่น ไม้ไผ่ชนดิต่�ง ๆ
วงศ์หมำก หวำย Arecaceae (Palmae)
ไม้ต้น ตรง หรอืไม้พุ่ม บ�งครัง้เลื้อยพ�ดไปต�มต้นไม้อื่น ใบ แข็ง เป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate)
หรอืแบบนิ้วมอื (palmate) ก้�นใบมกี�บหุ้มที่โคน ดอก ส่วนม�ก regular เล็ก มักออกเป็นช่อ panicles กลบีดอก
(perianth) มสีองชัน้ ๆ ละ 3 กลบี หน� หรอือุ้มนำ�้ เกสรเพศผู้ส่วนม�กม ี6 อัน รังไข่ส่วนม�กม ี3 ช่อง มไีข่ช่องละ
1 เมล็ด ผลแบบ drupe, nut หรอื berry เมล็ดม ีendosperm ม�ก ใบเลี้ยงขย�ยใหญ่ม�กในระยะงอก
พชืในวงศ์นี้มมี�กกว่� 200 สกุล เป็นพชืเขตร้อนหรอืกึ่งเขตร้อน ในประเทศไทยมปีระม�ณ 30 สกุล
จำ�แนกออกได้เป็น 8 วงศ์ย่อย มหีล�ยสกุลที่นำ�เข้�ม�ปลูกเพื่อเศรษฐกจิ และเป็นไม้ประดับ
รูปวธิำนแยกวงศ์ย่อย
1. รังไข่และผลมเีกล็ดหุ้มซ้อนเหลื่อมกัน ใบประกอบแบบขนนก ได้แก่ Calamus, Daemonorops, Eugeissona,
Korthalsia, Metroxylon, Myrialepis, Olectocomia, Plectocomiopsis และ Salacca
1. วงศ์ย่อย Lepidocaryoideae
1. รังไข่และผลไม่มเีกล็ดหุ้มซ้อนเหลื่อมกัน
2. ใบรูปพัด
3. ช่องรังไข่ทัง้ส�มแยกต่อกันหรอืเชื่อมตดิกันเล็กน้อย แต่จะเจรญิเป็นผลเพยีงช่องเดยีว (ห�ย�กที่ม ี2 หรอื 3 ผล)
มลีักษณะเป็น berry หรอื drupe ม ีendocarp บ�ง ได้แก่ Corypha, Johanesteysmannia, Licuala, Livistona,
Pholidocarpus, Rhapis และTrachylospermum 2. วงศ์ย่อย Corphoideae
3. ช่องรังไข่ทัง้ส�มเชื่อมตดิกันเป็นรังไข่ที่ม ี 3 ช่อง เจรญิเป็นผล drupe ใหญ่ มเีมล็ด 3-1 เมล็ด แต่ละเมล็ด
แยกกันอยู่ในช่องที่มผีนัง (endocarp) แข็ง ได้แก่ Borassus และ Borassodendrum
3. วงศ์ย่อย Borassoideae
2. ใบรูปขนนก
4. ผลชนดิ drupe ม ีendocarp แข็ง
5. ผลสมม�ตร ช่อดอกมกี�บหุ้ม 2 อัน รังไข่ม ี6-3 ช่อง ได้แก่ Cocos, Elaeis 4. วงศ์ย่อย Cocosoideae
5. ผลไม่สมม�ตร ช่อดอกมกี�บหุ้มหล�ยอัน รังไข่ 1 ช่อง ได้แก่ Nypa 5. วงศ์ย่อย Nipoideae
4. ผลมักไม่ม ีendocarp แข็ง
6. ใบย่อยตอนล่�งมักลดรูปเป็นหน�ม ช่อดอกมกี�บเดยีว รังไข่ม ี3 ช่อง แยกจ�กกัน ได้แก่ Phoenix
6. วงศ์ย่อย Phoemicoideae
6. ใบย่อยตอนล่�งไม่ลดรูปเป็นหน�ม ช่อดอกมกี�บสองอันหรอืม�กกว่� รังไข่ม ี3-1 ช่อง เชื่อมตดิกัน
7. ผลชนดิ berry เนื้อนุ่ม หรอืมเีส้นใย อุ้มนำ้� ส่วนม�กมเีมล็ดเดยีว ใบย่อยเมื่อยังอ่อนอยู่เป็นรูปตัว A ได้แก่
Areca, Cyrtostachys, Iguanura, Oncosperma, Orania และ Pinanga 7. วงศ์ย่อย Arecoideae
164 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
165 4. กิ่งต�มข้อเรยีวย�วไม่เท่�กันทุกกิ่ง กิ่งอันกล�งใหญ่ที่สุด
6. ลำ�ทอดเลื้อย หรอืพ�ดพันไปต�มต้นไม้อื่น เนื้อลำ�บ�ง
7. ลำ�ทอดเลื้อยไม่แตกแขนง Dinochloa
7. ลำ�พ�ดพันปต�มต้นไม้อื่น แตกแขนงม�ก Teinostachyum
6. ลำ�ต้นตรง เนื้อลำ�หน�
8. ช่วงระหว่�งดอกสัน้ม�ก ไม่หักหลุดจ�กกัน
9. กลุ่มดอกมนี้อยดอก ดอกที่ปล�ยกลุ่มเจรญิเต็มที่ ก้�นเกสรเพศผู้แยกจ�กกัน
10. ผลรูปกระสวย เปลอืกบ�งแข็ง Dendrocalamus
10. ผลค่อนข้�งกลม เปลอืกหน�ขรุขระ Melocalamus
9. กลุ่มดอกมมี�กดอก ดอกที่ปล�ยกลุ่มไม่เจรญิ ก้�นเกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันแน่น หรอืมเียื่อบ�ง ๆ โยงเชื่อกัน
Gigantochloa
8. ช่วงระหว่�งดอกย�วเท่�กับครึ่งหนึ่งของคว�มย�วของกลบีนอกสุด และหักหลุดออกจ�กกันไม่ช้�ก็เร็ว
11. ก�บหุ้มลำ�บ�ง แนบชดิกับลำ� ไม่หลุดร่วงเมื่อลำ�แก่ ยอดก�บบ�งเรยีวสอบไปห�ปล�ย ไม่มตีิ่งก�บ
ลำ�ตอนล่�งไม่แตกแขนง ไม่มหีน�ม Thyrsostachys
11. ก�บหุ้มลำ�หน�แข็ง ไม่แนบชดิกับลำ� หลุดร่วงไปเมื่อลำ�แก่ ยอดก�บหน�แข็งมักมขีนค�ย ท�งด้�นใน
มตีิ่งก�บเห็นได้ชัด ลำ�ตอนล่�งมักแตกแขนง และมหีน�ม Bambusa
1. เหง้�ย�วและทอดขน�นไปท�งระดับ ขน�ดเล็กเรยีวกว่�ลำ�ที่งอกขึ้นม�จ�กต�ข้�งเหง้�
2. ไม่มเีหง้�สมทบ (metamorphic axis) คอืส่วนโคนของแขนงที่เจรญิออกย�งออกไปจนเกอืบเหมอืนกับเหง้�นัน้
Pseudosasa
2. มเีหง้�สมทบ Arundinaria
ไม้ไผ่สกุลต่�ง ๆ ในประเทศไทยต�มรูปวธิ�นข้�งบนนี้จำ�แนกชนดิออกได้ดังนี้
1. สกุล Melocanna มจีำ�นวน 1 ชนดิ คอื ไผ่เกรยีบ M. humilis Kurz พบท�งจังหวัดสุร�ษฎร์ธ�นี
2. สกุล Cephalostachyum มอียู่ 2 ชนดิ คอื ไผ่ข้�วหล�ม C. pergracile Munro พบในท้องที่ภ�คเหนอืทั่วๆ ไป และ
จังหวัดก�ญจนบุรตีอนเหนอื เนื้อลำ�หน� และ ไผ่เฮยีะ C. virgatum Kurz พบทั่วไปต�มป่�เข�ท�งภ�คเหนอื เนื้อลำ�บ�ง
3. สกุล Schizostachyum ม ี 3 ชนดิ คอื ไผ่เฮยีะ หรอื ไผ่เมี่ยงไฟ S. zollingeri Steud. และไผ่โป
S. brachycladum Kurz พบในท้องที่จังหวัดภ�คใต้ ส่วน ไผ่หลอด S. acicular Gamble มพีบทั่ว ๆ ไปต�มป่�ดบิชื้น
4. สกุล Dinochloa ม ี1 ชนดิ คอื ไผ่คล�น D. scandens พบขึ้นทั่วๆ ไปต�มป่�ชื้นท�งภ�คใต้
5. สกุล Teinostachyum มอียู่ 1 ชนดิ คอื ไผ่บงเลื้อย T. griffithii Munro พบท�งป่�ดบิเข�ภ�คเหนอื
วงศ์หญ้ำ Poaceae (Gramineae)
ลำ�ต้น เป็นปล้อง รูปทรงกระบอก ระหว่�งข้อกลวงหรอืตัน ใบ เรยีงสลับกันในระน�บเดยีวกัน (distichous)
ก้�นใบเป็นก�บหุ้มรอบลำ�ต้น ระหว่�งตัวใบ (lamina) และก�บมลีิ้นใบ (liqule) เป็นแผ่นบ�งใส (hyaline) อยู่
ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ ประกอบด้วยช่อดอกย่อย (spikelet) ดอกย่อย (floret) ส่วนม�กเป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรอื
ดอกเพศเดยีว บ�งทตี่�งเพศต่�งต้น (dioecious) ช่อดอกย่อยมักจะรองรับด้วยก�บ 2 ก�บ เรยีกว่� ก�บช่อย่อย
(glume) มอีันล่�งและอันบนดอกย่อยแต่ละดอกจะมกี�บล่�ง (lemma) และ ก�บบน (palea) หุ้มอกีชัน้หนึ่ง
ก�บ lemma, palea และ glumes น้จะเรยีงสลับในระน�บเดยีวกันบนแกนเล็ก ๆ เรยีกว่� แกนกล�งย่อย (rachilla)
กลบีรวมลดรูปหรอืบ�งทเีป็นเกล็ดอุ้มนำ�้ 3-2 เกล็ด เรยีกว่� กลบีเกล็ด (lodicule) เกสรเพศผู้ม ี6-3 อัน (ส่วนม�ก
ม ี3 อัน) อับเรณูแกว่งได้ รังไข่ม ี1 ช่อง แต่ละช่องมไีข่ 1 เมล็ด ยอดเกสรเพศเมยีแตกเป็น 3-2 แฉก คล้�ยขนนก
ผล เป็นชนดิ caryopsis ม ีendosperm ม�ก
พชืในวงศ์นี้มปีระม�ณ 550-500 สกุล จัดแยกออกเป็น 6 วงศ์ย่อย จะกล่�วถงึวงศ์ย่อยไผ่ Bambusoideae
ซึ่งมคีว�มสำ�คัญต่อเศรษฐกจิป่�ไม้เป็นอย่�งม�ก
วงศ์ย่อยไผ่ Bambusoideae
ลำ�ต้น แข็ง ส่วนม�กมเีหง้�ใต้ดนิ ใบ มกี�บหุ้มลำ�ต้น (culm sheath) ตอนปล�ยก�บตรงที่ต่อกันกับใบจะมี
ลิ้นใบ (ligule) อ�จเป็นขนย�ว ๆ หรอืสัน้ ๆ หรอืเป็นเยื่อบ�ง ๆ ดอก ช่อดอกไม่มกี�บหุ้มเหมอืนพวกหญ้�อื่น ๆ
ช่อดอกหนึ่งจะมชี่อดอกย่อย (spikelets) หล�ยกลุ่ม ที่โคนมกี�บดอกย่อย (glume) 2 อัน และแต่ละช่อดอกย่อยจะ
มดีอกย่อย (floret) ดอกเดี่ยว หรอืหล�ยดอก มกี�บดอกย่อย (lemma) ขน�ดใหญ่และหุ้มก�บบน (palea) ไว้มกีลบี
เกล็ด (lodicule) 3 หรอื 2 เกสรเพศผู้ม ี3 หรอื 6 ก้�นเกสรเชื่อมหรอืแยกกัน เกสรเพศเมยีมักมขีนปกคลุม ผล แบบ
berry หรอื แบบ cryopsis
ไผ่ส่วนใหญ่จะพบขึ้นในเขตร้อน (tropic) มปีระม�ณ 47 สกุล 1,250 ชนดิ ส่วนในประเทศไทยพบประม�ณ
12 สกุล 50 กว่�ชนดิ
รูปวธิำนแยกสกุล
1. เหง้�สัน้ ไม่ทอดขน�นไปท�งระดับ มขีน�ดใหญ่กว่�ลำ�ที่งอกขึ้นม�จ�กต�ข้�งเหง้�
3. คอเหง้� (rhizome neck) คอื ส่วนโคนของแขนงที่งอกออกไปจ�กเหง้� ย�วกว่�เหง้� ลำ�ขึ้นห่�งกันเป็นระยะกิ่ง
ต�มข้อเรยีวย�วเกอืบเท่�กันทุกกิ่ง Melocanna
3. คอเหง้�สัน้กว่�เหง้� ลำ�ขึ้นชดิตดิกันไม่เป็นระเบยีบ
4. กิ่งต�มข้อเรยีวย�วเกอืบเท่�กันทุกกิ่ง
5. ก�บหุ้มลำ�และยอดก�บหน�แข็ง และกรอบ สหีม�กสุก ติ่งก�บ (auricle) คอื ครบีหรอืขนที่อยู่ตรงด้�นบนทัง้
สองข้�งของก�บที่มลีักษณะคล้�ยหัวไหล่ไม่เจรญิเห็นได้ชัด ก้�นเกสรเพศเมยีม ี3 แฉก
Cephalostachyum
5. ก�บหุ้มลำ�และยอดก�บไม่หน�ม�ก และไม่แข็ง ติ่งก�บเห็นไม่ชัด ก้�นเกสรเพศเมยีม ี2 แฉก
Schizostachyum
166 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
167
หญ้�จิ้มฟันคว�ย
Arundina graminifolia (D.Don) Hochr. subsp. gram-
inifolia
(Orchidaceae)
เตยห้วย
Pandanus aculescens H. St. John
(Pandanaceae)
กะอวม
Khaosokia caricoides D. A. Simpson
(Cyperaceae)
ไผ่ไร่
Gigantochloa albociliata (Munro) Kurz
(Poaceae)
ภ�พที่ 44
6. สกุล Dendrocalamus เป็นไม้ไผ่ที่มขีน�ดใหญ่ที่สุด ม ี 9 ชนดิ คอื ไผ่ซ�ง D. strictus Nees ไผ่หก
D. hamiltonii Nees & Arn. ex Munro ไผ่ลำ�มะลอก D. longispathus Kurz พบท�งภ�คเหนอื ภ�คกล�ง และภ�คใต้
ไผ่ซ�งหม่น D. sericeus Munro พบท�งภ�คตะวันออกเฉยีงเหนอื ไผ่เป๊�ะ D. giganteus Munro ไผ่ซ�งคำ�
D. latiflorus Munro พบท�งภ�คเหนอื ไผ่ตง D. asper Back. ex K. Heyne พบท�งภ�คเหนอืและปลูกกันทั่วไป
ไผ่ซ�งดอย D. membranaceus Munro และไผ่บงใหญ่ D. brandisii Kurz พบท�งภ�คเหนอื
7. สกุล Melocalamus มชีนดิเดยีว คอื ไผ่ห�งช้�ง หรอื ไผ่ไส้ตัน M. compactiflorus Benth. พบทั่วไปต�ม
ป่�เข�ท�งภ�คเหนอื
8. สกุล Gigantochloam ม ี 9 ชนดิ คอื ไผ่มัน G. auricalata Kurz ไผ่ไร่ G. albociliata Kurz ไผ่ไล่ลอ
G. nigrociliata Kurz ไผ่ด้�มพร้� G. ligulata Gamble ไผ่ต�กว�ง G. apus Kurz ไผ่ผ�กมัน G. hasskarliana Back. ex
K. Heyne และนอกจ�กไผ่ไร่และไผ่ไล่ลอซึ่งพบขึ้นทั่วประเทศ ไผ่ชนดิอื่น ๆ ในสกุลนี้พบขึ้นแต่ในป่�ดบิท�งภ�คใต้
แทบทัง้นัน้
9. สกุล Thyrsostachys ม ี2 ชนดิ คอื ไผ่รวก T. siamensis Gamble พบในป่�แล้งทั่วไป และไผ่ร�กดำ�
T. oliveri Gamble พบในป่�เบญจพรรณท�งภ�คเหนอื
10. สกุล Bambusa มดี้วยกัน 11 ชนดิ ส่วนม�กเป็นไม้ไผ่ขน�ดใหญ่เนื้อลำ�หน� คอื ไผ่บงดำ� B. tulda Roxb.
พบต�มป่�ดบิรมินำ�้ทั่วไป ไผ่ป่� หรอื ไผ่หน�ม B. arundinacea Willd. ไผ่ลำ�มะลอก B. longispiculata Gamble พบ
ทั่วไป ไผ่เหลอืง B. vulgaris Schrad. ไผ่หอม B. polymorpha Munro พบท�งภ�คเหนอื ไผ่เลี้ยง B. multiplex (Lour.)
Raeusch. ex J.A. & J.H. Schult. var. multiplex มขีน�ดเล็ก ปลูกกันทั่ว ๆไป ไผ่สสีุก B. flexuosa Munro พบท�ง
ภ�คเหนอืและตะวันออกเฉยีงเหนอื ปลูกกันทั่วๆ ไป ไผ่บง B. nutans Wall. ex Munro พบขึ้นต�มป่�ดบิท�ง
ภ�คเหนอื ไผ่สสีุก B. blumeana Schult และ ไผ่บงหน�ม B. burmanica Gamble
11. สกุล Pseudosasa มอียู่ 1 ชนดิ เป็นไม้ไผ่ขน�ดเล็ก พบต�มเข�ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์
12. สกุล Arundinaria ม ี 2 ชนดิ เป็นไม้ไผ่ขน�ดเล็ก พบต�มป่�แล้งต�มภ�คตะวันออกเฉยีงเหนอื คอื
ไผ่เพ็ก A. pusilla Cheval. & A. Camus และไผ่โจ้ด A. ciliate A. Camus
นอกจ�กนี้ยังมไีม้ไผ่ชนดิต่�ง ๆ ที่ค�ดว่�จะพบมอียู่ในประเทศไทย อกีจำ�นวนม�ก ถ้�ได้มกี�รสำ�รวจอย่�ง
ละเอยีดต่อไป
168 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
169
เอื้องหม�ยน�
Cheilocostus speciosus (J. Koenig) C.D. Specht
(Costaceae)
ก�หล�ถ้วย
Etlingera venusta (Ridl.) R.M. Sm.
(Zingiberaceae)
ว่�นเข้�พรรษ�
Smithatris supraneanae W. J. Kress & K. Larsen
(Zingiberaceae)
กล้วยจะก่�
Globba winitii C.H. Wright
(Zingiberaceae)
ภ�พที่ 46
หญ้�ไข่เห�ดอกแน่น
Cyrtococcum oxyphyllum (Hochst. ex Steud.) Stapf
(Poaceae)
หญ้�ข้�วนก
Echinochloa colona (L.) Link
(Poaceae)
หญ้�ไข่ปู
Eragrostis unioloides (Retz.) Nees ex Steud.
(Poaceae)
หญ้�ไผ่หยอง
Pogonatherum crinitum (Thunb.) Kunth
(Lamiaceae)
ภ�พที่ 45
170 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
171
ใบบ�งครั้งพบเป็นใบประกอบ วงศ์พืชที่บ�งครั้งพบเป็นใบประกอบ ได้แก่ Aceraceae Anacardiaceae
Berberidaceae Bombaceae Capparaceae Caprifoliaceae
Convolvulaceae Crassulaceae Cucurbitaceae Datiscaceae Dipsaceae
Euphorbiaceae Gentianaceae Geraniaceae Hydrophyllaceae
Menispermaceae Ochnaceae Passifloraceae Polemoniaceae
Proteaceae Ranunculaceae Sabiaceae Saxifragaceae Staphyleacee
Sterculiaceae Verbenaceae
ใบเดี่ยว วงศ์พืชที่มีใบเดี่ยวทั้งหมด ได้แก่ Acanthaceae Annonaceae Apocynaceae
Celastraceae Ebenaceae Erythroxylaceae Fagaceae Flacourtiaceae
Guttiferae Hammamelidaceae Lauraceae Loganiaceae Lythraceae
Magnoliaceae Malvaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Myrtaceae Proteaceae Rhizophoraceae Rubiaceae Sapotaceae
Styracaceae Theaceae Thymelaeaceae Tiliaceae Urticaceae
หูใบ
ใบไม่มีหูใบ
วงศ์พืชที่ใบมีหูใบ ได้แก่ Bigoniaceae Bombacaceae Dipterocarpaceae
Droseraceae Elatinaceae Erythroxylaceae Euphorbiaceae Flacourtiaceae
Magnoliaceae Malvaceae Moraceae Ochnaceae Polygonaceae
Rhamnaceae Rhizophoraceae Rosaceae Rubiaceae Sterculiaceae
Tiliaceae Ulmaceae Urticaceae Zygophyllaceae
ใบไม่มีหูใบ วงศ์พืชที่ใบไม่มีหูใบ ได้แก่ Acanthaceae Anacardiaceae Annonaceae
Bignoniaceae Combretaceae Datiscaceae Dilleniaceae Guttiferae
Lauraceae Lythraceae Meliaceae Menispermaceae Myristicaceae
Myrtaceae Proteaceae Simaroubaceae Theaceae Thymelaceae
Verbenaceae
เกสรเพศผู้
เกสรเพศผู้ติดตรงข้�มกลีบดอก
วงศ์พืชที่เกสรเพศผู้มีจำ�นวนเท่�กลีบดอกและติดตรงข้�มกลีบดอก
ได้แก่ Berberidaceae Ebenaceae Menispermaceae (บ�งชนิด)
Moraceae Myrsinaceae Olacaceae (บ�งชนิด) Plumbaginaceae
Portulacaceae (บ�งชนิด) Primulaceae Rhamnaceae Sabiaceae
(บ�งครั้งพบอับเรณูเป็นหมัน) Sapotaceae Sterculiaceae (บ�งชนิด)
Ulmaceae Urticaceae
ภำคผนวกที่ 1
วงศ์พชืที่มลีักษณะประจ�ำวงศ์ค่อนข้ำงแน่นอน
เนื่องจ�กบ�งครั้งนักพฤกษศ�สตร์ประสบปัญห�เกี่ยวกับก�รที่จะต้องจำ�แนกชนิดพืชที่ตัวอย่�ง
ไม่สมบูรณ์ เช่น ตัวอย่�งมแีต่ใบเพยีงอย่�งเดยีว ดังนัน้ลักษณะเฉพ�ะวงศ์ของพชืจะช่วยได้ในก�รวเิคร�ะห์ตัวอย่�ง
พชืเหล่�นัน้ ทัง้นี้จะต้องพจิ�รณ�ลักษณะต่�ง ๆ ของพชืควบคู่กันไปด้วย
ใบ
ติดตรงข้�ม (หรือ ติดเป็นวงรอบข้อ)
ทั้งหมด
วงศ์พืชที่ใบติดตรงข้�มหรือติดเป็นวงรอบข้อ ทั้งหมดได้แก่
Aceraceae Caprifoliaceae Caryophyllaceae Casuarinaceae
Celastraceae Ceratophyllaceae Chloranthaceae Dipsacaceae
Elatinaceae Guttiferae Hydrangeaceae Labiatae Loganiaceae
Melastomaceae Rubiaceae Salvadoraceae Staphyleaceae
Valerianaceae Verbenaceae
ติดตรงข้�ม (หรือ ติดเป็นวงรอบข้อ)
เป็นส่วนม�ก
วงศ์พืชที่ใบติดตรงข้�มหรือติดเป็นวงรอบข้อ เป็นส่วนม�ก ได้แก่
Acanthaceae Apocynaceae Asclepiadaceae Bignoniaceae
Gentianaceae Loranthaceae Lythraceae Malpighiaceae Molluginaceae
Monimiaceae Myrtaceae Ntyctaginaceae Oleaceae Pedaliaceae
Rhizophoraceae Rutaceae Santalaceae Scrophulariaceae
ติดเรียงสลับ วงศ์พืชที่ใบติดเรียงสลับ ได้แก่ Anacardiaceae Annonaceae
Bombacaceae Burseraceae Combretaceae Datiscaceae
Dipterocarpaceae Ebenaceae Erythroxylaceae Fagaceae
Flacourtiaceae Hamamelidaceae Lauraceae Leguminosae
Magnoliaceae Malvaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Proteaceae Rosacee Sapindaceae Sapotaceae Styracaceae Theaceae
Tiliaceae Ulmaceae
ใบประกอบทั้งหมด วงศ์พืชที่มีใบประกอบทั้งหมด ได้แก่ Connaraceae Juglandaceae
Ladizabalaceae Moringaceae Oxalidaceae Sapindaceae
ใบประกอบเป็นส่วนม�ก วงศ์พืชที่มีใบประกอบเป็นส่วนม�ก ได้แก่ Araliaceae Bignoniaceae
Burseraceae Leguminosae Meliaceae Rosaceae Rutaceae
Simaroubaceae Umbelliferae Valerianaceae Zygophyllaceae
172 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
173
ภำคผนวกที่ 2
วงศ์พชืที่มลีักษณะเฉพำะ
ยำง (latex)
ย�งข�วคล้�ยนม: Apocynaceae Asclepiadaceae Campanulaceae Compositae (tribe Lactuceae)
Euphorbiaceae (tribe Euphorbieae), Lobeliaceae (พบบ่อย) Sapotaceae
ย�งข�วคล้�ยนำ�้นม หรอืบ�งทใีส : Moraceae
ย�งสเีหลอืงหรอืสสี้ม : Guttiferae
ย�งสเีหลอืงข้น หรอืใส : Papaveraceae
มอืพัน (tendrils)
มอืพันบนใบ ในพชืใบเลี้ยงเดี่ยว : สกุล Flagellaria, Gloriosa, Smilax (บนก้�นใบ) Bignoniaceae (บ�งสกุล)
Leguminosae (หล�ยชนดิ) Nepenthaceae
มอืเก�ะ helical (3-dimensional) : Cucurbitaceae Passifloracee Vitaceae
มขีอเก�ะ (hooks) Annonaceae (Artabotrys) Apocynaceae (บ�งชนดิ) Linaceae (สกุล Hugonia)
Loganiaceae (สกุล Strychnos) Rhamnaceae (บ�งชนดิ) Sapindaceae (Cardiospermum) Rubiaceae (สกุล Uncaria)
ใบ (leaves)
ใบเมื่อขยี้มกีลิ่นหอม : Compositae (มหีล�ยชนดิ) Labiatae Verbenaceae (หล�ยชนดิ) Rutaceae
Myrtaceae Lauraceae Myristicaceae Umbelliferae (บ�งชนดิ) Zingiberaceae Geraniaceae (บ�งชนดิ)
ใบมีจุดใส หรอืเส้นใส เมื่อเอ�ใบส่องกับแสงและดูด้วยเลนส์ขย�ย : Rutaceae Myrtaceae Flacourtaceae
(บ�งชนดิ เช่น Casearia) Guttiferae (บ�งชนดิ) Compositae (บ�งชนดิ)
ใบมีจุดดำ� หรอืมจีุดดำ�บนดอก : Guttiferae Myrsinaceae Turneraceae (บ�งชนดิ) Violaceae (บ�งชนดิ)
หรอืมจีุดสนีำ�้ต�ลมกีลิ่นหอม ได้แก่ Labiatae Verbenaceae (บ�งชนดิ) Compositae (บ�งชนดิ)
ใบมีต่อมรูปจ�น : Bignoniaceae (บ�งชนดิ)
ใบมีแบคทเีรยีซึ่งปร�กฏเป็นจุดดำ� : Rubiaceae (Pavetta และ Psychotria บ�งชนดิ) และ Myrsinaceae
(Ardisia)
ใบ หรอืส่วนอื่น ๆ มเีกล็ด : Ericaceae (Rhododendron) Hamamelidaceae Malvaceae (บ�งชนดิ)
Bombacaceae Combretaceae (บ�งชนดิ) Euphorbiaceae (เช่น Croton) Elaeagnaceae (บ�งชนดิ) Oleaceae
รังไข่
รังไข่ใต้วงกลีบ
วงศ์พืชที่รังไข่อยู่ใต้วงกลีบดอก ได้แก่ Alangiaceae Araliaceae
Balanophoraceae Begoniaceae Cactaceae Caprifoliaceae
Chloranthaceae Combretaceae Compositae Cornaceae Cucurbitacee
Datiscaceae Dipsacaceae Elaeagnaceae Gesneriaceae (บ�งชนิด)
Goodeniaceae Haloragaceae Hamamelidaceae Juglandaceae
Lobeliacee Loranthaceae Melastomaceae (เกือบทั้งหมด) Myrtaceae
Nymphaeaceae (บ�งชนิด) Nyssaceae Onagraceae Portulacaceae (มี
เพียง 2-3 ชนิด) Rhizophoraceae (หล�ยชนิด) Rosaceae (บ�งชนิด)
Rubiaceae Santalaceae Saxifragaceae (บ�งชนิด) Stylidiaceae
Styracaceae Umbelliferae Vacciniaceae Valerianaceae
รังไข่เหนือวงกลีบ วงศ์พืชที่รังไข่อยู่เหนือวงกลีบดอก ได้แก่ Acanthaceae Anacardiaceae
Annonaceae Apocynaceae Bignoniaceae Bombacaceae Burseraceae
Celastraceae Dilleniaceae Dipterocarpaceae Ebenaceae
Erythroxylaceae Euphorbiaceae Fagaceae Flacourtiaceae Guttiferae
Lauraceae Leguminosae Loganiaceae Lythraceae Magnoliaceae
Malvaceae Meliaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Proteaceae Sapindaceae Sapotaceae Simaroubaceae Sterculiaceae
Styracaceae Theaceae Tiliaceae Verbenaceae
174 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
175
เมล็ด (seed)
เมล็ดมปีีก ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (Plumeria) Leguminosae (Mimosoideae ม ี3-2 ชนดิ) Bignoniaceae
(ส่วนม�ก) Rubiaceae (Cinchona) Celastraceae (บ�งชนดิ) Oleaceae (Schrebera)
เมล็ดมขีน หรอืมปีุกขน ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (หล�ยชนดิ) Asclepiadaceae Bombaceae Compositae
(หล�ยชนดิ) Malvaceae (หล�ยชนดิ) Ranunculaceae (Clematis) Salicaceae
ขน (hairs)
ขนรูปด�ว : Bombacaceae Hamamelidaceae Malvaceae Sterculiaceae Tiliaceae และพบอยู่ในวงศ์อื่น ๆ
เช่น Compositae Euphorbiaceae Guttiferae Meliaceae Rutaceae Tumeraceae Verbenaceae
ขนแตกกิ่งก้�น : Malpighiaceae Leguminsae (Indigofera) Compositae (บ�งชนดิ)
ขนระค�ยเคอืงต่อผวิหนัง : Urticacee (ส่วนม�ก) Euphorbiaceae (Megistostigma)
ใบแห้งเมื่อหักผ่�นเส้นกล�งใบและฉกีออก มักมเีส้นใย ได้แก่ สม�ชกิหล�ยชนดิในวงศ์ Celastraceae
(รวมทัง้วงศ์ Hippocrateaceae) วงศ์ Cornaceae (บ�งชนดิ) Anacardiaceae (บ�งชนดิ)
ใบมเีส้นใบหลัก 3 เส้นออกจ�กโคนใบ (ได้แก่ เส้นกล�งใบและเส้นใบ 2 เส้นออกด้�นข้�ง) ได้แก่
วงศ์ Loganiaceae (Strychnos) Melastomataceae Tiliaceae (Grewia) Ulmaceae (บ�งชนดิ) และ Urticaceae
ก้�นใบป่องที่ปล�ยและที่โคน พบบ่อยในวงศ์ ที่ใบเป็นใบประกอบ ได้แก่ Bombacaceae Malvaceae
Sterculiaceae Tiliaceae Elaeocarpaceae Euphorbiaceae Flacourtiaceae Bixaceae Violaceae Menispermaceae
Marantaceae Araceae
ก้�นใบมกี�บ (sheath) ที่โคน ได้แก่ พชืใบเลี้ยงเดี่ยวหล�ยชนดิ Polygonaceae Compositae (บ�งชนดิ)
Umbelliferae (บ�งชนดิ)
กลบีดอก (petals)
วงกลบีดอกเรยีงเป็น 3 ได้แก่ พชืพวกใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocotyledons) Annonaceae Aristolochiaceae
Berberidaceae Lauraceae Menispermaceae Myristicaceae
รังไข่ (ovary)
รังไข่ม ี 3 ช่อง ได้แก่ พชืพวกใบเลี้ยงเดี่ยว (Monocotyledons) Violaceae Euphorbiaceae Celastraceae
(รวมทัง้ Hippocrateaceae) (บ�งชนดิ) Meliaceae (บ�งชนดิ) Sapindaceae (หล�ยชนดิ) มพีบกระจ�ยในวงศ์อื่น ๆ
เช่น Flacourtiaceae (Caseria) Guttiferae (Cratoxylum)
รังไข่ (หรอืผล) เกดิอยู่บนก้�นย�ว (gynophore) ซึ่งมักจะย�วกว่�วงกลบี ได้แก่ วงศ์ Capparaceae
Leguminosae (บ�งชนดิ) Passifloracee (บ�งชนดิ)
อับเรณู (anthers)
อับเรณูชดิกัน หรอืเชื่อมตดิกัน ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (หล�ยชนดิ) Asclepiadaceae Compositae
Lobeliaceae Rubiaceae (Argostemma) Solanaceae (Solanum)
ผล (fruit)
ผลมปีก ได้แก่ วงศ์ Combretaceae Malpighiaceae Polygalaceae (Securidaca) Sapindaceae Leguminosae
(เช่น Pterocarpus) Dipterocarpaceae Simaroubaceat Ulmaceae (Ulmus) Aceraceae Sterculiaceae (บ�งชนดิ)
176 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
177เพศ จ�นดอกเป็น intrastaminal ก้�นเกสรเพศเมยี มหีนึ่งหรอื 6-2 ก้�น จะแยกจ�กกัน และบ�งครัง้ห่�งกันม�ก
รังไข่ม ี1 ห้อง ผลสด บ�งทมีปีีก
วงศ์มะเกิ้ม Burseraceae – ลำ�ต้นโดยเฉพ�ะที่เปลอืกมนีำ�้มันหอมระเหยหรอืนำ�้มัน เปลอืกมักจะบ�งและ
หลุดง่�ย มักมหีน�มและช่อดอก มักจะหน�แน่นที่ปล�ยกิ่ง ดอกมักเป็นดอกแยกเพศ กลบีเลี้ยงค่อนข้�งเชื่อมตดิกัน
ที่โคน จ�นดอกเป็นวงแหวนหรอืรุปถ้วย ก้�นเกสรเพศเมยีธรรมด� ผลสดหรอืบ�งครัง้พบผลแห้ง
---------------------
วงศ์ลั่นทม Apocynaceae – กลบีดอกเชื่อมตดิกันเป็นรูปท่อ ไม่ม ีcorona เกสรเพศผู้ epipetalous อับเรณู
แยกจ�กกันเป็นอสิระ หรอื อ�จเชื่อมกันแต่ไม่เชื่อมกับก้�นเกสรเพศเมยี ละอองเรณูเป็น gramular หรอืบ�งครัง้พบ
เป็น 4 (tetrads) รังไข่ตดิเหนอืส่วนต่�ง ๆของดอก ผลเป็นผลสดมเีมล็ดจำ�นวนม�ก (berry) หรอืผลสดมเีมล็ดเดยีว
(drupe) หรอืเป็นผลแห้งแบบ follicle เมล็ดไม่มขีนปุย หรอืถ้�มกี็จะตดิอยู่ที่ปล�ยด้�นใดด้�นหนึ่งหรอืที่ปล�ยทัง้สอง
ด้�น
วงศ์ไฟเดอืนห้� Asclepiadaceae – กลบีดอกแยกกันเป็นรูปวงล้อ (rotate) ม ี(corona) อับเรณูเชื่อมกันและ
เชื่อมตดิกับก้�นเกสรเพศเมยีด้วย (ที่เร�รู้จักกันว่� gynostigma) ก้�นเกสรเพศผู้สัน้ หรอืไม่มเีลย รังไข่ตดิอยู่เหนอื
ส่วนต่�ง ๆของกลบีดอก หรอืตดิค่อนข้�งจะใต้กลบีดอก (Semiinferior) ละอองเรณูตดิกันเป็นก้อน (pollinium) ผล
เป็นผลแห้งแบบ follicle ผลมักมปีุยขนที่ปล�ยด้�นใดด้�นหนึ่งเพยีงด้�นเดยีว
---------------------
วงศ์เข็ม Rubiaceae – มักมหีูใบ รังไข่ตดิอยู่ใต้ส่วนต่�ง ๆ ของกลบีดอก บ�งครัง้ตดิอยู่เหนอืส่วนต่�ง ๆ
ของดอกก็มบี้�ง
วงศ์กันเกร� Loganiaceae – ไม่มหีูใบ หรอื บ�งทพีบว่�มรีังไข่ตดิอยู่เหนอืส่วนต่�ง ๆ ของดอก หรอืบ�ง
ครัง้พบตดิอยู่เกอืบใต้กลบีดอก
วงศ์ลั่นทม Apocynaceae – รังไข่ตดิเหนอืส่วนต่�ง ๆของดอก อับเรณูเชื่อมตดิกัน เมล็ดบ�งทมีปีุยขน
---------------------
วงศ์ Campanulaceae – ใบตดิสลับ กลบีดอกมักจะเชื่อมตดิกันแต่ไม่เสมอไป รังไข่ตดิอยู่ใต้วงกลบี หรอื
กึ่งกล�งวงกลบี อับเรณูแยกกัน หรอืเชื่อมตดิกัน โคนของเกสรเพศผู้แผ่กว้�งออก ทำ�ให้ดูเหมอืนเป็นโคนอยู่เหนอื
จ�นดอก
วงศ์ Lobeliaceae – ใบตดิสลับ กลบีดอกเป็นแบบ zygomorphic มักจะแยกออก (splitting) รังไข่ตดิอยู่ใต้วง
กลบี อับเรณูเชื่อมตดิกันรอบ ๆก้�นเกสรเพศเมยี HHo
วงศ์แวววเิชยีร Scrophulariaceae – ใบตดิสลับหรอืตรงข้�ม กลบีดอกเป็นแบบ zygomorphic รังไข่ตดิเหนอื
วงกลบี อับเรณูมักจะแยกจ�กกัน
---------------------
วงศ์กะเพร�, โหระพ� Labiatae – มักเป็นพวก herbaceous พชืล้มลุก ใบเดี่ยว กลบีดอกเป็นแบบ zygomorphic อย่�งชัดเจน มักเป็นแบบสองลิ้น (bilabiate) ก้�นเกสรเพศเมยีเป็น gynobasic ผลเป็น 4 nutlet
ภำคผนวกที่ 3
กลุ่มวงศ์พชืที่มลีักษณะคล้ำยกัน
กลุ่มวงศ์พืชที่มคีว�มคล้�ยคลงึกันที่ลักษณะบ�งอย่�ง กล่�วคอืเมื่อดูลักษณะชนดิพชืแล้วมักจะสับสน ไม่
ส�ม�รถตัดสนิได้ว่�พชืนัน้ ๆ อยู่ในวงศ์ใดแน่ ดังนัน้จงึจัดรวมกลุ่มวงศ์พชืเหล่�นี้ไว้ด้วยกัน และจำ�ต้องพจิ�รณ�
ลักษณะต่�ง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อก�รจำ�แนก ซึ่งลักษณะต่�ง ๆ เหล่�นี้เป็นลักษณะที่สังเกตเห็นได้ง่�ย หรอืบ�ง
ครัง้อ�จต้องใช้เลนส์ขย�ย ประม�ณ 10 เท่� แต่ในที่นี้จะไม่กล่�วถงึลักษณะทัง้หมดของทัง้วงศ์ เพยีงแต่จะชี้ให้เห็น
ลักษณะแตกต่�งของกลุ่มวงศ์พชืที่สับสนนัน้ ๆ เท่�นัน้ ถ้�ต้องก�รดูลักษณะประจำ�วงศ์พชื ก็อ�จจะห�เอกส�รดูได้
เอกส�รเหล่�นี้ได้กล่�วไว้ในบทที่ 6
ในที่นี้จะยกวงศ์พชืที่มลีักษณะคล้�ยคลงึกันออกม�เป็นกลุ่ม ๆ โดยจะเลอืกเอ�กลุ่มวงศ์พชืที่มักพบเสมอ
ๆ แล้วจะบอกลักษณะของพชืที่แตกต่�งกัน
กลุ่มพชืที่มมีอืพัน (tendril)
วงศ์ฟัก, แตง Cucurbitaceae – มมีอืจับออกต�มข้�งใบ คอืตรงที่อยู่ของหูใบ ผวิใบมักจะหย�บ ดอกส่วน
ม�กเป็นดอกเพศเดยีว รังไข่ตดิใต้ส่วนต่�ง ๆ ของกลบีดอก (inferior ovary)
วงศ์กระทกรก Passifloraceae - มมีอืจับออกต�มง่�มใบ (เป็นช่อดอกที่ดัดแปลงม�) ใบส่วนม�กจะมตี่อม
บนใบและบนก้�นใบ หรอืมอียู่บนก้�นใบที่เดยีว ดอกมักเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มักม ี corona รังไข่ตดิอยู่เหนอืส่วน
ต่�ง ๆ ของกลบีดอก (superior ovary) มักตดิอยู่บนก้�นชู (gynophore) เมล็ดม ีpitted testa
วงศ์องุ่น Vitaceae –มมีอืจับอยู่ตรงข้�มก้�นใบ บ�งครัง้ที่ปล�ยจะเป็น disclike sucker ดอกมขีน�ดเล็ก
เป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรอืดอกเพศเดยีว
---------------------
วงศ์ชบ� Malvaceae – บ�งทมี ีepicalyx เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�กเชื่อมตดิกันเป็นหลอด อับเรณูมชี่องเดยีว
(unilocular)
วงศ์สำ�โรง Sterculiaceae – เกสรเพศผู้ปลอมวงนอกอ�จมหีรอืไม่ม ีเกสรเพศผู้จำ�นวนน้อยกว่� อับเรณูม ี
2 ช่อง กลบีดอกมักจะตดิแน่น
วงศ์ปอกระเจ� Tiliaceae – เกสรเพศผู้มจีำ�นวนม�ก แยกจ�กกันเป็นอสิระ หรอื โคนเชื่อมกันเป็นมัด ๆ ม ี
10-5 มัด อับเรณูม ี2 ช่อง
---------------------
วงศ์ลำ�ไย Sapindaceae – บ�งครัง้พบเป็นไม้เลื้อยมมีอืจับ ดอกบ�งครัง้เป็นดอกผดิธรรมด� กลบีเลี้ยงมัก
จะแยกจ�กกัน จ�นดอก extrastaminal บ�งครัง้ unilateral กลบีดอกมักจะเป็นเกล็ดหรอืเป็นระย�งค์ที่เป็นต่อมที่
โคนด้นใน รังไข่มักเป็น 3 ห้อง ผลมหีล�กหล�ย เมล็ดมักมเีนื้อ
วงศ์มะม่วง Anacardiaceae – ลำ�ต้น โดยเฉพ�ะที่เปลอืกมนีำ�้ย�ง ดอกมทีัง้ดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยก
178 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
179ภ�ยในมขีอบที่แยกจ�กกันและซ้อนกัน ไม่ม ีligule ผลม ี1 เมล็ด แก่ไม่แตก เรยีกว่� caryopsis
ดอกลดรูปลงเป็น 2 ถงึ 3 เหล็ด ล้อมรอบเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี หรอืล้อมรอบเกสรเพศเมยีแล้วอยู่
เป็นกลุ่มแบบ spikeler ซึ่งมเีกล็ดพเิศษที่รองรับดอกย่อยเหล่�นี้ไว้ ช่อดอกมักจะรวมก้�นเป็นช่อกระจ�ยแบบ
panicles หรอื raceme บ�งทพีบออกเดี่ยว ๆ รังไข่มยีอดเกสรเพศเมยี 3-2 อัน คล้�ยขนนก เกสรเพศผู้ม ี6-3 อัน
บ�งทพีบม�กกว่�
---------------------
วงศ์กระดุมเงิน Eriocaulacee – ใบคล้�ยใบหญ้� ออกสลับเป็นกอที่โคน ช่อดอกไม่ล้อมรอบด้วยวงกลบี
ประดับ รังไข่ตดิอยู่เหนอืวงกลบีดอก ส่วนต่�ง ๆ ของดอกมเีป็น 3 น้อยครัง้ที่เป็น 2 พชืนี้มักจะขึ้นในที่ชื้น
วงศ์ท�นตะวัน Compositae – ใบไม้เหมอืนพวกวงศ์หญ้� ช่อดอกล้อมรอบด้วยวงกลบีประดับ รังไข่ตดิอยู่
ใต้วงกลบี
---------------------
วงศ์ขงิ Zingiberaceae – ใบเกดิบนก้�นใบธรรมด� distichous มกีลิ่นหอม
วงศ์ Marantaceae – ใบเกดิบนก้�นใบที่บวมพองที่ปล�ยชัดเจน ไม่มกีลิ่น
---------------------
วงศ์ปรง Cycadaceae – พชืไม่มเีรอืนยอด (crown) และดอกที่แท้จรงิ ใบไม่พับจบี ใบใหม่เกดิรอบข้อ หล�ย
ใบในข้อเดยีวกัน อวัยวะสบืพันธุ์เพศผู้เป็นรูปโคน อวัยวะสบืพันธุ์เพศเมยีคล้�ยกัน หรอืเกดิที่ปล�ยยอดของลำ�ต้น
วงศ์ป�ล์ม Palmae – พชืมเีรอืนยอด และดอกที่แท้จรงิ ใบ พับจบี ใบใหม่เกดิขึ้นทลีะใบ ดอกเป็นดอกเดยีว
หรอืแตกกิ่งก้�นส�ข� บ�งทเีกดิเป็นช่อ ไม่เกดิที่โคน
---------------------
วงศ์มะเมื่อย Gnetceae – มักเป็นไม้เลื้อย ไม่ผลัดใบ ใบออกแบบ decussate ช่อดอกเป็น spike-like เรยีง
แบบ whorl แต่ละ whorl รองรับด้วย fleshy collar
พวกพชืใบเลี้ยงคู่ที่วงกลบีลดรูป – ไม่ผลัดใบหรอืผลัดใบ ใบออกสลับหรอื decussate ช่อดอกไม่เหมอืนพชื
วงศ์ Gnetaceae มักจะไม่มกี้�นดอกหรอืก็เป็นแบบ catkins
---------------------
วงศ์สัก Verbenaceae – เป็นพชืพวก herbaceous ล้มลุก หรอืพวกเนื้อแข็ง ใบเดี่ยว หรอืใบประกอบ กลบี
ดอกจะเป็น zygomorphic เพยีงเล็กน้อยจนถงึอย่�งชัดเจนแต่ไม่ค่อยพบเป็นแบบ bilabiate ก้�นเกสรเพศเมยีตดิที่
ปล�ยรังไข่ หรอืตดิอยู่ระหว่�งพูของรังไข่ ผลมักจะเป็นผลสด
---------------------
วงศ์เหงอืกปล�หมอ Acanthaceae – ใบตดิตรงข้�ม ลำ�ต้นตรงที่เหนอืข้อมักจะบวมพอง แต่เมื่อแห้งจะหด
งอรัดอย่�งเป็นได้ชัด มักมผีลกึ (cystolith) เป็น grainy streak ในใบ ช่อดอกมักมใีบประดับย่อย ผลแห้งมจีงอยและ
แตกจ�กยอดลงม� เมล็ดมักจะเกดิบนโครงสร้�งที่คล้�ยตะขอ
วงศ์ Scrophulariaceae – ประม�ณ 1 ใน 3 ของพชืวงศ์นี้เป็นพชืกึ่งพ�ร�ไซต์ พชืวงศ์นี้เมื่อแห้งจะเปลี่ยน
เป็นสคี่อนข้�งดำ� ใบตดิตรงข้�ม หรอืตดิสลับ กลบีเลี้ยงมักจะจักลกึเป็นพู ผลแห้งมเีมล็ดจำ�นวนม�ก ผลมักจะย�ว
กว่�กลบีเลี้ยง
วงศ์ใบกำ�มะหยี่ Gesneriaceae – ใบตดิตรงข้�ม (ใบที่ตดิอยู่คู่กันมักจะมขีน�ดไม่เท่�กัน (anisophyllous)
หรอืพบบ่อย ๆ ที่ตดิเป็นกอ (rosettes) อับเรณูตดิเป็นคู่หรอืตดิกันทัง้หมดเป็น 4 รังไข่ตดิอยู่เหนอืวงกลบี หรอืใต้วง
กลบี รังไข่มักจะย�วออก ผลแห้งมเีมล็ดจำ�นวนม�ก
วงศ์กะเพร�ะ โหระพ� Labiatae – ลำ�ต้นเป็นสี่เหลี่ยม ใบตดิตรงข้�ม พชืวงศ์นี้จะมตี่อมกลิ่น กลบีเลี้ยงมัก
จะเชื่อมเป็นท่อ ปล�ยมักแยกเป็น 2 ป�ก (bilabiate) ก้�นเกสรเพศเมยีเกดิขึ้นจ�กโคนของรังไข่ (gynobasic) ผลที่
เป็น 4 nutlet ซ่อนอยู่ในท่อกลบีเลี้ยง
---------------------
วงศ์กก Cyperaceae – ลำ�ต้นมักเป็นแท่งส�มเหลี่ยม มักจะตัน และมักจะ unjointed ใต้ช่อดอก ใบส่วนม�ก
จะขึ้นเป็นกอจ�กดนิ หรอืขึ้นใกล้ ๆโคนต้น ก้�นใบมักจะปิด ไม่ม ีligule ผลเป็นแบบคล้�ย nut ม ี1 เมล็ด ดอกจะอัด
แน่นเป็นแบบ spike แต่ละดอกประกอบด้วยเพศผู้และเพศเมยี รองรับด้วยใบประดับซึ่งมลีักษณะคล้�ยเกล็ด เรยีก
ว่� glume ไม่มวีงกลบีดอกรอืบ�งทกี็เป็นคล้�ยหน�ม
วงศ์ Juncaceae – ลำ�ต้นเป็นแท่งสี่เหลี่ยม มักจะตัน ใบเกดิที่โคนต้นขึ้นเป็นกอ ใบคล้�ยหญ้� เป็นแท่งทรง
กระบอกหรอืลดรูปลงเป็นเกล็ด ก�บใบเปิดหรอืปิด ไม่ม ีligule ผลแห้งแก่แตก มเีมล็ด 3 ถงึจำ�นวนม�ก
ดอกเกดิเป็นช่อกระจ�ยแบบ panicles, corymbs หรอื เกดิเป็นกระจุก แต่ไม่เป็นแบบ spikelet ดอกเป็น
ดอกสมบูรณ์เพศ ประกอบด้วยส่วนของกลบีดอกซึ่งลดรูปลวดล�ยเกล็ด 6 อัน ซึ่งจัดเป็น 1 หรอื 2 วง มวีงละ
3 กลบี เกสรเพศผู้ม ี6-3 อัน
วงศ์แส้ม้�ฮ่อ Restionaceae - ลำ�ต้นเป็นลำ�ต้นตรงหรอืแตกกิ่งก้�น รูปสี่เหลี่ยมหรอืแบบมขี้อ ตันหรอื
กลวง ใบส่วนม�กจะลดรูปลงเป็นก�บซึ่งมใีนลดรูปเป็นเกล็ด ส่วนม�กไม่ม ี ligule ผลคล้�ย nut หรอืเป็นผลแห้ง
ส�มเหลี่ยม มเีมล็ด 3-1 เมล็ด
ดอกอยู่เป็นกลุ่มแบบ spikelet ดอกแยกเพศ ประกอบด้วยส่วนของกลบีดอกที่ลดลงเป็นเกล็ด 6 ส่วนจัด
เป็น 2-1 วง วงละ 3 เกล็ด เกสรเพศผู้ม ี3
วงศ์ญ้� Poaceae – ลำ�ต้นกลม มักจะกลวง แต่ตรงข้อตัน ใบเรยีงเป็น 2 แถว หรอืเกดิจ�กโคนเป็นกอ
180 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
181annual พชืฤดูเดยีว
anterior ด้�นหน้�
anther อับเรณู เป็นส่วนหนึ่งของเกสรเพศผู้ ภ�ยในมลีะอองเรณู ส่วนม�กแบ่งเป็นสองพู (เซลล์)
apiculate ปล�ยเป็นติ่งแหลม
apocarpous ค�ร์เพลแยก
appressed แบนร�บ
aril เนื้อหุ้มเมล็ด มักจะเกดิจ�กก้�นเมล็ด หรอืก้�นไข่ (funicle)
aristate แหลมแข็ง
articulated เป็นข้อ
auriculate รูปติ่งหู
awn หน�มที่ปล�ยอวัยวะ ซึ่งต่อไปจะเป็นหน�มแข็ง
axil ง่�ม
axil placentation ก�รตดิของไข่บนแกนของรังไข่ หรอืตดิตรงมุมในของค�ร์เพลที่เชื่อมตดิกัน
axillary ต�มง่�มใบหรอืง่�มกิ่ง
axis แกน (ดอก) เป็นส่วนของลำ�ต้นหรอืกิ่งที่ดอกเกดิ
baccate คล้�ยผลมเีนื้อ หล�ยเมล็ด (berry-like) เช่น ผลกล้วย
barbed ขนขอ หรอื หน�มขอ
barbellate ขนขอสัน้ หรอื หน�มขอสัน้
basifixed ตดิที่ฐ�น
bearded มขีนที่เคร�
berry ผลมเีนื้อเมล็ดม�ก เช่น มะเขอืเทศ
biennial พชืสองฤดู
bifid สองแฉก
bifoliate ม ี2 ใบ
bifoliolate ใบประกอบที่มใีบย่อย 2 ใบ
bilabiate รูปป�กเปิด ประกอบด้วยป�กบนและป�กล่�ง เมื่อกลบีเลี้ยงหรอืกลบีดอกเชื่อมตดิกัน
ค�ำแปลศัพทพฤกษศำสตร์*
GLOSSARY OF BOTANICAL TERMS**abaxial ไกลแกน เป็นด้�นที่หันออกจ�กลำ�ต้น หรอืแกนหลัก ตัวอย่�งเช่น ด้�นล่�งของใบ
abortion ฝ่อ
acaulescent ไม่มลีำ�ต้น โดยมลีำ�ต้นหลักอยู่ใต้ดนิ มใีบและดอกแทงขึ้นเหนอืดนิ
accrescent ขน�ดใหญ่ขึ้นเมื่อดอกบ�น
achene ผลแห้งเมล็ดล่อน เป็นชนดิหนึ่งของผลแห้ง มขีน�ดเล็ก เมล็ดเดยีว เมื่อแก่ไม่แตก
acicular รูปเข็ม
actinomorphic flower ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี(เหมอืน regular flowers)
aculeate มหีน�มแหลม (จ�กผวิ)
aculeolate มหีน�มขน�ดเล็ก
acuminate เรยีวแหลม
acute แหลม โดยที่ปล�ยชนกันเป็นมุมแหลม
adaxial ใกล้แกน เป็นด้�นที่หันเข้�ห�ลำ�ต้น หรอืแกนหลัก (ดู abaxial ประกอบ)
adherent ชดิกันของโครงสร้�งต่�งกัน แต่ไม่ได้เชื่อมตดิกันอย่�งแท้จรงิ (ดู adnate และ coherent ประกอบ)
adnate เชื่อมตดิกันของโครงสร้�งต่�งกัน เช่น เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกับกลบีดอก (ดู adherent และ connate ประกอบ)
adventilious buds ต�พเิศษ คอืต�ที่เกดิขึ้นที่อื่น ๆ ไม่ใช่ต�มที่เกดิที่ต�มง่�มใบ หรอืปล�ยยอดของกิ่ง
aestivation ก�รเรยีงของกลบีในต�ดอก
alternate ตดิเรยีงสลับ
amentiferous มชี่อดอกแบบห�งกระรอก
amplexicaul หุ้มลำ�ต้น เช่น โคนของใบหุ้มลำ�ต้น
androecium วงเกสรเพศผู้
androgynophore ก้�นเกสรร่วม เป็นก้�นที่เจรญิม�จ�กฐ�นดอก เป็นที่ตดิของทัง้เกสรเพศผู้และเพศเมยี
anemophilous ผสมพันธุ์โดยอ�ศัยลม
anisphyllous ใบคู่หนึ่งที่มขีน�ดและรูปร่�งแตกต่�งกัน
182 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
183cauliforous ออกดอกต�มลำ�ต้น (ดู ramiflorus ประกอบ)
cauline เกดิขึ้นจ�กลำ�ต้น
cell 1. ช่องว่�งในรังไข่
2. อับเรณูที่แยกออกเป็นเซลล์ มักมเีซลล์เดยีวหรอืสองเซลล์
ciliate ขนครุยที่ขอบ
circinate ปล�ยม้วน เช่น ใบอ่อนของพวก fern
circumscissile แตกรอบต�มขว�ง ส่วนบนเปิดออกคล้�ยฝ�
clavate รูปคล้�ยกระบอง หรอืหน�ขึ้นไปยังปล�ย
claw ก้�นกลบีดอก
cleistogamous ผสมพันธุ์เมื่อดอกยังตูม
climber ไม้เถ� ไม้เลื้อย
coccus ส่วนที่แยกออกไปของผลที่เป็นพู
coherent ชดิกันของโครงสร้�งเดยีวกัน แต่ไม่เชื่อมตดิกัน (ดู connate ประกอบ)
column ก้�นเกสรที่เชื่อมตดิกัน ลักษณะที่เป็นแท่งเป็นหลอด หรอืเป็นลำ�
1. ในกล้วยไม้ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยีเชื่อมกันเป็นแกนกล�งของดอก เรยีกว่� เส้�เกสร
2. ท่อของก้�นเกสรเพศผู้ที่เชื่อมตดิกัน เช่นในพชืวงศ์ Malvaceae
doma กระจุกขนที่ปล�ยของเมล็ดพชืบ�งชนดิ
ommissure แนวเชื่อม เช่น แนวที่ค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน
dompound leaves ใบประกอบ
dompressed แบนท�งด้�นข้�ง (laterally) หรอืแบนท�งด้�นล่�ง (dorsally)
donduplicate พับห�กัน
donnate เชื่อมตดิของโครงสร้�งเดยีวกัน เช่น เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็นท่อ
donnective เนื้อเยื่อที่เชื่อมเซลล์สองเซลล์ของอับเรณู บ�งครัง้จะยดืย�วออกไปเป็นระย�งค์
donnivent รวมด้วยกัน หรอืเบนเข้�ห�กัน เช่น กลบีดอกชดิตดิกันที่ปล�ยบน
dontorted บดิเวยีน
dordate รูปหัวใจ โคนค่อนข้�งเป็นพูกลมทำ�ให้เกดิช่อง
bilocular ม ี2 ช่อง
bipinnate ใบประกอบแบบขนนกสองชัน้
bisexual สมบูรณ์เพศ
blade ส่วนที่ขย�ยออกเป็นแผ่น เช่น แผ่นใบ แผ่นกลบีเลี้ยง แผ่นกลบีดอก ฯลฯ
bract ใบประดับ
bracteole ใบประดับย่อย
bullate ผวิใบที่ยกขึ้นระหว่�งเส้นใบ
caduceus หลุดร่วง
caespitose เป็นกระจุก เป็นกอ
calyculate มรีิ้วประดับ ล้อมรอบกลบีเลี้ยง ดูคล้�ยเป็นชัน้นอกของกลบีเลี้ยง
calyptra หมวกที่ปกคลุมดอก หรอืผล
calyx กลบีเลี้ยง กลบีนอกกลบีแรกของดอก อ�จแยกจ�กกัน หรอืเชื่อมตดิกัน
calyx-tube ท่อหรอืหลอดกลบีเลี้ยง เมื่อกลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน โคนจะเชื่อมตดิกันเป็นท่อหรอืหลอด ส่วนบนจะ
แยกออกเป็นกลบี เป็นซี่ฟัน หรอืเป็นแฉก
campanulate รูประฆัง
canescent ขนสัน้สเีท�
capitate 1. ก้อนกลมคล้�ยหัวเข็มหมุด เช่น ยอดเกสรเพศเมยี
2. กระจุกของดอกพชืวงศ์ท�นตะวัน Compositae
capsule ผลแห้งแตกประกอบด้วยสองค�ร์เพล หรอื ม�กกว่� ค�ร์เพลเชื่อมตดิกัน เมื่อแก่จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เรียกว่� valves (ลิ้น)
carpel เป็นหน่วยของดอกที่ประกอบด้วยรังไข่ และยอดเกสรเพศเมยี ซึ่งมตี้นกำ�เนดิจ�กใบ 1 ใบ รังไข่จะมไีข่หนึ่ง
หรือม�กกว่�ก็ได้ หนึ่งหน่วยนี้ เรยีกว่� ค�ร์เพล ดอกหนึ่งอ�จมหีนึ่งค�ร์เพล หรอืม�กกว่�หนึ่ง และ
ค�ร์เพลนี้อ�จจะแยกจ�กกัน (apocarpous) หรอืเชื่อมตดิกัน (syncarpous)
carpophore ฐ�นดอกที่ย�วขึ้นชูค�ร์เพลหรอืรังไข่ เช่น พชืในวงศ์ Ranunculaceae
caruncle ปุ่มเนื้อใกล้ ๆ micropyle ของเมล็ด (ดู aril และ strophiole ประกอบ)
catkin ช่อดอกห้อยลงแบบห�งกระรอก
caudate ย�วคล้�ยห�ง
caudicle ก้�นกลุ่มเรณู ในพวกกล้วยไม้ (orchids)
184 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
185didynamous มสีองคู่ย�วไม่เท่�กัน เช่น เกสรเพศผู้ม ี4 ย�ว 2 สัน้ 2
digitate ใบประกอบรูปนิ้วมอื ใบย่อยออกจ�กจุดเดยีวกัน เช่น พวกงิ้ว (Ceiba) (เหมอืน palmate)
dimorphic มรีูปร่�ง 2 แบบ
dioecious ดอกแยกเพศอยู่ต่�งต้น พชืที่มดีอกเพศผู้อยู่ต้นหนึ่ง และดอกเพศเมยีอยู่อกีต้นหนึ่ง
disc จ�นดอก เป็นเนื้อเยื่อที่เจรญิขึ้นม�ระหว่�งกลบีดอกและเกสรเพศผู้ มักจะเป็นวง ถ้วย หรอืหมอน อ�จจะ
เป็นพู หรอืแยกเป็นต่อม (disc-glands) ซึ่งบ�งครัง้เข้�ใจว่�เป็นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน
discoid 1. คล้�ยจ�น
2. ดอกกระจุก ของพชืวงศ์ Compositae ที่ไม่มดีอกวงนอก (ray-flowers) มแีต่ดอกวงใน (disc-flowers)
dissepiment ผนังกัน้
distal ด้�นปล�ย ตรงข้�มกับ proximal (ด้�นโคน)
distichous สลับระน�บเดยีว ก�รเรยีงตัวของใบสลับกันอยู่ในระน�บเดยีวกัน
distinct แยก แยกกันเห็นชัดเจนของอวัยวะเดยีวกัน
divaricate ถ่�งม�ก แยกออกจ�กกันม�ก ๆ
dorsal ด้�นหลัง หรอืผวิด้�นนอกของอวัยวะ เช่น ด้�นล่�งของใบ ตรงข้�มกับ ventral (ด้�นบน)
dorsifixed ก้�นเกสรเพศผู้ตดิด้�นหลังอับเรณู
drupe ผลมเีนื้อเมล็ดแข็ง
echinate มหีน�มแข็ง
elaiosome รย�งค์นุ่มที่ขัว้เมล็ด พบในพชืบ�งชนดิ ซึ่งรย�งค์นี้มไีขมันม�ก elaiosome นี้ม ี3 ชนดิ คอื carunculas
เจรญิม�จ�ก micropyle, strophiolas เจรญิม�จ�ก hilum ที่ปล�ยอกีด้�นหนึ่งของเมล็ด, arils เจรญิม�
จ�ก funicle ใต้เมล็ด elaiosome นี้มหีน้�ที่กระจ�ยพันธุ์ของเมล็ด โดยมมีดเป็นพ�หะ
ellipsoid ทรงรี
elliptic รูปร ีแหลมหรอืกลมทัง้สองปล�ย คว�มย�วเป็น 2-1.5 เท่� ของคว�มกว้�ง โดยทัง้สองด้�นเริ่มโค้งไปจ�ก
ตอนกล�ง
emarginated เว้�ที่ปล�ย
embryo เอมไบรโอ พชืที่ยังไม่เจรญิ อยู่ในเมล็ด
endemic พชืถิ่นเดยีว พชืเฉพ�ะถิ่น ไม่เป็นพชืพื้นเมอืงของที่อื่น
endocarp ผนังผลขัน้ใน เป็นชัน้ในสุดของผนังผล (pericarp)
doriaceous หน�คล้�ยหนัง
corm หัวแบบเผอืก อยู่ใต้ดนิ
dorolla กลบีดอก อ�จแยกจ�กกันเป็นอสิระ (polypetalous) หรอืเชื่อมตดิกัน (grmopetalous)
dorona รย�งค์ที่เชื่อมระหว่�งกลบีดอกและกสรเพศผู้ หรอืระหว่�งเกสรเพศผู้และรังไข่ มักจะเชื่อมตดิกันเป็นวง
หรือเป็นมงกุฎ เช่น ในพชืวงศ์ Passifloraceae และ Asclepiadaceae
dorymb ช่อเชงิหลั่น เป็นช่อดอกที่ยอดค่อนข้�งแบน โดยก้�นดอกย่อยจะเกดิขึ้นที่ตำ�แหน่งต่�ง ๆ บนแกน แต่
ทุกก้�นจะเจรญิไปที่ระดับเดยีวกัน ดอกด้�นนอกสุดบ�นก่อน
dotyledon ใบเลี้ยง
drenate หยักมน
dulm ลำ�ต้นของหญ้�
duneate สอบแคบเป็นรูปลิ่ม
durvinerved ใบที่มเีส้นใบ 4 ,2 เส้น หรอืม�กกว่� ออกจ�กโคนใบไปยังปล�ยใบ เช่น ในพชืวงศ์Melastormataceae
duspidate ติ่งแหลม
dyme ช่อกระจุก เป็นช่อดอกชนดิที่ดอกตรงกล�งบ�นก่อน ช่อดอกที่ปล�ยค่อนข้�งกลมหรอืแบน
dystolith ผนังของเซลล์ที่เจรญิขึ้น มักจะมแีตลเซี่ยมค�ร์บอเนต (ดู furuncle ประกอบ)
deciduous ผลัดใบ ร่วง
declinate โค้งลงม�ก
decurrent ครบีก้�นใบ ขอบใบที่ย�วไปต�มก้�นใบคล้�ยเป็นปีกแคบ
decussate ใบเรยีงตรงข้�มและแต่ละคู่ตัง้ฉ�กกัน เป็นก�รจัดเรยีงตัวแบบหนึ่งของใบ
dehiscent แก่แตก
deltoid รูปส�มเหลี่ยม
dentate ซี่ฟัน
depressed แบนจ�กด้�นบน
diadelphous เกสรเพศผู้เชื่อมตดิกันเป็น 2 กลุ่ม เช่น พชือนุวงศ์ Papilionoideae เกสรเพศผู้ม ี10 อัน เชื่อมตดิกัน
9 อัน อกี 1 อันแยก
dichotomous แตกเป็น 2
didymous อยู่เป็นคู่
186 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
187funicle ก้�นไข่ตดิกับพล�เซนต�
furuncles เนื้อใบที่พองขึ้น พบในตัวอย่�งพรรณไม้แห้ง เกดิจ�กผนังเซลล์ที่มแีคลเซยีมค�ร์บอเนต (cystolith) หรอื
ผลกึรูปเข็ม (raphides)
fusiform รูปกระสวย หน�แต่สอบแคบ ไปยังปล�ยทัง้สอง
gamopetalous กลบีดอกเชื่อมตดิกัน อ�จเชื่อมตดิกันทัง้หมด หรอืเชื่อมตดิกันเฉพ�ะที่โคน (เหมอืน sympetalous)
gamosepalous กลบีเลี้ยงเชื่อมตดิกัน อ�จเชื่อมตดิกันทัง้หมด หรอืเชื่อมตดิกันเฉพ�ะที่โคน
geniculate งอคล้�ยเข่�
geophyte พชืมเีหง้�ใต้ดนิ
gibbous โป่งข้�วเดยีว มักเกดิที่ใกล้ ๆ โคน
glabrous เกลี้ยง
gland ต่อม อ�จอยู่บนผวิ หรอืล้อมรอบด้วยโครงสร้�งของใบ ดอก ฯลฯ หรอืมกี้�นชูขึ้น หรอืปล�ยมขีน
glaucous มนีวล
glomerate เป็นกลุ่มแน่น
glumes ก�บช่อย่อย ในพชืวงศ์หญ้� Gramineae เป็นใบประดับสองใบ
gynoecium วงศ์เกสรเพศเมยี
gynobasic โคนก้�นเกสรเพศเมยี เช่น ในพชืวงศ์ Boraginaceae และ Labiatae
gynophore ก้�นชูเกสรเพศเมยี เช่น ในพชืวงศ์ Capparaceae
hastate รูปเงี่ยงใบหอก โคนทัง้สองข้�งเป็นรูปค่อนข้�งส�มเหลี่ยมก�งออกด้�นข้�ง
heads ดอกแบบช่อกระจุกแน่น
hermaphrodite ดอกสมบูรณ์เพศ
hetero หล�ยแบบ
heterogamous มดีอกทัง้สองเพศ เช่น ดอกแบบช่อกระจุกแน่น (heads) ของพชืบ�งชนดิในวงศ์ Compositae มทีัง้
ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี
hilum รอยแผลเป็นบนเมล็ด ตรงที่ตดิกับ funicle หรอื พล�เซนต�
hirsute ขนหย�บแข็ง
hispid ขนส�ก
homogamous มดีอกเพศเดยีว เป็นดอกแบบช่อกระจุกแน่น (heads) มดีอกเพศเดยีวทัง้หมด
endosperm แหล่งสะสมอ�ห�รในถงุเอมไบรโอ พบในเมล็ดพฃืหล�ยชนดิ มกัจะล้อมรอบเอมไบรโอ เช่น เมลด็ข้�ว
และมะพร้�ว
entire ขอบเรยีบ
epigynous flower ดอกที่กลบีเลี้ยง กลบีดอก และเกสรเพศผู้ตดิเหนอืรังไข่
epipetalous บนกลบีดอก
epiphyte พชืองิอ�ศัย พชืที่ขึ้นอยู่บนพชือื่นแต่ไม่เบยีดเบยีนอ�ห�ร เช่น พชืที่ขึ้นบนผวิหน้�หนิโดยไม่ได้ส่งร�ก
ลงไปต�มรอยแตก เรยีกพชืพวกนี้ว่� lithophytes (พชืชอบขึ้นบนหนิ)
exocarp ผนังผลชัน้นอกเป็นผนังชัน้นอกสุดของผนังผล (pericarp)
exserted โผล่ ยื่น เช่น เกสรเพศผู้โผล่พ้นวงกลบี
exstipulate ไม่มหีูใบ
extra-axillary เกดินอกง่�มใบ
extra-floral นอกดอก
extrorse หันหน้�ออกจ�กแกนดอก
falcate รูปเคยีว
farinose มนีวลแป้ง
fascicle กระจุก เป็นกระจุกดอก หรอืกระจุกใบ โดยเกดิขึ้นม�จ�กจุดเดยีวกัน
ferrugineous สสีนมิเหล็ก
filaments ก้�นชูอับเรณู
filiform คล้�ยเส้นด้�ย
flexuous คดไปม�
floccose มขีนปุย
foliaceous คล้�ยใบ
follicle ฝักแตกต�มย�ว เป็นผลแห้งแตก มคี�ร์เพลเดยีว แตกต�มแนวด้�นในที่เมล็ดตดิอยู่
forma แบบ เป็นชนดิทีม่ลีกัษณะผดิแผกไปเลก็น้อย มกัจะผดิกนัทีถ่ิน่ทีอ่ยู ่เช่น เป็นพชืนำ�้ หรอืพชืบก
free แยกจ�กกันเป็นอสิระ
frutescent เป็นพุ่ม
fugacious ร่วงเร็ว
188 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
189keel กลบีดอกคู่ล่�งที่เชื่อมตดิกันของดอกแบบ papilionaceous
keeled เป็นสัน เช่น สันตรงกล�งของผล หรอืของกลบีดอก
labellum กลบีป�ก ใช้กับ
1. กลบีดอกคู่ล่�งของดอกกล้วยไม้ (orchids) มักจะขย�ยใญ่ขึ้นและมรีูปร่�ง แตกต่�งไปจ�กกลบีด้�นข้�ง
2. ป�กที่คล้�ยกลบีดอกของพชืวงศ์ขงิข่� Zingiberaceae เป็นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน
laciniate จักเป็นครุย
lanate แบบขนแกะ
lanceolate รูปใบหยก ปล�ยแหลมทัง้สองข้�ง หรอืใกล้โคนอ�จกลม คว�มย�วเป็น 6-3 เท่�ของคว�มกว้�ง
legume ฝักแบบถั่ว ม ี1 ค�ร์เพล
lemma ก�บล่�งของดอกย่อย ในพชืวงศ์หญ้� Gramineae
lenticels ช่องอ�ก�ศ
lepidote มเีกล็ดรังแค
ligulate flower ดอกรูปลิ้น เป็นดอกวงนอก (ray flower) ของพชืวงศ์ท�นตะวัน Compositae ซึ่งมกีลบีดอกเป็น
รูปลิ้น
ligule 1. ลิ้นใบ เป็นรย�งค์ที่ส่วนบนสุดของก้�นใบ ในพชืวงศ์หญ้� Gramineae
2. กลบีดอกรูปลิ้น (ray flower) ของดอกวงนอกของพชืวงศ์ท�นตะวัน Compositae
limb แผ่นใบ
linear รูปแถบ โดยมขีอบขน�นกัน
lip 1. กลบีป�ก เรยีกกลบีเลี้ยงหรอืกลบีดอกที่เชื่อมตดิกัน แล้วแบ่งเป็นส่วนบนและส่วนล่�ง
2. กลบีของดอกกล้วยไม้ (orchids) (ดู labellum ประกอบ)
locellate แบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ
locular ช่อง เช่น unilocular (ช่องเดยีว)
loculicidal ผลแห้งแบบแคปซูล ชนดิที่เมื่อแก่แตกตรงกล�งพู
lorate รูปแถบกว้�ง
lyrate จักแบบขนนกที่มพีูบนสุดใหญ่กว่�พูล่�ง ๆ
mericarp ซกีผลของผลแบบ schizocarp (ผลแบบผักช)ี
hyaline ใส
hypogynous flower ดอกที่กลบีเลี้ยง กลบีดอก และกสรเพศผู้ตดิใต้รังไข่
imbricate ซ้อนเหลื่อมกัน
imparipinnate ใบประกอบแบบขนนกปล�ยคี่
incised จักลกึ
included ไม่โผล่ เช่น เกสรเพศผู้ไม่โผล่พ้นกลบีดอก
indefinite มจีำ�นวนม�ก เช่น จำ�นวนเกสรเพศผู้
indehiscent แก่ไม่แตก
indigenous เฉพ�ะถิ่น
indumentums สิ่งปกคลุม เช่น ขน เกล็ด ฯลฯ
induplicate ขอบพับเข้� ขอบของใบ กลบีดอก หรอืกลบีเลี้ยงพับเข้� แต่ไม่ซ้อนกัน
indusium 1. ถ้วยคลุมยอเกสรเพศเมยี ของพชืวงศ์ Goodeniaceae
2. เยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์ในพชืพวกเฟิร์น
inferior ovary รังไข่ใต้วงกลบี
inflorescence ช่อดอก
infructescence ช่อผล
internode ปล้อง หม�ยถงึส่วนของลำ�ต้นระหว่�งข้อสองข้อ
interpetiolar อยู่ระหว่�งก้�นใบ ถ้�เป็น interpetiolar stipules เป็นหูใบที่อยู่ระหว่�งก้�นใบของใบที่ตดิตรงข้�มกัน
และมักจะเชื่อมตดิกัน เช่น พชืวงศ์เข็ม Rubiaceae
intrapetiolar อยู่ระหว่�งก้�นใบและลำ�ต้น
introrse หันหน้�เข้�สู่แกนดอก
involucel วงใบประดับย่อย
involucre วงใบประดับ เป็นใบประดับที่เรยีงชดิกันใต้ดอกหรอืกลุ่มของดอก เช่น ใบประดับใต้ช่อดอกแบบ umbel
involute ขอบม้วนขึ้น
irregular flower ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง เป็นดอกที่ส่วนต่�ง ๆ ของดอกไม่เหมอืนกันทุกประก�รที่ขน�ด และ
รูปร่�ง ส�ม�รถแบ่งผ่�นศูนย์กล�งให้ทุกส่วนกันทุกประก�รได้เพยีงระน�บเดยีว (เหมอืน
zygomorphic flower)
190 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
191ovate รูปไข่ ส่วนกว้�งที่สุดจะอยู่ตำ่�กว่�จุดกึ่งกล�ง
ovoid ทรงรูปไข่
ovule ไข่ เป็นเมล็ดที่ยังไม่โตเต็มที่อยู่ในรังไข่ก่อนเกดิก�รปฏสินธิ
palea ก�บบน ของดอกย่อยในพชืวงศ์หญ้� Gramineae (ดู lemma ประกอบ)
palmate 1. รูปฝ่�มอื (ใบเดี่ยว)
2. แบบนิ้วมอื (ใบประกอบ)
pandurate รูปไวโอลนิ
panicle ช่อแยกแขนง ช่อดอกชนดิที่แกนกล�งช่อดอกแยกแขนง มดีอกย่อยจำ�นวนม�ก
papilionaceous รูปดอกถั่ว มกีลบี standard, wings และ keel
papillose มปีุ่มเล็ก
pappus ขนหรอืเกล็ดรอบ ๆ ปล�ยผลของพชืวงศ์ท�นตะวัน Compositae
parietal placentation พล�เซนต�ต�มแนวตะเข็บ ก�รตดิของไข่ที่พล�เซนต�บนผนังของรังไข่
paripinnate ใบประกอบแบบขนนกปล�ยคู่
partite จักแต่ไม่ถงึโคน
pectinate จักซี่หวี
pedate แบบตนีเป็ด จักคล้�ยฝ่�มอื แต่จักที่พูด้�นข้�งลกึกว่�
pedicel ก้�นดอกย่อย
peduncle ก้�นดอก รวมถงึก้�นของช่อดอกด้วย
pellucid โปร่งแสง
peltte ใบก้นปิด ก้�นใบตดิลกึเข้�ม�จ�กขอบใบ เช่น ใบบัวหลวง
pendulous ห้อยลง
penicillate มขีนเป็นกระจุก
perennial พชืหล�ยปี มอี�ยุเกนิกว่�สองฤดู
perfoliate ใบไม่มกี้�นใบ โคนตดิรอบลำ�ต้น
perianth วงกลบีรวม ใช้เรยีกรวมทัง้วงกลบีเลี้ยงและวงกลบีดอก หรอือ�จเรยีกวงใดวงหนึ่งในกรณทีี่อกีวงหนึ่งไม่มี
pericarp ผนังผล ชัน้ต่�ง ๆ อ�จจะเชื่อมกันเป็นชัน้เดยีว หรอือ�จแยกออกจ�กกันได้เป็น 3 ชัน้ คอื ชัน้ exocarp,
meocarp ผนังเซลชัน้กล�ง เป็นชัน้กล�งของผนังผล (pericarp) มักจะอ่อนนุ่ม
micropyle รูเปิดเล็ก ๆที่ปล�ยของไข่ ที่ท่อของเรณู (pollen-tube) เจ�ะลงไป
monadelphous เชื่อมตดิกลุ่มเดยีว เช่น เกสรเพศผู้ของพชืวงศ์ชบ� Malvceae
moniliform รูปคล้�ยส�ยลูกปัด
monochlamydeous ดอกที่มวีงกลบีชัน้เดยีว
monocotyledon พชืใบเลี้ยงเดี่ยว พชืที่มใีบเลี้ยงหนึ่งใบ เมื่องอกออกม�จ�กเมล็ด
monoecious ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น พชืที่มดีอกแยกเพศ โดยดอกเพศผู้และดอกเพศเมยีอยู่บนต้นเดยีวกัน
mucronate ปล�ยแหลมเป็นติ่งหน�ม
muricate ผวิค�ย เป็นตุ่มแข็ง หรอืเป็นหน�มแหลม
nervation ก�รเรยีงเส้นใบ
nerves เส้นใบ เป็นเส้นที่ออกจ�กเส้นกล�งใบทัง้สองด้�น เส้นที่แตกจ�ก nerves ไปเรยีกว่� vein net-veined
แบบร่�งแห
node ข้อ
nut ผลเปลอืกแข็ง แก่ไม่แตก ม ี1 ช่อง และ 1 เมล็ด
ob- เป็นภ�ษ�ล�ตนิ ที่เตมินำ�หน้� มักแปลว่�กลับ หรอืควำ่� เช่น obconical-กรวยควำ่� obcordate – หัวใจกลับ
oblanceolate-ใบหอกกลับ obovate – ไข่กลับ
oblique เฉยีง เบี้ยว มักใช้กับโคนใบ
oblong ใบรูปขอบขน�น ขอบใบทัง้สองด้�นค่อนข้�งขน�นกัน ปล�ยทัง้สองด้�นบน คว�มย�ว 4-2 เท่� ของคว�มกว้�ง
obovate รูปไข่กลับ รูปไข่ที่ส่วนกว้�งสุดอยู่ด้�นบน
obovoid ทรงรูปไข่กลับ
obtuse มน หรอืกลม ที่โคนและปล�ย
ochreate ปลอก เช่น หูใบที่เป็นปลอกที่ลำ�ต้นของ Polygonum
opposite ตดิตรงข้�ม เช่น opposite leaves-ใบสองใบท่ตดิอยู่บนข้อเดยีวกันแต่คนละด้�นของลำ�ต้น stamens
opposite petals-เกสรเพศผู้ตดิตรงข้�มกับกลบีดอก เช่น พชืในวงศ์ Rhamnaceae
orbicular รูปวงกลม
ovary รังไข่ เป็นส่วนของเกสรเพศเมยี ซึ่งมรีังไข่ ก้�นเกสรเพศเมยีและยอดเกสรเพศเมยี รังไข่จะมไีข่อยู่ภ�ยใน
และรังไข่จะกล�ยเป็นผล
192 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
193 1. ฝักแบบถั่ว มคี�ร์เพลเดยีว วงศ์ Leguminosae
2. ฝักแบบ silique ซึ่งมี 2 เซลล์แยกจ�กกันโดยเยื่อบ�ง ๆ วงศ์ Cruciferae
pollen ละอองเรณูอยู่ภ�ยในอับเรณู
pollen-mass ละอองเรณูที่จับเป็นก้อน
pollinium ก้อนละอองเรณูม�จับตัวกัน เช่นในวงศ์กล้วยไม้ Orchidaceae และวงศ์ Asclepiadaceae
polygamous มดีอกเพศเดยีวและดอกสมบูรณ์เพศในต้นเดยีวกันหรอืต่�งต้นกันของพชืชนดิเดยีวกัน
polypetalous กลบีดอกแยก
posterior ด้�นหลัง
prickle หน�มเกดิจ�กผวิ
proliferous มตี�พเิศษบนใบหรอืในดอก ต�เหล่�นี้ส�ม�รถงอกร�กและต้นใหม่ได้
prostrate ทอดนอนไปบนดนิ
prot(er)androus อับเรณูแก่ก่อนยอดเกสรเพศเมยี
prot(er)ogynous ยอดเกสรเพศเมยีเปิดรับละอองเรณูได้ก่อนที่อับเรณูจะเปิด
proximal ด้�นโคนตรงข้�มกับ distal (ด้�นปล�ย)
pruinose มนีวล
puberulous ขนสัน้ละเอยีดนุ่ม
pubescent ขนสัน้นุ่ม
pulverulent มผีง
punctuate จุดโปร่งแสง
pungent ปล�ยแหลมแข็ง
postulate คล้�ยตุ่ม
raceme ช่อกระจะ ช่อดอกที่ดอกย่อยมกี้�นตดิอยู่บนแกนกล�ง บ�นจ�กโคนไปยังปล�ย
radical leaves ใบกระจุกใกล้ร�ก
radicle ร�กแรกเกดิ
ramiflorous ดอกเกดิต�มกิ่ง (ดู cauliflorous)
raphides ผลกึรูปเข็ม อยู่ในเซลล์ของพชื
mesocarp และ endocarp
perigynous flower ดอกที่กลบีเลี้ยง กลบีดอกและเกสรเพศผู้ตดิรอบรังไข่
persistent ตดิแน่น
perulate มเีกล็ดหุ้ม เช่น ที่ต� (bud)
petal กลบีดอก มักจะมสีสีรร และแผ่กว้�ง
petaloid คล้�ยกลบีดอก
petiole ก้�นใบ
petiolule ก้�นที่ค่อนข้�งแบนทำ�หน้�ที่คล้�ยใบ
phyllode ก้�นใบแบน หรอืแกนกล�งใบมรีูปร่�งและทำ�หน้�ที่คล้�ยใบ
pilose มขีนย�ว
pinna ใบย่อยของใบประกอบแบบขนนก
pinnate ใบประกอบแบบขนนก มใีบย่อยเรยีงตัวสองข้�งของแกนกล�ง
pinnatifid หยักแบบขนนก
pinnatilobed หยักแบบขนนก จักลกึเกอืบกึ่งกล�งก่อนถงึเส้นกล�งใบ
pinnatipartite หยักลกึแบบขนนก ลกึเกอืบถงึเส้นกล�งใบ
pinnatisect หยักลกึสุดแบบขนนก ลกึถงึเส้นกล�งใบ
pinnule ใบย่อยชัน้ที่สองหรอืที่ส�ม ในกรณทีี่ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองหรอืส�มชัน้
pistil เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยรังไข่ (ovary) ก้�นเกสรเพศเมยี (style) และยอดเกสรเพศเมยี (stigma)
pistillode เกสรเพศเมยีเนหมัน พบในดอกเพศผู้ของพชืบ�งชนดิ
placenta ส่วนของรังไข่ที่ไข่ตดิอยู่
placentation ก�รตดิของไข่ภ�ยในรังไข่
plicate พับจบี
plinerved ใบหรอืใบประดับที่มเีส้นใบ 4 ,2 เส้น หรอืม�กกว่�นัน้ ออกจ�กโคนใบหรอืใกล้โคนใบทัง้สองด้�นของ
เส้นกล�งใบ และขึ้นไปสักระยะหนึ่ง เช่น -3plinerved, 5-plinerved (ดู curvinerved ประกอบ)
plumose ขนนก เหมอืนกับหน�มที่มขีนนุ่มออกไปทัง้สองด้�น
pod ฝักเมื่อแก่แตก ม ี2 ชนดิ
194 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
195scales เกล็ด เกดิจ�ก 1. ใบที่ลดรูปลง มักไม่มกี้�น เนื้อบ�งและแห้ง บ�งครัง้พบที่มสีเีขยีว
2. เป็นสิ่งปกคลุมชนดิหนึ่งที่เป็นรูปจ�นแบนเล็ก
scape ก้�นดอกโดดเป็นก้นดอกไม่มใีบแทงขึ้นม�จ�กพื้นดนิ
scarious บ�นและแห้ง สไีม่เขยีว
schizocarp ผลแห้งแตกเป็นสองหรอืหล�ยส่วน แต่ละส่วนเรยีกว่� mericarp เช่น พชืวงศ์ผักช ียี่หร่� Umbelliferae
พชืวงศ์ชบ� Malvaceae
scorpioid ช่อดอกที่มแีกนกล�งช่อดอกขดคล้�ยขดลวดอยู่ในต�ดอก
second ตดิข้�งเดยีว
segment ส่วน
shoot หน่อ ส่วนยอด
shrub ไม้พุ่ม พชืมเีนื้อไม้ที่ไม่สูงนัก และให้กำ�เนดิหน่อและลำ�ต้นจ�กโคน ไม่เหมอืนไม้ต้น (tree) ที่มลีำ�ต้นเดยีว
siliqua ฝัก เป็น 2 เซลล์ มักมผีนังบ�ง ๆกัน้ เมื่อแตกจะแตกจ�กโคนขึ้นม� เช่น พชืวงศ์ Cruciferae
simple leaf ใบเดี่ยว
sinuate เว้�เป็นคลื่น
sinus ส่วนเว้�
spadix ช่อเชงิลดมกี�บ ได้แก่ ช่อดอกแบบหน้�วัว เป็นช่อดอกแบบ spike ที่มแีกนกล�งอวบสดและมกี�บใหญ่
รองรับ เช่น พชืวงศ์บุก Araceae
spathe ก�บหุ้มช่อดอก โดยช่อดอกเป็นแบบ spadix หรอืเนใบประดับ 2 ใบ หรอืม�กกว่�ที่หุ้มกลุ่มช่อดอก
spthulate รูปช้อน ปล�ยบนกลม ส่วนโคนย�วและแคบ
spicate คล้�ยช่อเชงิลด
spike ช่อเชงิลด เป้นช่อดอกที่ดอกย่อยไม่มกี้�น ตดิอยู่บนแกนกล�ง เมื่อบ�นจะบ�นจ�กโคนไปยังปล�ย
spikelet ช่อดอกย่อย (ของพวกหญ้� กก) เป็นช่อเชงิลดขน�ดเล็ก ที่ประกอบด้วยดอกตัง้แต่หนึ่งขึ้นไปอยู่ในก�บ
spine หน�มแหลมแข็ง มักจะเกดิจ�กเนื้อไม้ของลำ�ต้น บ�งทเีป็นส่วนของใบที่ลดรูป
spiral เวยีนสลับ
spur เดอืย เป็นส่วนของดอกที่ยื่นออกไป มักกลวง
stamen เกสรเพศผู้ ประกอบด้วยก้�นชูอับเรณู (filament) และอับเรณู (anther)
staminode เกสรเพศผู้เป็นหมัน
receptacle ฐ�นดอก เป็นปล�ยสุดของก้�นดอกหรอืก้�นดอกย่อยเป็นที่ตดิของกลบีเลี้ยง กลบีดอก เกสรเพศผู้
และเกสรเพศเมยี
regular flower ดอกสมม�ตรต�มรัศม ี เป็นดอกที่ส่วนต่�ง ๆ ของดอกเหมอืนกันทุกประก�รทัง้ขน�ดและรูปร่�ง
ส�ม�รถแบ่งผ่�นศูนย์กล�งให้ทุกส่วนเท่�กันทุกประก�รได้ทุกระน�บ (เหมอืน actinomorphic flower)
reniform รูปไต
repand เป็นคลื่นเล็กน้อย
reticulate แบบร่�งแห
retuse เว้�บุ๋ม
revolute ใบที่มขีอบม้วนลง
rhachilla แกนกล�งของช่อดอกย่อยในพชืพวกหญ้�และกก
rhachis แกนกล�ง 1. แกนกล�งของช่อดอก
2. แกนกล�งที่ต่อจ�กก้�นใบของใบประกอบ เป็นที่ตดิของใบย่อย
rhizome เหง้� เป็นส่วนของลำ�ต้นอยู่ใต้ดนิ หรอือย่�งน้อยก็เลื้อยไปต�มพื้นดนิ เหง้�เป็นที่ตดิของร�กลงไปในดนิ
และเป็นที่ตดิของกิ่งก้�น ใบ หรอืหน่อที่ให้ดอกขึ้นม�เหนอืดนิ เหง้�นี้ แยกออกได้จ�กร�กจรงิ ๆ ของพชื
โดยเหง้�จะมตี� ใบ และเกล็ด
rostellum จะงอยเล็ก พบในกล้วยไม้ เป็นจะงอยอยู่ที่ขอบบนของยอดเกสรเพศเมยี ข้�งหน้�อับเรณู
rostrate มจีะงอย
rosulate เป็นกระจุกแบบกุหล�บซ้อน
rotale รูปกงล้อ กลบีดอกที่ตอนโคนเชื่อมตดิกันเป็นท่อสัน้ ตอนปล�ยแผ่ออกเป็นกลบี
rufous สอีอกแดง
rugose รอยย่น
ruminate เนื้อเมล็ดย่น
runcinate จักแหลมโค้งลง จักแหลมเป็นฟันเลื่อย โดยซี่ฟันโค้งลงไปท�งโคน
saccate รูปถุง
sagittate รูปเงี่ยงลูกศร โคนของใบที่เป็นพูแหลมตรงไปยังด้�นล่�ง
samara ผลปีกเดยีว ผลแก่ไม่แตก เมล็ดเดยีว มปีีก เช่น พชืวงศ์ Malpighiaceae พชืสกุล Acer
scabrid ส�กมอื มักเนื่องม�จ�กมขีนแข็งสัน้
196 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
197tendril มอืพัน
terete คล้�ยทรงกระบอก
ternate แยกส�ม เป็นกลุ่มของ 3
terrestrial บนดนิ
test เปลอืกเมล็ด
tetradynamous เกสรเพศผู้ม ี6 ย�ว 4 สัน้ 2 ในพชืวงศ์ผักช ียี่หร่� Cruciferae
thecae เซลล์อับเรณู
thorn หน�ม เป็นหน�มแหลมที่มกีำ�เนดิเหมอืนกันกับอวัยวะอื่น (ใบ, หูใบ, ฯลฯ)
tomentose มขีนสัน้หน�นุ่ม
torilose ทรงกระบอก บวมที่รอยต่อ
torus ฐ�นดอกนูน (ดู receptacle ประกอบ)
tree ไม้ต้น มลีำ�ต้นเดยีวโดด ๆ
treelet ไม้ต้น ขน�ดเล็ก แต่ยังคงมลีำ�ต้นเดยีว
trifoliolate ใบประกอบชนดิม ี3 ใบย่อย
trigonous มสี�มมุม ไม่แหลม
triquetrous มสี�มมุมแหลม
truncate ปล�ยตัด
tube ท่อ หลอด
tuber หัวแบบมันฝรั่ง เป็นส่วนของร�กหรอืลำ�ต้นที่ใหญ่ขัน มักอยู่ใต้ดนิ
tuberculate มปีุ่ม
tumid พอง
tunicated bulb หัวแบบหัวหอม
turbinate รูปลูกข่�ง
umbel ช่อดอกแบบซี่ร่ม โดยมกี้�นดอกย่อยเกดิจ�กจุดเดยีวกัน
undulate เป็นคลื่น
unguiculate โคนแคบคล้�ยเป็นก้�น
standard กลบีกล�ง เป็นกลบีดอกกลบีใหญ่อยู่บนสุดของดอกแบบดอกถั่ว
stellate hairs ขนรูปด�ว
sterile เป็นหมัน
stigma ยอดเกสรเพศเมยี เป็นที่ตดิของละอองเรณู อ�จจะไม่มกี้�น หรอือยู่บนปล�ยสุดของก้�นเกสรเพศเมยี
(style) หรือปล�ยสุดของแฉกของก้�นเกสรเพศเมยี
stipe ก้�น อ�จจะเป็นก้�นของค�ร์เพล หรอืก้�นของเกสรเพศเมยี หรอืก้�นผล
stipellae หูใบย่อยเล็ก ๆ 1 คู่ อยู่ที่โคนของก้�นใบย่อย เช่น ใบของพชืหล�ยชนดิในวงศ์ Leguminosae
stipitate มกี้�น
stipules หูใบ เป็นระย�งค์ 1 คู่ ที่โคนก้�นใบ
stolon ไหล เนลำ�ต้นบนดนิ มปีล้องย�ว ร�ก ใบ ดอก เกดิที่ข้อ มรี�กเกดิ
stomata ป�กใบ เป็นรูห�ยใจอยู่บนผวิชัน้บน
striate เป็นริ้ว
strigose ขนแข็งเอน ขนจะเอนชดิกับผวิ
strobilus อวัยวะสบืพันธุ์ของพชืเมล็ดเปลอืย (Gymnosperums)
strophiole รย�งค์นุ่มที่ขัว้เมล็ดของพชืบ�งชนดิ (ดู aril และ caruncle ประกอบ)
style ก้�นเกสรเพศเมยี
sub คำ�ที่ใช้เตมินำ�หน้�แปลว่� 1. กึ่ง เช่น subacute-กึ่งแหลม
2. ใต้ เช่น subterranean-ใต้ดนิ
subspecies ชนดิย่อยตำ่�กว่�ระดับชนดิ (species)
subterranean ใต้ดนิ
subulate รูปลิ่มแคบ
sulcate เป็นร่อง
superior ovary รังไข่เหนอืวงกลบี
suture รอยเชื่อม
sympetalous กลบีดอกเชื่อมกัน (เหมอืนกับ gamopetalous)
syncarpous ค�ร์เพลเชื่อม ประกอบด้วยค�ร์เพลตัง้แต่ 2 หรอืม�กกว่� เชื่อมตดิกัน
198 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
199
เอกสำรอ้ำงองิจำ�ลอง เพ็งคล้�ย และคณะ. 2526-2515. ไม้ที่มคี่�ท�งเศรษฐกจิของไทย. ตอนที่ 3-1. ชุมนุมสหกรณ์ก�รเกษตร
แห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ.
จำ�ลอง เพ็งคล้�ย และธวัชชัย สันตสิุข. 2516. พฤกษศ�สตร์ป่�ไม้เบื้องต้น. โรงพมิพ์ศ�สน�, กรุงเทพฯ.
เต็ม สมตินิันทน์. 2523. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศ�สตร์-ชื่อพื้นเมอืง). ฟันนี่พับบลชิชิ่ง, กรุงเทพฯ.
เต็ม สมตินิันทน์. ไม่ระบุปี. พันธุ์พชืไทยที่มคีว�มสำ�คัญต่อก�รป่�ไม้โดยเฉพ�ะท�งด้�นเศรษฐกจิ. เอกส�ร
ประกอบก�รบรรย�ย. กรมป่�ไม้, กรุงเทพฯ.
ธ�น ีพ�นชิผล. ไม่ระบุปี. ก�รเรยีกชื่อท�งพฤกษศ�สตร์. เอกส�รประกอบก�รบรรย�ย. กรมป่�ไม้, กรุงเทพฯ
Bridson, Diane and Leonard Forman. 1992. The Herbarium Handbook. Royal Botanic Gardens Kew, U.K.
De Laubenfels, D.J. 1969. A Revision of the Malesian and Pacific Rainforest Conifers, 1. Podocarpaceae, in
part. Journal of the Arnold Arboretum. 50(3): 315-369.
Keng, Hsuan. 1969. Malayan Seed Plants. University of Malaya Press, Singapore.
Lawrence, George H.M. 1951. Taxonomy of Vascular Plants. Macmillan, New York.
Mabberley, D.J. 1994. The Plant Book. Cambridge University Press, Great Britain.
Porter, C.L. 1959. Taxonomy of Flowering Plants. W.H. Freeman, San Francisco.
Smitinand, T. and Kai Larsen. 1970-1997. Flora of Thailand. Vol. 2-6. Chutima Press. Bangkok.
Wong, K.M. 1993. A revision of Bambusa (Gramineae: Bambusoideae) in the Malay Peninsula, with two new
species. Sandakania. 3: 17-41.
unisexual มเีพศเดยีว อ�จมเีฉพ�ะเกสรเพศผู้หรอืเฉพ�ะเกสรเพศเมยี
urceolate รูปคนโฑ รูปโถ
valvate จรดกัน เมื่อขอบของกลบีดอกหรอืกลบีเลี้ยงม�จรดกัน
valve ลิ้น 1. ลิ้นที่เกดิจ�กผลแบบแคปซูลแตกออกเป็นเสี่ยง
2. ฝ�ปิดเปิดบนผนังของอับเรณู ของพชืวงศ์อบเชย Lauraceae
variety พันธุ์
velutinous มขีนกำ�มะหยี่
venation ก�รเรยีงเส้นใบ
ventral ด้�นบน หรอืผวิตดิด้�นแกน
vernation ก�รเรยีงของใบอ่อนในต�ใบ
verrucose เป็นตุ่ม
versatile ก้�นเกสรเพศผู้ตดิกับอับเรณูที่กึ่งกล�งด้�นหลังของอับเรณู ทำ�ให้อับเรณูเคลื่อนไหวได้
verticillate วงรอบ ใบตดิเป็นวงรอบข้อ
vexillum กลบีกล�ง เป็นกลบีดอกกลบีใหญ่อยู่บนสุดของดอกแบบดอกถั่ว (เหมอืน standard)
villous มขีนอุย ขนย�วไม่แข็ง
viviparous งอกค�ต้น
whorl วงรอบ ใบตดิเป็นวงรอบข้อ
wing ปีก 1. ส่วนที่ขย�ยขึ้นเป็นปีก
2. กลบีดอกสองกลบีข้�งของดอกแบบดอกถั่ว
zygomorphic flower ดอกสมม�ตรด้�นข้�ง (เหมอืน irregular flower)
200 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
201
202 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
203ขี้ผึ้ง -
ขี้หนอน -
ขี้หนอนคว�ย 130
ขี้หนอนพรุ -
ขี้เหล็กบ้�น 114
ขี้เหล็กเลอืด -
ขี้อ้�ย 143
ขุนไม้ 94
เข็ม 39,46,65,92,93,94,132,148,1
53,154,177
เข็มม่วง 155
เข็มใหญ่ 14
เข็มอนิเดยี 154
เขล็ง -
เข้�เย็นใต้ 161
เข้�เย็นเหนอื
เขี้ยวกระแต 154
ไข่เขยีว 122
ไข่ปูใหญ่ 99
คนทสีอ -
ครสิต์ม�ส 143
ตวนินิ -
ค้อ 163
คอแลน 144
ค�ง 113
ค�งฮุง 115
ค�ยโซ่ 120
คิ้วน�ง -
คูน 37,114
เครอืออน 161
เคี่ยม -
แคข�ว 155,156
แคทร�ย 155
แคน� 156
แคฝอย 155,156
แครอท 35
แคแสด 156
แคหัวหมู 155,156
แคห�งค่�ง 155,156
ไคนโิต 151
ง�ไซ 151
ง้�ว 140
งิ้ว 8,140,185
งิ้วบ้�น 140
งิ้วป่� 140
งิ้วผ� 140
งุ้น 117
เง�ะ 25,37,144
โงงงัง 120
จันทน์กะพ้อ 122
จันทน์ชะมด 134,142
จันทน์แดง 104
จันทน์ป่� 104
จันทน� 134
จ�ก 54,163
จ�มจุร ี 2
จำ�ป� 102,103
จำ�ป�ป่� -
จำ�ปี 10,102
จำ�ปีเข� 103
จำ�ปีแขก -
จำ�ปีดง -
จำ�ปีป่� 103
เจตมูล 141
ฉก 163
ฉำ�ฉ� 2
เฉยีงพร้�น�งแอ 127,131
แฉลบข�ว 112
ชงโค 114
ชบ� 39,55,135,176,190
ชมพู่ 2,55,132
ชมพูแก้มแหม่ม 132
ชมพู่น�ก 132
ชมพู่นำ�้ดอกไม้ 132
ชมพู่ป่� -
ชมพูพันธ์ทพิย์ 156
ชมพู่ส�แหรก 132
ชวนชม 153
ดรรชนชีื่อพชืกก 10,161,163,178,194,195,
กระช�ย 35
กระดังง� 54,103,104
กระตุก 116
กระถนิพมิ�น 112
กระท้อน 142,143
กระท้อนป่� 142
กระท่อมหมู 154
กระทงิ 6,109
กระทุ่ม 153
กระทุ่มนำ้� 154
กระเทยีม 33
กระเทยีมเถ� -
กระพี้เข�คว�ย 116
กร�ด 122
กรูปุก -
กฤษณ� 133,136,146
กล้วย 9,37,54,59,70,80,161,181,
กล้วยไม้ 7,8,9,12,33,16,111,161,182
183,189,193,194
กลอย 74,161
กว้�ว 161
กว�หน� 2
ก่อ 12,124
ก่อกระดุม -
ก่อขี้หมู 124
กอมขม 141
ก่อหนิ -
กะบกกรัง 122
กะบ�ก 122
กะเบ� 25,117
กะเบ�นำ�้ 117
กะเบ�ใหญ่ 117
กะพง 117
กะพ้อ -
กะลังตังช้�ง 130
กะออก 127
กัดลิ้น 143
กันเกร� 125,177
ก�นพลู 132
ก้�นเหลอืง 153,154,157
ก�แฟ 154
ก้�มปู 2
ก�รเวก 104
ก�ส�มปีก 161
กำ�มะแย -
กำ�ย�น -
กุ๊ก 150
กุหล�บ 2,17,84,111
เกด -
เก็ดดำ� 116
เกยีวโซ้ 154
แกนมอ 150
แก้มข�ว -
โกงก�ง 33,127,131,132,
โกงก�งเข� 148
โกงก�งใบใหญ่ -
โกฐหัวบัว 105
ไกรทอง 141
ขนุน 39,54,130
ขนุนนก 151
ขมัน -
ขมิ้น -
ขมิ้นเครอื 105
ข่อยด่�น 154
ขะเจ�ะ 116
ขันทอง -
ขันทองพย�บ�ท 143
ข่� 33,37,187,189
ข�น�ง 115
ข้�ว 6,39,55,161
ข้�วโพด 37
ข้�วหล�ม 39,165,202
ขงิ 37
ขี้ปุงมดง่�ม -
204 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
205บวบ 55
บอน 161
บอระเพ็ด 106
บัวบก 33
บ�นบุรเีหลอืง 153
บ�หย� 155
บุณฑ� -
บุนน�ค 120
ใบก้นปิด 105,191
ปดขน 118
ปรง 92,96,179
ปรงเข� 96
ปรงญี่ปุ่น 92
ปรงทะเล 92
ปรงเหลี่ยม -
ประดู่ 6,9,32,37,55,115,116
ประดู่บ้�น 107,116
ประดู่ป่� 8,16,116
ประสัก 35,131
ปล�ไหลเผอืก 138,141
ปอ 134
ปอกระเจ� 135,176
ปอแก้ว 135
ปอทะเล 137
ปันเรฮชิ ิ -
ป�ล์มเจ้�เมอืงถล�ง 9
ทุเรยีน -
ทุเรยีนนก -
ทุเรยีนป่� 137
เทยีนกิ่ง 133
เทยีนหยด -
เทยีะ -
ไทร 130
ไทรย้อย 33
ไทรย้อยใบแหลม -
ธรรมบูช� 156
นน 161
นนทร ี 2,155
นมแมว 104
น้อยหน� -
น�คบุตร 120
น�งพญ�เสอืโคร่ง 99,111
น�งแย้มป่� -
น�งเลว 103
นำ�้เต้� 54,55
นำ�้เต้�ญี่ปุ่น 156
นำ�้นมร�ชสหี์ 143
นุ่น 25,135,140
นูดต้น 111
เนยีง -
เนยีงนก 113
เนื้อเหนยีว 144
ปีแซ 95
ปีบ 37,156
เปรยีง 149
เปล้� 143
เปล้�น้อย 143
เปล้�ใหญ่ 143
แปกลม 94,95,96
โปรง 131
ผก�กรอง 161
ผักกะเหรี่ยง 95
ผักก�ด 6,55
ผักเมี่ยง 95
ผ�เสี้ยน 161
ไผ่ 6,161,164
ไผ่เกรยีบ 165
ไผ่ข้�วหล�ม 165
ไผ่คล�น 165
ไผ่โจ้ด 166
ไผ่ซ�ง 166
ไผ่ซ�งคำ� 166
ไผ่ซ�งดอย 166
ไผ่ซ�งหม่น 166
ไผ่ด้�มพร้� 166
ไผ่ตง 166
ไผ่ต�กว�ง 166
ไผ่บง 166
ชะมวง 6,120
ชะลูด 153
ชันภู่ 122
ชัยพฤกษ์ 114
ช� -
ช้�เลอืด -
ช้�งร้อง 135,160
ช้�งแหก 25,140
ชำ�มะเลยีง 144
ชงิชัน 116
ชุมแสงแดง -
ชุมเห็ด 114
ชุมเห้ดเทศ -
เชอรี่ 17
ซ้อ -
ซ้องแมว 161
ซ�ง -
ซ�งจงิ 93
แซะ 116
ดอนย่�ข�ว 154
ดอนย่�แดง 154
แดง 6,113
แดงแสม -
ตรชีว� -
ตองแข็ง -
ต้อยติ่ง 55
ตะโกส้ม 154
ตะขบฝรั่ง 135
ตะคร้อ -
ตะครำ้� 142
ตะเคยีน 122
ตะเคยีนชันต�แมว 122
ตะเคยีนทอง 110,122
ตะเคยีนเผอืก -
ตะเคยีนหนู 132
ตะเคยีนหนิ -
ตะบัน 143
ตะบูน 139,143
ตะบูนดำ� 143
ตะแบก 133
ตะแบกเกรยีบ 133
ตะแบกแดง -
ตะแบกน� 136,146,133
ตังหน 25,120
ต�ลตะโหนด 163
ต�ลปัตรฤ�ษ ี 92
ต๋�ว 163
ต�เสอื 25,142,143
ตำ�แย 130
ตำ�แยช้�ง 130
ตำ�แยตัวเมยี 130
ตำ�ลงึ -
ตำ�เส� 152
ติ้ว 6,120
ติ้วข�ว 109
ตนีจำ�ดง -
ตนีนก 6,161
ตนีเป็ด 153
ตนีเป็ดแดง 153
ตนีเป็ดทะเล -
ตนีเป็ดพรุ -
ตุ้มกว้�ว 153
เต็ง 10,92,122,152,155
เตย 33,167
เตรยีมโสภ� -
แตงกว� 54
แตงโม 55
แต้ว 120
ถ่อน 113
ถั่ว 6,9,46,55,73,106,111,115,189,
191,193,196,198
เถ�ย่�น�ง 105
ท้อ 17,54,111
ทองพันชั่ง 155
ทองอุไร 156
ทะโล้ 120
ทังเก -
ทับทมิ -
206 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
207มะพร้�ว 6,54,163,186
มะพร้�วเต่� 92
มะพลับ 11,151
มะแฟน 138,142
มะไฟ 143
มะม่วง 7,8,25,39,54,149,150,176
มะม่วงป่� 149
มะม่วงหัวแมลงวัน 149
มะมุด -
มะเมื่อย 95,179
มะยง 149
มะยงชดิ 150
มะยม 143
มะรดิไม้ -
มะรุม 37
มะละกอ 39,54
มะหวด 144
มะห�ด 130
มะออจ้� 2
มะฮอกก�น ี 143
มักขี้หนู -
มังคุด 6,119
มันปล� 152
มันฝรั่ง 33,197
มันสำ�ปะหลัง 143
เมี่ยง -
เฟิร์น 4,5,19,25,58,188
มณฑ� -
มณฑ�ดอย -
มอสส์ 25,27,58
มะกลำ่�ต้น 113
มะกอก 54
มะกอกป่� 149
มะกอกเลื่อม 138,142
มะเกลอื 151
มะเกิ้ม -
มะข�ม 32,115
มะข�มป้อม 94,143,145
มะข�มป้อมดง 94,96
มะเขอืเทศ 54,181
มะคะ 115
มะค่� 6,114,115
มะค่�แต้ 115
มะซัก 144
มะซ�ง 151
มะดัน 120
มะเดื่อ 127,130
มะเดื่ออุทุมพร 130
มะต�ด 119
มะตูมเข� -
มะนอแน 2
มะปร�ง 54,150
เมื่อย 95,179
เมื่อยดูก 95,97
โมกมัน 153
โมกหลวง 153
โมงนั่ง 120
ไม้ช้อน 103
ไม้หอม 116,133
ยมป่� 141
ยมหอม 143
ยมหนิ 25,143
ยวน 115
ยวนแหล 115
ยอ 54,153
ยอบ้�น -
ยอป่� 154
ย�ง 8,9,60,121
ย�งน� 55
ย�งโอน 103
ย่�นนมคว�ย -
ย�นัด 2
ย�ยปู่ 144
ยี่เข่ง 133
ยี่โถ 153
ยี่หุบ 103
ยี่หุบน้อย 103
ยี่หุบปร ี -
ไผ่บงดำ� 166
ไผ่บงเลื้อย 165
ไผ่บงหน�ม 166
ไผ่บงใหญ่ 166
ไผ่ป่� 166
ไผ่เป๊�ะ 166
ไผ่โป 165
ไผ่ผ�กมัน 166
ไผ่เพ็ก 166
ไผ่มัน 166
ไผ่เมี่ยงไฟ -
ไผ่รวก 166
ไผ่ร�กดำ� 166
ไผ่ไร่ 166,167
ไผ่ลำ�มะลอก 166
ไผ่เลี้ยง 166
ไผ่ไล่ลอ 166
ไผ่สสีุก 166
ไผ่ไส้ตัน 166
ไผ่หก 166
ไผ่หน�ม 166
ไผ่หลอด 165
ไผ่หอม 166
ไผ่ห�งช้�ง 166
ไผ่เหลอืง 166
ไผ่เฮยีะ 165
ฝรั่ง 2,16,132,
ฝ�ง 9,114
ฝ�ด 132
ฝ�ดข�ว -
ฝิ่น 56
เฝิง 103
พญ�ปล้องทอง 155
พญ�มะข�มป้อม 94
พญ�ไม้ 93
พญ�ไม้ใบสัน้ 93
พนมสวรรค์ 11
พรมคต -
พระเจ้�ห้�พระองค์ 150
พรกิไทย 35
พฤกษ์ 113
พลวง 122
พลับ 151
พลับพลงึ 33
พลู 35
พวงคร�ม 161
พวงเงนิ
พวงชมพู 32,33
พวงประดษิฐ์ 161
พวงม่วง 161
พวงแสด 156
พวมพร้�ว 136,146
พอน� 2
พะยอม 7,60,122
พะยุง 55,116
พะว� 119
พะอง 120
พังก� 131
พังแหร 130
พังแหรใบใหญ่ 130
พันจำ� 122
พันจุล ี 144
พกิุล 147,151
พกิุลเถื่อน 151
พศิวง 135
พุงทะล�ย 55,140,141
พุด 153,154,157
พุดซ้อน 154
พุดฝรั่ง 153
พุทร� 42,54
เพก� 156
แพงพวยฝรั่ง 153
โพทะเล 135
โพอ�ศัย 151
ไพเงนิกำ่� 113
ฟัก 55
ฟักทอง 33,39,54,176
ฟ�นลซิี้ -
208 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
209แสลงใจ 139,152
โสก 115
โสกเข� 115
โสกนำ�้ 115
โสกเหลอืง 115
ไส้กรอกแอฟรกิ� -
หงอนไก่บก 122
หญ้� 2,6,25,27,58,163,164,178,17
9,184,187,189,191,194,195
หน่วยนกงุม -
หน�มแดง 153
หน�มพน 163
หมอร�น 122
หมักมื่อ 111
หม�ก 6,161,163
หม�กเขยีบ 2
หม�กแดง -
หย ี 115
หยที้องบึ้ง 115
หลุมพอ 115
หลุมพอทะเล 115
หลุมพ ี -
หว้� 128,132
หว�ย -
หว�ยกุ้ง 163
หว�ยกุ้งนำ�้พร�ย 163
ส้�น 118,119
ส้�นแคว้ง 118
ส้�นเต่� 118
ส้�นใบเล็ก 119
ส้�นป้�ว 119
ส้�นหลวง 118
ส้�นหิ่ง 118
ส้�นใหญ่ 118
ส�ยหยุด 104
ส�รภ ี 120
ส�รภดีอย 120
ส�ลี่ 55,111
สำ�โรง -
สดิผล 55,140,176
สฟีันคนฑ� 141
สรี�มัน -
สเีสยีดแก่น 112
สเีสยีดเปลอืก 134
สเีสยีดเหนอื 134
สเีสยีดอ้ม 143
เสม็ด 10,132
เสลดพังพอน 155
เสล� 133
เสล�ใบใหญ่ 133
เสล�เปลอืกหน� 133
แสมส�ร 114
หว�ยขม 11,163
หว�ยจ�ก 163
หว�ยตะค้� -
หว�ยเต่�เพร�ะ -
หว�ยโตงโพล่ง 163
หว�ยเถ�ใหญ่ 163
หว�ยนั่ง 163
หว�ยโสมเข� 163
หวดี 142
ห้อมช้�ง 155
แอปเปิ้ลป่� -
หัวค่�ง 103
หัวเต่� 103
หัวหอม 33,89,137
ห�ด 130
หำ�โจร 103
หำ�ช้�ง 103
หริัญญกิ�ร์ 153
เหงอืกปล�หมอ 155,178
เหมอืด 123,126
เหมอืดคน 123,126
เหรยีง 16
เหยีง 110,122
แห้ว 13,14,33,161
องุ่น 33,176
อบเชย 9,39,104,198
ยี่หุบหนู 103
ยูค�ลปิ 17
เยลูตง 153
รกฟ้� 132
รง 6
รสสุคนธ์ 14,32,109,118
ระกำ� 163
ระย่อม 153
รักข�ว -
รักขี้หมู 149
รักทะเล 2
รักหลวง 150
รักใหญ่ 150
รัง -
รังกะแท้ 131
ร�ชดัด -
ร�ชพฤกษ์ 113,114
รำ�เพย 153
รุ่ย 131
ละมุด 150,151
ละมุดสดี� 151
ละหุ่ง 143
ลั่นทม 152,177
ลั่นทมข�ว 153
ลั่นทมแดง 153
ล�น 163
ล�หนัง 2
ลำ�ดวน 104
ลำ�พู 11,35
ลำ�แพน 35
ลำ�มะลอก 166
ลำ�ไย 144,176
ลิ้นจี่ 37
ลูกใต้ใบ 143
ลูบลบี 130
เล็งเก็ง -
เลยีงมัน -
เลี่ยน 142,143
ศรตีรัง 156,158
สตรเบอรี่ 200,201
สนจนี -
สนญี่ปุ่น 95
สนทะเล 44,123,126
สนใบเล็ก 93
สนประดพิัทธ์ 44,123
สนแผง 95
สนสองใบ 94
สนส�มใบ 94,97
สนส�มพันปี 93
สนห�งสงิห์ 95
สนอนิเดยี -
สบ 116
สบู่เลอืด 105
ส้มกบ 153,154
สมพง 117
ส้มพะงุน 120
สมอ 132
สลอด 143
สลักพ�ด 140
สลัดได 21,33
สวอง 161
สองสลงึ 144
สะแกแสง 103
สะด�น 151
สะเด� 139,142,143
สะเด�หนิ 143
สะตอ 112
สะตอื -
สะท้อน 19,116
สะบ้� 25,108,113
สัก 6,156,161,178
สักขี้ไก่ 156,161
สัตบรรณ 153
สับปะรด 2,54,161
ส�เก 54
ส�คู 163
ส�ธร 116
ส�ลี่ 55,111
210 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืชอรพมิ 108
อ้อย 6,37,150
อ้อยช้�ง 150
อะร�ง 115
อังก�บ 155
อ้�ยกลิ้ง -
อนิทนลินำ�้ 136
อนิทนลิบก 133
อนิทนลิ 133
อนิทรชติ 133
อุโลก 153,154
แอปเปิ้ล 55,74,111
212 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
213
INDEX TO BOTANICAL NAMES AND PLANT FAMILIESAbelmoschus manihot (L.) Medik 135
Acacia 83,112
A. catechu (L.f.) Willd. 112
A. leucophloea (Roxb.) Willd. 112
A. tomentosa Willd. 112
Acanthaceae 60,79,155,170,171,172,178
Acanthus ebracteatus Vahl -
Acrotrema 118
A. costatum Jack.. 118
Actinodaphne 99,105
Adenanthera 112,113
A. pavonina L. var. Microsperma (Teijsm. & Binn.)
Nielsen 113
A. pavonina L. var. pavonina 113
Adenium obesum (Forsk,) Roem. & Schult. -
Adinandra 120
Afzelia 113,114
A. xylocarpa (Kurz) Craib -
Agavaceae 88,89
Aglaia pyramidata Hance 142
Agrimona 111
Ailanthus 141,142
A. triphysa (Dennst.) Alston 141
Aizoaceae 86
Albizia 10,112,113
A. lebbeck (L.) Benth. 113
A. odoratissima (L.f.) Benth. 113
A. procera (Roxb.) Benth. 113
Alismataceae 87
Allamanda 80,153
A. cathartica -
Alseodaphne 105
Alstonia 152,153
A. scholaris (L.) R. Br. -
A. spathulata Blume 153
Altingia 116
A. siamensis Noranha 116
Alyxia reinwandtii Blume -
Amaranthaceae 82,86
Amaryllidaceae 88,89
Amentiferae 32,101,123
Anacardiaceae 7,69,70,71,74,144,149,170,171,172,
174,176
Anamirta 105
A. cocculus (L.) Wight & Arn. -
Ancistrocladaceae 75
Angiospermae 65
Angiosperms -
Anisoptera 16,121,122
A. costata Korth. -
Anneslea 75,120
A. fragans Wall. -
Annona squamosa L. 2,103
Annonaceae 67,98,102,103,170,171,172,173,174
Anogeissus 132
Antheroporum 115
Anthocephalus 153,154
Anthocephalus chinensis (Lamk.) A. Rich. ex Walp. 154
Aphanamixis 142
A. cucullata (Roxb.) Pellegr. 143
A. polystachya (Wall.) R.N. Parker -
Apocynaceae 10,11,77,80,147,152,170,171,172,173,
174,175,177
Aquifoliaceae 73,78
Aquilaria 133,136,146
A. crassna Pierre ex Lec. 133
A. hirta Ridl. 133
A. malacensis Lamk. -
A. subintegra Hou -
Araceae 11,87,161,174,195
Arachis 115
Arales 161
Araliaceae 75,170,172
Arcangelisia flava (L.) Merr. 105
Archidendron 107,112,113
A. bubalinum (Jack) Nielsen -
A. jiringa (Jack) Nielsen -
Areca 6,160,162
A. catechu L. -
Arecoideae 162
Arenga 163
Aristolochiaceae 86,174
Aromadendron -
A. elegans Blume -
Artabotrys siamensis Miq. 104
Artocarpus 127,130
A. elasticus Reinw. ex Blume -
A. heterophyllus Lamk. 130
A. lakoocha Roxb. 130
Arundinaria 165,166
A. ciliate A. Camus 166
A. pusilla Cheval. & A. Camus 166
Asclepiadaceae 77,170,173,174,175,177,184,193
Asystasia gangetica (L.) Anders. 155
Azadirachta 142
A. indica A. Juss. -
Baccaurea ramiflora Lour. 143
Balanocarpus 122
B. heimii King 122
Balanophoraceae 81,172
Balsaminaceae 9,11,71,73
Bambusa 165,166,199
214 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
215B. arundinaceae Willd. -
B. blumeana Schult 166
B. burmanica Gamble 166
B. longispiculata Gamble 166
B, multiplex (Lour.) Raeusch. ex J.A. & J.H.
Schult var. multiplex 166
B. nutans Wall. ex Munro 166
B. polymorpha Munro 166
B. vulgaris Schrad. 166
B. tulda Roxb. 166
Bambusoideae 164,199
Barleria cristata L. 155
Barleria luplina Lindl. -
Bauhinia 9,10,13,113,114
B. variegate L. 114
B. wintii Craib -
Beaumontia multiflora Teijsm. & Binn. 153
Begoniaceae 74,172
Beilschmiedia 99,105
B. gammieana King ex Hook.f. -
Berrya ammonilla Roxb. 134
Bignoniaceae 9,78,79,80,155,158,170,171,172,173,
175
Bixaceae 68,174
Boehmeria 130
Bombacaceae 134,170,171,172,173,174
Bombax 8,135,140
B. anceps Pierre 140
B. anceps Pierre var. cambodiense (Pierre)Robyns 140
B. ceiba L. 140
Boraginaceae 78,187
Borassoideae 162
Borassus flabellifer L. 163
Bouea 149,150
B. macrophylla Griff. -
B. oppositifolia (Roxb.) Meisn. -
Bougainvillea 85
Bromeliaceae -
Brucea 141,142
B. javanica (L.) Merr. 141
B. mollis (Wall.) Kurz 141
Bruguiera 131
B. sexangula (Lour.) Poir. -
Buchanania 69,149
B. lanzan Spreng. -
B. reticulate Hance -
Burmanniaceae 89
Burseraceae 71,72,138,141,142,170,172,177
Butomaceae 87
Buxaceae -
Cactaceae 21,75,80,172
Caesalpinia 6,9,113,114
C. sappan L. 114
Caesalpinioideae 6,9,106,112,113
Cajanus 115
Calamus 11,12,162,163,165,166
Calocedrus macrolepis Kurz 95,96
Calophyllum 109,119
C. inophyllum -
C. inophyllum L. -
Camellia 120
C. sinensis Kuntze var. assamica Kitam. -
Campanulaceae 80,81,173,177
Campnosperma coriaceum (Jack) Hall.f. ex Steen. -
Cananga 103
C. latifolia Finet & Gagnep. 103
C. odorata Hook.f. & Thoms. -
Canarium subulatum Guillaumin -
Canavalia 115
Cannaceae 90
Capparaceae 61,67,74,171,174,187
Caprifoliaceae 81,170,171,172
Carallia 127,131
Cardiospermum 73,173
Caricaceae 77
Carissa carandus L. 153
Caryophyllaceae 70,170
Caryota 160,163
Caryotoideae 163
Cassia 15,113,114
C. alata L. 114
C. bakeriana Craib 114
C. fistula L. 114
C. garrettiana Craib 114
C. occidentalis L. 114
C. siamea Lamk. 114
C. timoriensis DC. 114
Castanopsis 5,60,124,125
C. pierrei Hance -
Casuarina equisetifolia J.R. Forster & G. Forster
123,126
C. junghuhniana Miq. 123
Casuarinaceae 81,123,126,170
Catharanthus roseus (L.) G. Don 153
Ceiba 135,140,185
C. pentandra (L.) Gaertn. -
Celastraceae 71,73,144,170,171,172,174,175
Celtis 129
Cephalostachyum 164,165
Cephalostachyum pergracile Munro -
C, virgatum Kurz 165
Cephalotaxaceae 92,94,96
Cephalotaxus griffithii Hook.f. 94
Cerbera odollum Gaertn. -
Ceriops 131
216 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
217C. decandra (Griff.) Ding Hou -
Chamaecyparis 95
Chenopodiaceae 86
Chloranthaceae 83,170,172
Chrysophyllum cainito L. 151
Chukrasia 143
C. tabularis A. Juss. -
Cinchona ledgeriana Moens. 154
C. succirubra Pav. ex Klotzsch 154
Cinnanomum -
Clematis 82,175
Cleome 74
Clerodendrum paniculatum L. 161
C. thomsonae Balf.f. -
C. viscosum Vent -
Clethraceae -
Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau 155
Cocos 162,163
C. nucifera L. -
Cocossoideae -
Coffea arabica L. 154
C. canephora Pierre ex Frohner 154
Combretaceae 76,81,86,128,131,132,170,171,172,174
Commelinaceae 88
Commelinales 161
Compositae 172,173,174,175,179,182,185,187,189,191
Congea tomentosa Roxb. 161
Conifera 58,91,92
Coniferales 91,92
Connaraceae 69,170
Convolvulaceae 79,171
Corchorus -
C. capsularis L. -
Cornaceae 76,172,174
Corypha 162,163
C. lecomtei Becc. -
Coryphoideae -
Cotoneaster 111
Cotylelobium 110,121,122
C. melanoxylon Pierre 122
Crassulaceae 77,171
Cratoxylum 8,109,120,174
C. arborescens Blume 120
C. formosum Dyer 120
C. maingayi Dyer 120
Crescentia cujete L. 156
Crotalaria 115
Croton 10,13,143,145,173
C. oblongifolius Roxb. 143
C. sublyratus Kurz 143
C. tiglium L. -
Cruciferae 6,61,71,74,193,195,197
Crudia 113,114
C. chrysantha (Pierre) K. Schum. -
Cryptocarya 17,105
Cucurbitaceae 76,80,116,171,173,176
Cupressaceae 92,93,94,96
Cupressus 95
Cyathocalyx 103
C. martabanicus Hook.f. & Thoms. 103
Cycadaceae 65,91,96,179
Cycadales 58,91
Cycas circinalis L. -
C. micholitzii dyer var. simplicipinna Smith. -
C. pertinata Griff. -
C. revolute Thunb. 92
C. rumphii Miq. 92
C. siamensis Miq. 92
Cynometra 113,114,115
C. ramiflora L. 115
Cyperaceae 10,11,161,163,167,178
Cyrtostachys 162
C. renda Blume -
Dacrycarpus 93,94
D. imbricatus (Blume) de Laub. var. patulus de Laub. 94
Dacrydium 93
D. elatum (Roxb.) Wall. 93
Daemonorops 162,163
Dalbergia 1156,116
Dalbergia cochinchinensis Pierre -
D. cultrate Craib -
D. oliveri Gamble 116
Datiscaceae 86,117,170,171,172
Dehaasia 105
Dendrocalamus 165,166
D. asper Back. ex K. Heyne 166
D. brandisii Kurz 166
D. giganteus Munro 166
Dendrocalamus hamiltonii Nees & Arn. ex Munro -
D. latiflorus Munro 166
D. longispathus Kurz 166
D. membranaceus Munro 166
D. sericeus Munro 166
D. strictus Nees 166
Dendrocnide 126,130
D. sinuate Chew 130
D. stimulans Chew -
Derris 115
Desmos chinensis Lour. 104
Dialium 113,115
D. cochinchinense Pierre 115
D. platysepalum Bak. 115
Dicotyledonae 65,100
Didymosperma -
218 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
219Dillenia 66,67,68,109,117,118,171,172
D. aurea Smith 118
D. excelsa Martelli 119
Dillenia grandifolia Wall. -
D. indica L. 119
D. obovata (Blume) Hoogl. 118
D. ovata Wall. 119
D. parviflora Griff. 118
D. pentagyna Roxb. 118
D. reticulate King 119
Dilleniaceae 66,67,68,109,117,171,172
Dimocarpus longana Lour. 144
Dinochloa 165
D. scandens 165
Dioscoreaceae 89,161
Diospyros 11,14,147,151
D. kaki L.f. -
D. mollis Griff. -
Diptera 151
Dipterocarpaceae 9,68,72,110,117,121,170,171,172,174
Dipterocarpus 8,9,110,121,122
D. intricatus Dyer 122
D. obtusifolius Teijsm. ex Miq. 122
D. tuberculatus Gaertn.f. -
Docynia 111
D. indica Decne -
Dolichandrone 155,156,158
D. spathacea (L.f.) K. Schum. -
Dolichos 115
Donella 150,151
D. lanceolata (Blume) Aubreville -
Dracontomelon 149
Dracontomelon dao (Blanco) Merr. 150
Droseraceae 67,69,171
Duchesnea 111
Duranta erecta L. 161
Durio 134,135,137,140
D. griffithii (Mast.) Bakh. 140
D.mansoni (Gamble) Bakh. 140
D. zibethinus L. 140
Dyera 152,153
D. costulata (Miq.) Hook.f.-
Ebenaceae 11,77,147,150,151,170,171,172
Ebenales 101,150
Elaeagnaceae 86,172,173
Elaeis 162
Engelhardtia 82
Entada 108,112,113
E. glandulosa Pierre ex Gagnep. 113
E. rheedii Spreng 113
E. spiralis Ridl. 113
Equisetaceae 58
Eranthemum wattii Stapf 155
Ericaceae 69,77,80,173
Eriocaulaceae 11,88
Erythroxylaceae -
Erythroxylum coca L. 141
E. cuncatum Kurz 141
Escalloniaceae 76
Eucalyptus 12,17,86,132
Eugeissona 160,162
Euphorbia 9,10,21,64,81,82,83,85,86,141,143,145,
171,172,173,174
E. hirta L. -
E. pulcherrima Willd. -
Euphorbiaceae 81,82,83,85,86,141,143,145,171,172,
173,174
Eurycoma 138,141,142
E. harmandiana Pierre 141
E. longifolia Jack 141
Fagaceae 82,123,124,125,170,171,172
Fagraea 148,152
F. ceilanica Thurb. -
F. fragrans Roxb. 152
Fernandoa 155,156
F. adenophyllum (Wall. ex G. Don) Steenis -
Ficus 8,127,130
F. benjamina L. 130
F. racemosa 130
Firmiana 140
Flacourtiaceae 84,170,171,172,174
Flagellariaceae 88
Fragaria x ananassa Duchesne 111
Garcinia 119,120
G. atroviridis Griff. 120
G. cowa Roxb. 120
G. hanburyi Hook.f. 120
G. schomburgkiana Pierre 120
Gardenia 14,153,154
G. augusta (L.) Merr. -
G. collinsae Craib -
Garuga pinnata Roxb. 142
Gentianaceae 148,170,171
Gentiales -
Geraniales 101,141,144
Gesneriaceae 60,80,81,172,178
Gigantochloa 165,166,167
G. albociliata Kurz 166
G. apus Kurz 166
G. auriculata Kurz -
G. hasskarliana Back. ex K. Heyne 166
G. ligulata Gamble 166
G. nigrociliata Kurz 166
Ginkgoales 58
Gironniera 129
220 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
221G. nervosa Planch -
Glumiflorae 161,163
Gluta 7,149,150
G. laccifera (Pierre) Ding Hou 150
G. usitata (Wall.) Ding Hou -
Glycine 115
Gmelina 7,16,156,159,161
G. arborea Roxb. -
G. philippensis Cham. -
Gnetaceae 58,65,95,97,179
Gnetales 58,91,95
Gnetum 16,65,95,97
G. cuspidatum Blume -
G. gnemon L. var. gnemon Markgraf 95
G. gnemon L. var. tenerum Markgraf 95
Gnetum macrostachyum Hook.f. 97
Gonystylaceae 68
Goodeniaceae 80,172,188
Gramineae 6,55,87,161,164,187,189,191,199
Grevillea robusta A. Cunn. ex R. Br. 123
Guttiferae 6,67,117,119,170,171,172,173,174
Guttiferales 101,117
Gymnacranthera 104
Gymnospermae 65
Gymnosperms 6,58,91
Haldina 153,154
H. cordifolia (Roxb.) Ridsdale -
Hamamelidaceae 74,75,106,116,170,172,173
Harrisonia 141
H. perforate (Blanco) Merr. 141
Helicia 85,123,126
Heliciopsis 123
H. terminalis Sleumer -
Heritiera 140
Hermandia -
Hermandiaceae -
Hevea 85
Hibiscus 135,137
H. tiliaceus L. -
Holarrhena 152,153
H. antidysenterica Wall. -
Homalium 70
H. grandiflorum Benth. -
H. tomentosum Benth. -
Hopea 110,121,122
H. apiculata Sym. -
H. ferrea Pierre -
H. helferi Brandis 122
H. oblongifolia Dyer 122
H. odorata Roxb. 122
H. recopei Pierre ex Laness. -
Horsfieldia 104
Hydnocarpus 108,117
H. anthelminthicus Pierre ex Laness. 117
Hydrangea 8,83,170
Hydrocharitaceae 89
Hydrophyllaceae 79,171
Hymenodictyon 153,154
H. excelsum Wall. -
Hypericaceae 69,109,119,120
Hypoxidaceae 89
Icacinaceae 73,74
Iguanura 162
Illiciaceae 67
Illicium 67
Illigera 85
Indorouchera 70
Intsia 113,114,115
I. bijuga (Colebr.) O. Kuntze 115
I. palembanica Miq. 115
Iridaceae 89
Isoetaceae 58
Ixonanthes 68
Ixora 14,148,154
I. grandifolia Zoll. & Morton -
Jacaranda mimosifolia D. Don 156
Johanesteysmannia 162
Juglandaceae 82,170,172
Justicia betonica L. 155
Kadsura 67
Kalanchoe 77
Kandelia 131
Kerriodoxa elegans -
Kigelia Africana (Lamk.) Benth. -
Kmeria 103
K. duperreana (Pierre) Dandy -
Knema 16,104
Koompassia 113,115
K. excelsa (Becc.) Taubert 115
K. malaccensis Maingay ex Benth. 115
Korthalsia 162
Labiatae 6,9,60,78,156,170,173,177,178,187
Lagerstroemia 14,17,136,146
L. balance Koehne -
L. calyculata Kurz -
L. floribunda Jack 133
L. indica L. 133
L. loudonii Teijsm. & Binn. 133
L. macrocarpa Wall. 133
L. speciosa Pers 133
L. villosa Wall. 133
Lannea 149
Lannea coromandelica (Houtt.) Merr. -
Lantana camara L. 16
222 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
223Laportea 130
L. bulbifera Wedd. -
L. interrupta Chew 222
Lauraceae 9,84,99,102,104,170,171,172,173,174,198
Lawsonia inermis L. 133
Lecythidaceae 75
Leeaceae -
Leguminosae 60,74,77,83,85,106,111,170,172,173,
174,175,193,196
Lemaceae -
Lentibulariaceae 76
Lepidocaryoideae 162
Lepisanthes fruticosa (Roxb.) Leenh. -
L. rubiginosam (Roxb.) Leenh. -
Licuala 162
L. spinosa Wurmb. -
Liliaceae 88,89
Liliaflorae -
Linaceae 68,70,88,173
Lindera 105
Litchi chinensis Sonn. 144
Lithocarpus 5,15,60,124,125
L. encleisacarpus Barnett -
L. harnandii A. Camus -
Litsea 13,105
Livistona 162,163
L. speciosa Kurz -
Loganiaceae 78,152,170,171,172,173,174,177
Lophopetalum 144
L. duperreanum Pierre 144
L. javanicum (Zoll.) Tucz. -
L. wallichii Kurz 144
Loranthaceae 75,80,83,170,172
Lumnitzera 132
L. racemosa Willd. -
Lycopodiaceae 58
Lythraceae 69,71,131,133,136,146,170,171,172
Madhuca 11,151
M. esculenta Fletcher 151
M. grandiflora Fletcher -
M. pierrei H.J. Lam -
Malus sp. 111
Magnolia 67,98,102,103,170,171,172
M. coco (Lour.) DC. 103
M. craibiana Dandy 103
M. henryi Craib -
Magnoliaceae 10,67,98,102,103,170,171,172
Malpighiaceae 69,70,72,170,174,194
Malvaceae 134,137,170,171,172,173,174,175,176,183,
195
Malvales 101,134
Malvaviscus 135
Mammea 119
M. siamensis Kosterm. 120
Mangifera 7,8,149
M. caloneura Kurz -
M. foetida Lour. -
Mangifera indica L. 7,8,150
M. lagenifera Griff. -
M. sylvatica Roxb. 149
Manglietia 103
M. garrettii Craib -
Manihot esculenta Crantz 143
Manikara 151
M. achras (Mill.) Fosberg -
M. hexandra Dubard -
Mansonia gagei Drumm. 134
Marantaceae 90,174,179
Markhamia 5,155,156
M. stipulate (Wall.) Seem ex K. Schum. var.
stipulate -
Melaleuca leucadendra L. var. minor Duthie -
Melastomataceae 174
Melia 142,143
M. azedarach L. -
Meliaceae 73,139,141,142,170,171,172,174
Meliosma 72
Melocalamus 165,166
M. compactiflorus Benth. 166
Melocanna 164,165
M. humilis Kurz 165
Melodorum fruticosum Lour. 104
Menispermaceae 67,69,102,106,170,171,172,174
Mesua 119
M. ferrea L. 120
Metroxylon 162,163
Metroxylon sagus Rottb. 163
Mezzettia 103
M. leptopoda Oliv. 103
Michelia 103
M. alba DC. -
M. champaca L. -
M. figo (Lour.) Spreng. -
Millettia 115,116
M. atropurpurea Benth. 116
M. leucantha Kurz 116
M. pendula Benth. 116
Millingtonia hortensis L.f.Mimosoideae -
Mimusops elengi L. 147
Mitragyna 153,154
M. brunonis (Wall. ex D. Don) Craib -
Monimiaceae 83,170
Monocotyledonae 65,87,100,161
Moraceae 82,83,86,127,129,130,170,171,172,173
224 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
225Morinda 153,154
M. citrifolia L. -
M. coreia Ham. -
M. elliptica Ridl. 154
Moringaceae 61,170
Muntingia calabura L. 135
Musaceae 9,89,161
Mussaenda erythrophylla Schum. ex Thonn. -
M. phillipica A. Rich. var. aurorae Sulit -
M. sanderiana Roxb. -
Myrialepis 162,163
Myricaceae 82
Myristica 104
Myristicaceae 85,102,170,171,172,173,174
Myrsinaceae 78,171,173
Myrtaceae 10,17,75,76,86,128,131,132,170,171,172,
173
Myrtales 101,131
Najadaceae 87
Nauclea 153,154,157
N. orientalis L. -
Neesia 135,140
N. altissima (Blume) Blume 140
Nelumbo 66
Neolitsea 105
Nepenthaceae 85,173
Nephelium hypoleucum Kurz 144
N. lappaceum L. -
Nerium oleander L. 153
Nipoideae 162
Nyctaginaceae 85,86
Nymphaeaceae 66,74,172
Nymphoides 78
Nypa 162,163
N. fruticans Wurmb. -
Ochnaceae 68,171
Olacaceae 72,76,171
Oleaceae 79,170,173,175
Onagraceae 76,172
Oncosperma 162
Opiliaceae 73,76,85
Orania 162,163
O. sylvicola Moore -
Orchidaceae 8,9,10,60,89,90,111,161,167,193
Orchidales 161
Orobanchaceae 76
Oroxylum indicum (L.) Kurz 156
Oxalidaceae 71,170
Pachyptera hymenaea (DC.) A. Gentry 156
Palaquium 151
P. obovatum (Griff.) Engler -
Palmae 6,9,88,161,162,179
Palmales 161
Pandanaceae 87,167
Papilionoideae 6,9,106,112,115,184
Paradombeta -
Paramichelia -
P. baillonii (Pierre) Hu -
Parashorea 121,122
P. stellata Kurz 122
Parinari 111
P. anamense Hance 111
Parkia 112
P. leiophylla Kurz 112
P. speciosa Hassk. 112
P. sumatrana Miq. 112
P. timoriana (DC.) Merr. 112
Passifloraceae 70,171,176,184
Passiflorales 101,116
Payena 150
P. lucida A. DC. -
Pedaliaceae 79,170
Peltophorum 113,114,115
P. dasyrachis (Miq.) Kurz 115
P. pterocarpum (DC.) Back. ex K. Heyne 115
Pentace 134
P. burmanica Kurz 134
Pentaphragma 81
Pentas lanceolata (Forssk.) Deflers 154
Persea 105
Petrea volubilis L. 161
Phaseolus -
Philydraceae 88
Phlogacanthus curviflorus Nees 155
Phoebe 105
Phoenicoideae -
Phoenix 14,17,162
Pholidocarpus 162
Phyllanthus 14,17,143
P. acidus (L.) Skeels -
P. amarus Schum. & Thonn. 143
P. emblica L. 143
Picrasma 141
P. javanica Blume 141
Pilea 86,130
Pinaceae 65,92,94,97
Pinanga 162
Pinus 65,94,97
Pinus kesiya Royle ex Gord. -
P. merkusii Jungh. & de Vries 94
Piperaceae 82,83
Pittosporaceae 72,74
Planchonella 150,151
P. obovata Pierre -
226 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
227Plantaginaceae 79
Platymitra 103
P. siamensis Craib 103
Plectocomia 163
Plectocomiopsis 162,163
Plumbaginaceae 78,171
Plumeria 80,153,175
P. obtuse L. -
P. rubra L. 153
Podocarpaceae 65,92,93,199
Podocarpus 93
P. motleyi (Parl.) Dum. -
P. neriifolius D. Don 93
P. pilgeri Foxw. 93
P. polystachyus R. Br. 93
P. wallichianus Presl. 94
Poikilospermum 130
P. suaveolens Merr. -
Polyalthia 98,103
P. viridis Craib 163
Polygalaceae 70,71,174
Polygonaceae 73,77,86,171,172
Polyosma 76
Pontederiaceae 88
Portulacaceae 67,70,75,171,172
Potentilla 111
Pouzolzia 130
Premna 14,156,161
P. obtusifolia R. Br. -
P. tomentosa Willd. -
Proteaceae 85,123,126,170,171,172
Proteales 101,122
Protium serratum Engl. 138,142
Prunus 12,85,99,111
P. arborea (Blume) Kalkman 111
P. cerasoides D. Don 111
P. persica (L.) Batsch -
Pseudosasa 165,166
Psilotaceae 58
Psidium guajava L. 132
Pterocarpus 9,11,16,107,115,174
P. indicus Willd. 8,116
P. macrocarpus Kurz 116
Pterocymbium 16,140
Pterospermum 5,16,137,140
P. diversifolium Blume 140
Pterygota 140
Punica granatum L. 133
Pyrostegia venusta (Ker) Miers 156
Pyrus 111
P. pyrifolia (Burm.f.) Nakai -
Quercus 12,60,124,125
Quercus semiserrata Roxb. -
Rafflesia 81
Rafflesiaceae 81
Ranales 100,102
Ranunculaceae 66,82,171,175,182
Rauvolfia serpentine (L.) Benth ex Kurz -
Rauwenhoffia siamensis Scheff. 104
Rhamnaceae 71,73,76,84,171,173,190
Rhapis 162
Rhinacanthus nasutus (L.) Kurz -
Rhizophora 127,131
R. apiculata Chew -
Rhizophoraceae 75,76,127,131,132,170,171,172
Rhododendron 5,12,13,77,173
Rhus succedanea L. 150
Ricinus 86,143
R, communis L. -
Rosa 106,111
Rosaceae 67,69,74,75,84,85,99,106,111,170,171,172
Rosales 4,100,106
Rubiaceae 102,132,148,153,157,170
Rubiales 153
Rubus 99,111
R. alceifolius Poir -
Rutaceae 68,69,71,157,170,173,174
Sabiaceae 72,171
Salacca 160,162,163
S. conferta (Griff.) Burr. -
S. rumphii Wall. -
Salacia 71
Salicaceae 82,175
Sandoricum 142
S. koetjape (Burm.f.) Merr. -
Santalaceae 87,170,172
Sa[indaceae -
Sapindales 101,143
Sapindus rarak DC. 144
Sapotaceae 11,77,78,147,150,170,171,172,173
Saraca 113,114,115
S. declinata (Jack) Miq. 115
S. indica L. 115
S. thaipingensis Cantley ex Prain 115
Saxifragaceae 171,172
Scaphium 140
S. scaphigerum (G. Don) Guib. & Planch. 141
Schima 120
S. wallichii Korth. 120
Schisandraceae 67
Schizostachyum 164,165
S. aciculare Gamble -
S. brachycladum Kurz 165
S. zollingeri Steud. 165
228 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
229Schleichera oleosa (Lour.) Oken 144
Schoutenia hypoleuca Pierre 134
Scrophulariaceae 60,79,170,177,178
Selarginellaceae -
Semecarpus 149
S. cochinchinensis Engl. -
Shorea 7,60,121,122
S. obtuse Wall. 122
S. roxburghii G. Don 122
S. siamensis Miq. -
S. sumatrana Sym. -
Simaroubaceae 69,71,138,141
Sindora 113,114
S. coriacea (Bak.) Prain 115
S. echinocalyx Prain 115
S. siamensis Teysm. ex Miq. -
Smilacaceae 88,161
Solanaceae 79,174
Sophora 115
Sorbus 111
Spathodea campanulata Beauv. -
Spondias 71,149,150
S. pinnata (L.f.) Kurz -
Staphyleaceae 70,170
Stephania japonica (Thunb.) Miers var. discolor
(Blume) Forman 105
S. pierrei Diels 105
Sterculia 83,140,141
S. foetida -
Sterculiaceae 73,84,134,171,172,174,176
Stereospermum 155,156
S. cylindricum Pierre ex G. Don -
Stermonaceae 161
Strychnos 139,152,173,174
S. nux-vomica L. -
Stylidiaceae 81,172
Styracaceae 73,77,151,170,171,172
Styrax 151
S. benzoides Craib 151
S. benzoin Dryander 151
S. betongensis Fletcher 151
Suregada 143
S. multiflorum (A. Juss.) Baill. 143
Swietenia macrophylla King -
Swintonia 149
S. floribunda Griff. -
S. schwenkii (Teijsm. & Binn. -
Symplocaceae 80
Syzygium 5,10,128,132
S. aromatica (L.) Merr. -
S. cumini (L.) Skeels 132
S. jambos (L.) Alsoton 132
S. malacensis (L.) Merr. -
S. samarangense (Blume) Merr. & L.M. Perry
var. samarangense 132
Syzygium sp. -
Tabebuia rosea (Bertol.) DC. 156
Tabermaemontana divaricata (L.) R. Br. ex Roem.
& Schult. -
Taccaceae 89
Talauma -
T. betongensis Craib -
T. candollei Blume -
T. hodgsonii Hook.f. & Thoms. -
Talauma siamensis Dandy -
Talinum 67
Tamarindus 113,114,115
T. indica L. 115
Tecoma stans (L.) H.B.K. 156
Tectona 5,156,161
T. grandis L.f. -
Teinostachyum 165
T. griffithii Munro 165
Temnodaphne -
Terminalia 81,86,128,132
T. calamansanai Rolfe -
Terstroemia -
Tetracera 14,68,109,118
Tetramele -
T. nudiflora R. Br. ex Benn. 117
Theaceae 75,77,117,120,170,171,172
Thespesia populnea (L.) Soland ex Corr. 135
Thevetia peruviana (Pers.) K. Schum. -
Thuja orientalis -
Thymelaeaceae 84
Thyesostachys..-
T. oliveri Gamble 166
T. siamensis Gamble 166
Tiliaceae 134,170,171,172,174,176
Tiliacora triandra Diels 105
Tinospora crispa (L.) Hook.f. & Thoms. 105
T. Toona -
T. ciliatan M. Rorm -
Trachylospermum 162
Trema 129
T. orientalis Blume 130
Trigonobalanus 124,125
T. doichangensis (A. Camus) Forman 124
Triuridaceae 87
Tubiflorae 101,155
Turneraceae 70,173
Typhaceae 87
Ulmaceae 84,129,170,171,174
Ulmus 129,130,174
U. lancifolia Roxb. 130
230 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้
231Umbelliferae 6,55,75,170,172,173,174,195
Uncaria sp. -
Urticaceae 82,86,126,129,130,171,174
Urticales 101,129
Uvaria grandiflora Roxb. -
Vatica 110,121,122
V. diospyroides Sym. 122
V. pauciflora (Korth.) Blume -
V. stapfiana van Slorten -
Verbenaceae 78,155,156,161,170,171,172,173,174,178
Vicia 115
Vigna 115
Violaceae 74,173,174
Vitex 156,159,161
V. canescena Kurz -
V. limonifolia Wall. -
V. peduncularis Wall. ex Schauer -
V. pinnata L. -
V. trifoliate L. -
Wallichia 163
Walsura robusta Roxb. 143
W. villosa Wall. ex Wight & Arn. 143
Wrightia 10,11,13,147,152,153
W. tomentosa Roem. & Schult. -
Xylia 112,113
X. xylocarpa (Roxb.) Taub. Var. kerrii (Craib & Hutch.) -
Nielsen -
Xylocarpus 139,143
X. gangeticus Parkinson 143
X. moluccensis (Lam.) M. Roem. -
Xyridaceae -
Zingiberaceae 90,161,169,173,179,189
Zingiberales 161
Zollingeria dongnaiensis Pierre 144
เพิ่มเติม
232 กรมอุทย�นแห่งช�ติ สัตว์ป่� และพันธุ์พืช
เพิ่มเติม