cba stou 4 april 2015.pptการว เคราะห ต นท...
TRANSCRIPT
การวิเคราะหต์้นทุนและประโยชน์ของโครงการ(Cost-Benefit Analysis: CBA) เรวดี จรงุรตันาพงศ์
• การหาแหล่งพลงังานไฟฟ้า
- โรงไฟฟ้าพลงังานนํ้า (เขื่อน) กบั โรงไฟฟ้าพลงังานนิวเคลียร ์
• การสร้างระบบขนส่งมวลชน
- รถไฟฟ้าความเรว็สงู กบั รถไฟแบบธรรมดา
เราจะใช้เครื่องมือนี้เมื่อใด
เมื่อต้องตดัสินทางเลือกของนโยบายต่างๆ ว่านโยบายใดมี
ความคุ้มค่ามากกว่าทางเลือกอื่น
• Broadman et al. (2006) ระบเุป้าหมายกว้างๆ ของการทาํ CBA ไว้ว่า
- เพื่อช่วยในการตดัสินใจของสงัคม
หรือถ้าพดูให้เฉพาะเจาะจง มีเป้าหมาย
- เป็นการวิเคราะหเ์พื่อจดัสรรทรพัยากรของสงัคมให้มี
ประสิทธิภาพมากขึน้
เป้าหมายของ CBA
CBA V.S. PLA
• Cost-Benefit Analysis (CBA) หรือ Benefit-Cost Analysis เป็น
การวิเคราะหส์าํหรบัหน่วยงานรฐัต่อโครงการ
• การวิเคราะหก์าํไร-ขาดทนุ (Profit-Loss Analysis: PLA) เป็นการ
วิเคราะหส์าํหรบัภาคเอกชนในการลงทุน
• การผลิตรถยนตร์ุ่นใหม่ บริษทัจะคิดว่าจะได้กาํไรเท่าไร และคิดว่า
ต้นทนุการผลิต ได้แก่ แรงงาน วตัถดุิบ พลงังาน อปุกรณ์ลดการ
ปล่อยมลพิษ การขนส่ง เป็นเท่าใด โดยใช้ราคาตลาด
• ความต่างระหว่าง CBA กบั PLA คือ การวิเคราะหป์ระโยชน์และ
ต้นทนุจากมมุมองที่แตกต่างกนั และมลูค่าต้นทนุและประโยชน์
ครอบคลมุแตกต่างกนั
CBA และ PLA
• CBA เป็นมมุมองของภาครฐั มองว่าอะไรคือประโยชน์ และต้นทนุ
ของสงัคม แต่ PLA เป็นมมุมองของผูป้ระกอบการ มองว่าอะไรคือ
ประโยชน์และต้นทนุของบริษทั
• CBA คาํนึงถึงมลูค่าที่ไม่มีราคาในตลาดด้วย เช่น มลูค่าการที่
คณุภาพสิ่งแวดล้อมดีขึน้ แต่ PLA คาํนึงถึงมลูค่าตลาดเท่านัน้
CBA และ Financial Analysis
• การวิเคราะหท์างการเงินเป็นการพิจารณาถึงผลกาํไรของโครงการ
ในแง่ของผูล้งทุน
• การวิเคราะหท์างเศรษฐศาสตร ์เป็นการวิเคราะหถ์ึงความเหมาะสม
ของโครงการของคนในสงัคมทัง้หมด
Cost-Benefit Analysis
• เหตผุลที่ต้องมีการวิเคราะห ์CBA
- ทรพัยากรมีจาํกดั
- แต่ละสถานการณ์ต้องเผชิญกบัสถานการณ์ได้อย่างเสียอย่าง
(Trade off) เสมอ คือ เกิดค่าเสียโอกาสเสมอ
- ในทางเศรษฐศาสตร:์ ต้องการจดัสรรทรพัยากรในทางที่ดีที่สดุ
(the best possible way) นัน่คือ มีประสิทธิภาพสงูสดุ (Efficiency)
การวิเคราะหป์ระโยชน์-ต้นทนุ คือ เครื่องมือที่ช่วยในการตดัสินใจ
ของภาครฐัในการจดัสรรทรพัยากร ซึ่งกค็ือเป็นเครื่องมือพืน้ฐาน
ในการวิเคราะหโ์ครงการของรฐัต่างๆ เช่น การป้องกนันํ้าท่วม การ
สร้างเขื่อน การสร้างโรงเผาขยะ เป็นต้น
CBA และ PLA
กาํไรทางเศรษฐศาสตรต์่อสงัคม
YES NO
กาํไรทาง
การเงินต่อ
นักลงทนุ
YES • เป็นโครงการทีด่ี
• ยอมรบัโครงการ
• เป็นโครงการทีด่ตี่อนกั
ลงทนุ แต่ไมด่ตี่อสงัคม
• ตอ้งมกีารควบคมุโดยใช้
เครือ่งมอืทาง ศศ.
NO • เป็นโครงการทีด่ตี่อสงัคม
แต่ไมด่ตี่อนกัลงทนุ
• พจิารณาใหก้ารชว่ยเหลอื
โดยใชเ้ครือ่งมอืทาง
เศรษฐศาสตร์
• เป็นโครงการทีไ่มด่ ี
• ปฎเิสธโครงการ
Cost-Benefit Analysis
• เงื่อนไขในการประเมินโครงการ
“ในทางทฤษฎี กค็ือ เป็นโครงการหรือนโยบายทีเ่ป็น “public
interest” หรือเป็นโครงการหรือนโยบายทีท่าํให้สวสัดิการของสงัคม (Social welfare) ดีขึ้น”
• ถ้าโครงการหรือนโยบายใดทาํให้เกิด Pareto improvement โครงการหรือนโยบายดงักล่าวจะเป็นโครงการหรือนโยบายที่ดี
• ถ้าโครงการหรือนโยบายใดทาํให้ทกุคนแย่ลง โครงการหรือนโยบายดงักล่าวจะเป็นโครงการหรือนโยบายที่ไม่ดี
ปัญหาคือ นโยบายหรือโครงการส่วนใหญ่ ไม่สามารถ
ทาํให้ทกุคนดีขึน้พร้อมกนัได้
Cost-Benefit Analysis
Potential Pareto Improvement (PPI)
• การจดัสรรทรพัยากรใหม่ที่ทาํให้เกิด Potential Pareto Improvement กต็่อเมื่อผูไ้ด้รบั (winner) สามารถชดเชยให้กบัผูส้ญูเสีย (loser) และทาํให้ผูส้ญูเสียดีขึน้ได้
“A re-allocation of resources in a Potential Pareto Improvement (PPI) if the “winner” could in principle compensate the “loser”, and still be better-off”
• การจดัสรรทรพัยากรใหม่ที่ทาํให้เกิด PPI กต็่อเมื่อประโยชน์ที่ได้รบัต้องมากกว่าต้นทุนที่เกิดขึน้
ขัน้ตอนของ CBA1. การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง (referent group)
2. กาํหนดทางเลือกที่จะดาํเนินการที่เป็นเป็นไปได้
3. กาํหนดผลกระทบ (ทัง้บวกและลบ) ทางกายภาพที่จะเกิดขึน้ของโครงการ
4. ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว (without project)
5. คาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณตลอดช่วงอายโุครงการ
6. แปลงผลกระทบทางกายภาพเป็นมลูค่าตวัเงิน
7. คิดลดต้นทนุและประโยชน์ของโครงการให้มาเป็นมลูค่าปัจจบุนั
8. คาํนวณมลูค่าปัจจบุนัสทุธิ (Net Present Value: NPV)
9. วิเคราะหค์วามอ่อนไหว (Sensitivity analysis)
10. เสนอแนะทางเลือกจากผลของ CBA
ขั้นที่ 1
การกําหนดกลุมอางองิ (Referent group)
ขัน้ที่ 1 การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง
• ใครเป็นกลุ่มคนที่จะอยู่ในการวิเคราะห ์หรือใครเป็นผูม้ีส่วนได้
ส่วนเสียของโครงการ
• เป็นการวิเคราะหร์ะดบัท้องถิ่น หรือระดบัประเทศ หรือระดบั
ภมูิภาค หรือระดบัโลก
- ต้องกาํหนดขอบเขตว่าการวิเคราะหค์รอบคลมุถึงพืน้ที่ใด
(Geographical scoping)
- ใครได้ประโยชน์จากโครงการ และใครเสียประโยชน์จากโครงการ
(Stakeholders scoping)
ขัน้ที่ 1 การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง
• โครงการผนันํ้าจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง
• โครงการแก้ปัญหาหมอกควนัในภาคเหนือ
• โครงการเขื่อนสามผา (Three George Dam) ของจีนที่ส่งผลกระทบ
ต่อปริมาณนํ้าในแม่นํ้าโขง
การกาํหนดขอบเขตทางกายภาพ (Geographical scoping)
ขัน้ที่ 1 การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง
ชมุชน
เดียวชมุชนอืน่
ภายใน
จงัหวดั จงัหวดัอืน่
ภายในประเทศ
ประเทศอืน่
การกาํหนดผูม้ีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder scoping)
ขัน้ที่ 1 การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง
• การกาํหนดขอบเขตทางกายภาพที่ผิดพลาดอาจทาํให้เกิดการ
ประเมินค่าประโยชน์และต้นทนุที่ตํา่เกินความเป็นจริง
• ไม่มีกฎหรือเงื่อนไขง่ายๆ ที่จะบอกว่าเราควรกาํหนดขอบเขตทาง
ภายภาพที่ถกูต้องอย่างไร
• การวิเคราะหท์ี่ดีต้องครอบคลมุถึงผลกระทบสาํคญัทัง้หมดของ
โครงการ โดยไม่พิจารณาตามขอบเขตการปกครอง
ขั้นที่ 2
กําหนดทางเลอืกที่เปนเปนไปได
ขัน้ที่ 2 กาํหนดทางเลือกที่เป็นไปได้
ปัญหา: การกดัเซาะชายฝัง่บริเวณอ่าวไทย
เขื่อนกนัคลื่น (Breakwater) กาํแพงกนัคลื่น (Seawall)สถานการณ์ปัจจบุนั (status quo)
ขัน้ที่ 2 กาํหนดทางเลือกที่เป็นไปได้
ปัญหา: การจดัการขยะมลูฝอย
การฝังกลบ เตาเผาขยะ
สถานการณ์ปัจจบุนั (status quo)
• บางครัง้คงเป็นไปได้ยากที่จะระบทุางเลือกที่เป็นไปได้ทัง้หมด
ขัน้ที่ 2 กาํหนดทางเลือกที่เป็นไปได้
ความยาก
ในทางปฏิบตัิ
• ปกติจะวิเคราะห ์CBA ทีละโครงการ แล้วดวู่าทางเลือกดงักล่าว
ก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพแบบ พาเรโต (Pareto Improvement)
PI เป็นสภาพที่เกิดขึ้นแลว้ไมส่ามารถที่จะจดัสรรทรพัยากรใหมอ่ีกครัง้ และ
จะทําใหค้นอยา่งนอ้ย 1 คนดีขึ้น แต่ไมท่ําใหใ้ครในสงัคมแยล่ง
• ทางเลือกของโครงการที่จะวิเคราะหก์ค็วรมีจาํนวนไม่มาก
• กาํหนดอายโุครงการที่จะใช้วิเคราะห์
ขั้นที่ 3กําหนดผลกระทบ (ทั้งบวกและลบ) ทาง
กายภาพทีจ่ะเกิดขึ้นของโครงการ
อาจเรยีกไดว้า่เป็นขัน้ตอนทีส่ําคญัทีส่ดุและเป็นขัน้ตอนทีจ่ะทาํให้เกดิข้อผดิพลาดไดม้ากทีส่ดุ
• ระบผุลกระทบทางกายภาพทัง้หมด ซึ่งรวมถึงปัจจยัการผลิต
(แรงงาน ทนุ ฯลฯ) และผลผลิตที่ได้ของโครงการ
ขัน้ที่ 3 กาํหนดผลกระทบทางกายภาพที่จะเกิดขึน้
ความยาก
• เราไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบบางอย่าง
• ความรู้ทางวิทยาศาสตรใ์นบางเรื่องยงัไม่มีความสมบรูณ์ และ
บอ่ยครัง้ที่ขดัแย้งกนัเอง
โครงการสร้างถนนเส้นใหม่ที่จะก่อให้เกิดอบุตัิเหตลุดลง
ขัน้ที่ 3 กาํหนดผลกระทบทางกายภาพที่จะเกิดขึน้
ประเภทตนทนุ 0 1 2 3 4 5 6 7 81. ตนทุนกอสราง 100 100 50 50 50 - - - -2. ตนทุนดูแลรักษา - - 10 10 10 10 10 10 103. ตนทุนที่ทําให จราจรติดขัดขณะ กอสราง
10 8 8 5 5 - - - -
4. คาเสียโอกาสที่ดิน ที่นํามาสรางถนน
2 2 2 2 2 2 2 2 2
โครงการสร้างถนนเส้นใหม่ที่จะก่อให้เกิดอบุตัิเหตลุดลง
ขัน้ที่ 3 กาํหนดผลกระทบทางกายภาพที่จะเกิดขึน้
ประเภทประโยชน 0 1 2 3 4 5 6 7 81. จํานวนผูเสียชีวิตที่
ลดลง- - - - - 20 20 20 20
2. ตนทุนคารักษา พยาบาลที่ลดลง
- - - - - 5 5 5 5
3. เวลาการเดินทางที่ ประหยัดได
- - - - - 8 8 8 8
4. คาใชจายบํารุง รักษารถยนตที่ ประหยัดได
- - - - - 2 2 2 2
5. มลพิษลดลงจากที่ รถติดนอยลง
- - - - - 5 5 5 5
ขั้นที่ 4ระบุสิ่งทีจ่ะเกิดขึ้นถาไมมโีครงการดังกลาว
(without project)
ขัน้ที่ 4 ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว
2540 2545 2550
โครงการควบคมุมลพิษ
ก่อนมีโครงการ:
ปริมาณมลพิษทัง้หมด = 100 ตนั
ประเมินโครงการ
หลงัมีโครงการ:
ปริมาณมลพิษทัง้หมด = 150 ตนั
ปริมาณมลพิษทัง้ถ้าไม่มีโครงการ
อาจเป็น 200 ตนั
กรณีที่ไมมีโครงการ ก็คือ กรณีสถานการณปจจบุนั (Status quo)
• เป้าหมาย: ต้องการเพิ่มจาํนวนนักท่องเที่ยวในเกาะเสมด็
- คาดว่าการสร้างท่าเทียบเรือจะทาํให้จาํนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึน้
• ท่าเทียบเรือไม้ที่มีอยู่ไม่แขง็แรง อาจก่อให้เกิดอนัตรายได้
ขัน้ที่ 4 ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว
โครงการสร้างท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว
• รายได้ของจงัหวดัไม่เพิ่มขึน้
• มลพิษทางเสียงยงัอยู่ในระดบัเท่าเดิม
• มลพิษทางอากาศยงัอยู่ในระดบัเท่าเดิม
• คณุภาพนํ้าทะเลยงัอยู่ในระดบัเท่าเดิม
• มลูค่าความสวยงามทางธรรมชาติกย็งัอยู่ในระดบัเดิม
• ระบบเศรษฐกิจและสงัคมกย็งัอยู่ในระดบัเดิม
ขัน้ที่ 4 ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว
กรณีไม่มีโครงการท่าเทียบเรือใหม่
ขัน้ที่ 4 ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว
จาํนวนนักท่องเทีย่ว
2540 2541 2542 2543 2544 2545 2546 2547
จาํนวนนักท่องเทีย่วใน
อนาคต
ปีทีส่ร้างท่าเทียบเรือเสรจ็
2500 จาํนวน
นักท่องเทีย่ว
ในปัจจบุนัจาํนวนนักท่องเทีย่ว
ในปัจจบุนั
ผลกระทบจาก
โครงการ
2548
ถกูต้องหรือไม่
ขัน้ที่ 4 ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว
2540 2541 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548
ทีถ่กูต้องคือ ....
จาํนวนนักท่องเทีย่ว ปีทีส่ร้างท่าเทียบเรือเสรจ็จาํนวนนักท่องเทีย่วในอนาคต
เมือ่มีโครงการ
ผลกระทบจาก
โครงการ
2500
จาํนวนนักท่องเทีย่ว
เมือ่ไม่มีโครงการ
จาํนวน
นักท่องเทีย่ว
ในปัจจบุนัไม่ใช่จาํนวนนักท่องเทีย่ว
ในกรณีไม่มีโครงการ
ขั้นที่ 5คาดการณผลกระทบเชิงปรมิาณ
ตลอดชวงอายโุครงการ
ขัน้ที่ 5 คาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณ
โครงการสร้างถนนเลียบเมือง
ประเดน็ การคาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณ
เส้นทางเลียบเมือง เป็นระยะทางเท่าใด มีพืน้ที่เท่าใด
การเวนคืนที่ดิน จาํนวนครวัเรือนที่ต้องอพยพ
การจราจร ลดความหนาแน่นจาํนวนรถยนตใ์นเมืองได้เท่าใด
พลงังานที่ประหยดัได้ ปริมาณพลงังานที่ประหยดัได้จากการลดลงของ
ความหนาแน่นของรถยนตใ์นเมือง
มลพิษทางอากาศที่ลดลง ปริมาณมลพิษทางอากาศที่จากการลดลงของ
ความหนาแน่นของรถยนตใ์นเมือง
ขัน้ที่ 5 คาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณ
ความยาก
ในการคาดการณ์มกัต้องมี
การกาํหนดข้อสมมติเสมอ
และมกัต้องคาดการณ์จาก
มลูค่าของกรณีอื่น
ในขัน้ตอนนี้ไม่ใช่งานของ
นักเศรษฐศาสตร์
โชคดีสุด คือ ขอมูลที่มีอยูไมสมบูรณ
ถาโชครายสุด คือ ไมมีขอมูลใหวิเคราะหเลย
ขัน้ตอนของ CBA
1. การกาํหนดกลุ่มอ้างอิง2. กาํหนดทางเลือกที่จะดาํเนินการที่เป็นเป็นไปได้3. กาํหนดผลกระทบทางกายภาพที่จะเกิดขึน้4. ระบสุิ่งที่จะเกิดขึน้ถ้าไม่มีโครงการดงักล่าว5. คาดการณ์ผลกระทบเชิงปริมาณตลอดช่วงอายโุครงการ
6. แปลงผลกระทบทางกายภาพเป็นมลูค่าตวัเงิน7. คิดลดต้นทนุและประโยชน์ของโครงการให้เป็นมลูค่าปัจจบุนั8. คาํนวณมลูค่าปัจจบุนัสทุธิ (Net Present Value: NPV)9. วิเคราะหค์วามอ่อนไหว (Sensitivity analysis)10. เสนอแนะทางเลือกจากผลของ CBA
ส่วนที่ไม่ใช่งานของนักเศรษฐศาสตร์
งานของนักเศรษฐศาสตร์
ต้องใช้ทมีงานทีม่คีวามรู้เป็นสหวทิยาการ
ขั้นที่ 6แปลงผลกระทบทางกายภาพเปนมลูคาเงนิ
ขัน้ที่ 6 แปลงผลกระทบทางกายภาพเป็นมลูค่าเงิน
ประเภทของเครื่องมือในการแปลงผลกระทบเป็นมลูค่าเงิน
1. วิธีการใช้มลูค่าตลาดที่เกิดจากการใช้โดยตรง
2. วิธีการวดัความพึงพอใจเปิดเผย (Revealed Preference Method) เช่น
- การวดัต้นทนุพฤติกรรมการหลีกเลี่ยง (Averting Behavior Method)
- การวดัต้นทนุการทดแทน (Replacement Cost Method)
- การวดัต้นทนุการเดินทาง (Travel Cost Method)
3. วิธีการประเมินทางตรง (Stated Preference Method) เช่น
- วิธีการประเมินค่าโดยการสมัภาษณ์ประชาชนโดยตรง (Contingent Valuation Method: CVM)
ขั้นที่ 7คิดลดตนทุนและประโยชนของโครงการ
ใหเปนมลูคาปจจบุัน
ขัน้ที่ 7 คิดลดต้นทนุ/ประโยชน์ให้เป็นมลูค่าปัจจบุนั
มลูค่าเงินในเวลาที่ต่างกนัมีมลูค่าไม่เท่ากนั
100 110 121
ปีที่ 0 ปีที่ 1 ปีที่ 2
คิดลดเพื่อหามลูค่าปัจจบุนั
สมมติให้การลงทนุมีผลตอบแทนร้อยละ 10 ต่อปี
ขัน้ที่ 7 คิดลดต้นทนุ/ประโยชน์ให้เป็นมลูค่าปัจจบุนั
การคิดลดเป็นเทคนิคที่ปรบัค่าต้นทุนและประโยชน์ในช่วงเวลาที่
ต่างกนัให้มาอยู่ในหน่วยวดัที่สามารถเปรียบเทียบกนัได้
ต้นทุน
ประโยชน์
C1 C2 C3 C4 C5 C6 C7 C8
0 0 0 B4 B5 B6 B7 B8
ค่าใช้จ่ายในการลงทุน ค่าใช้จ่ายในการดาํเนินการมลูค่าปัจจบุนั
ของต้นทนุ
มลูค่าปัจจบุนั
ของประโยชน์
ความหมายของอตัราคิดลด (Discount rate) มีอยู่ 2 แนวคิด คือ
1) อตัราชดเชยการบริโภคต่างเวลาของสงัคม (Social rate of time preference: SRTP) คือ อตัราเปรียบเทียบความพอใจในการบริโภคของสงัคมในอนาคตกบัการบริโภคในปัจจบุนั
2) อตัราค่าเสียโอกาสของสงัคม (Social opportunity cost rate: SOCR) หมายถึง ต้นทุนค่าเสียโอกาสของสงัคมในการใช้ทรพัยากรเพื่อโครงการนัน้ๆ
ขัน้ที่ 7 คิดลดต้นทนุ/ประโยชน์ให้เป็นมลูค่าปัจจบุนั
อตัราคิดลด: อตัราชดเชยการบริโภคต่างเวลาของสงัคม
• สงัคมหนึ่งมีความพอใจ U1 ในการบริโภคสินค้าและบริการมลูค่า 100 บาทในวนันี้
• ถ้าให้สงัคมเลื่อนการบริโภคออกไปอีก 1 ปี ปริมาณสินค้าและบริการที่จะให้สงัคมได้รบัความพอใจ U1 ต้อง > 100 บาท
• สมมติว่าเป็น 110 บาทถึงจะได้ระดบัความพอใจ U1 เท่าเดิม
• เงิน 10 บาทเป็นค่าชดเชยให้สงัคมเลื่อนการบริโภคออกไป 1 ปี
• เงิน 10 บาทนี้เป็นค่าชดเชยให้กบัการรอคอย ไม่ใช่เงินเฟ้อ
• มลูค่าดงักล่าวต่างกนัอยู่รอ้ยละ 10 ดงันัน้อตัราคิดลดของสงัคมจึงเท่ากบัรอ้ยละ 10
อตัราคิดลด: ค่าเสียโอกาสของสงัคม
• แนวคิดนี้มีความคิดพืน้ฐานว่า ทรพัยากรมีจาํกดั ไม่เพียงพอกบัความต้องการของคนในสงัคม
• ดงันัน้ การนําทรพัยากรส่วนหนึ่งมาใช้จึงเกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสขึน้กบัสงัคม
• ถ้าไม่ทาํโครงการนี้กส็ามารถนําทรพัยากรดงักล่าวไปทาํอีกโครงการหนึ่ง
• อตัราค่าเสียโอกาสของสงัคมจึงควรเท่ากบัอตัราผลตอบแทนจากการลงทุนส่วนเพิ่ม (marginal project) ของโครงการ
วิธีกาํหนดอตัราคิดลดของสงัคมในทางปฏิบตัิ
1) อตัราชดเชยของการบริโภคต่างเวลาของสงัคม (SRTP)
• อตัราที่นิยมใช้คือ อตัราดอกเบีย้พนัธบตัรรฐับาลระยะยาว
• การที่คนในสงัคมกลุ่มหนึ่งยอมถือพนัธบตัรฯ ทัง้ๆ ที่ให้ผลตอบแทนตํา่ แสดงว่า
SRTP ของคนกลุ่มนี้ ≤ อตัราผลตอบแทนพนัธบตัรรฐับาลSRTP ของคนกลุ่มนี้ ≤ อตัราผลตอบแทนพนัธบตัรรฐับาล
2) อตัราค่าเสียโอกาสของสงัคม (SOCR)
• อตัราที่นิยมใช้คือ อตัราผลตอบแทนของหน่วยลงทุนสดุท้ายในภาคเอกชนก่อนหกัภาษี หรืออตัราดอกเบีย้เงินกู้ตํา่สดุ (ลกูค้าชัน้ดีที่มีความเสี่ยงตํา่) ที่หกัเงินเฟ้อแล้ว
อตัราคิดลดควรเป็นเท่าใด
• อตัราคิดลดไม่ใช่อตัราดอกเบีย้ที่เป็นตวัเงิน (nominal interest rate)
• โครงการรฐัควรใช้อตัราคิดลดที่เท่ากนั เพื่อเปรียบเทียบกนัได้
• งานศึกษาที่เป็นโครงการของรฐัใช้อตัราคิดลดระหว่าง 3% - 8 %
ขัน้ที่ 7 คิดลดต้นทนุ/ประโยชน์ให้เป็นมลูค่าปัจจบุนั
อตัราคิดลด
(r)
ปี (ล้านบาท)
0 1 2 3 4
3% 100.0 97.1 94.3 91.5 88.8
5% 100.0 95.2 90.7 86.4 82.3
8% 100.0 92.6 85.7 79.4 73.5
10% 100.0 90.9 82.6 75.1 68.3
ขั้นที่ 8คํานวณมลูคาปจจบุันสุทธ ิ
(Net Present Value: NPV)
ขัน้ที่ 8 คาํนวณมลูค่าปัจจบุนัสทุธิ
• ทาํไมต้องคิดลดมลูค่า NPV?
• เราจะเปรียบเทียบต้นทุนบาํบดัของการลงทุนในปีแรก (ปีที่ 0) กบัต้นทนุการบาํรงุรกัษาในระยะยาวได้อย่างไร?
• ปัญหาโลกร้อน ในการลด CO2 ประโยชน์ที่เกิดจากการลดไม่ได้เกิดภายใน 1-2 ปี แต่เกิดขึน้ในระยะยาว
• สมมติมีโครงการ 2 โครงการ โครงการแรกมีประโยชน์สทุธิสงูแต่ให้ผลในอีกหลายปีข้างหน้า โครงการสองให้ประโยชน์สทุธิน้อย แต่ให้ผลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเทียบ 2 โครงการนี้อย่างไร
ด้วยการใช้อตัราคิดลด (Discount rate)ด้วยการใช้อตัราคิดลด (Discount rate)
มลูค่าปัจจบุนัสทุธิ
มลูค่าปัจจบุนัสทุธิ = มลูค่าปัจจบุนัของประโยชน์สทุธิ - มลูค่าปัจจบุนัของต้นทุนสทุธิ
=
=
ขัน้ที่ 8 คาํนวณมลูค่าปัจจบุนัสทุธิ
n
t
n
tt
tt
t
rC
rB
0 0 )1()1(
n
tttt
rCB
0 )1()(
หลกัการตดัสินใจ เลือกโครงการที่ NPV เป็นบวก หรือ
เลือกโครงการที่มี NPV สงูที่สดุ
Cost-Benefit Analysis: หลกัเกณฑใ์นการเลือกโครงการ
1) มลูค่าประโยชน์สทุธิ (Net Present Value: NPV) ถ้า NPV > 0 ยอมรบัโครงการ และถ้า NPV < 0 ปฎิเสธโครงการ
2) อตัราผลตอบแทนภายใน (Internal rate of return: IRR)
คือ อตัราคิดลดที่ทาํให้
NPV
IRR =
NPVถ้า IRR > r เป็นโครงการที่ดี
ถ้า IRR < r เป็นโครงการไม่ดี
r = ค่าเสียโอกาสของทรพัยากร
ที่นํามาใช้ในโครงการ
Cost-Benefit Analysis: ปัญหาในการใช้ IRR
ปัญหาที ่1: ความแตกต่างของ IRR ของ 2 โครงการต่างกนั
เมือ่ discount rate เปลีย่นไป ควรเลอืกโครงการ A หรอื B?
ปัญหาที ่1: ความแตกต่างของ IRR ของ 2 โครงการต่างกนั
เมือ่ discount rate เปลีย่นไป ควรเลอืกโครงการ A หรอื B?
NPV
Discount rate
NPVBNPVA
IRRAIRRBIRR0
• IRR > IRR0 เลือกโครงการ A : NPVA> NPVB
• IRR < IRR0 เลือกโครงการ B : NPVB> NPVA
• แล้วจะเลือกโครงการใด?
• IRR > IRR0 เลือกโครงการ A : NPVA> NPVB
• IRR < IRR0 เลือกโครงการ B : NPVB> NPVA
• แล้วจะเลือกโครงการใด?
Cost-Benefit Analysis: ปัญหาในการใช้ IRR
ปัญหาที่ 2: เมื่อ IRR มีค่ามากกว่า 1 ค่า ควรใช้ค่าใด?ปัญหาที่ 2: เมื่อ IRR มีค่ามากกว่า 1 ค่า ควรใช้ค่าใด?
0 1 2 3 T
NB0 NB1 NB2 NB3 … NBT
- - + + … -
IRR1IRR2
NPV
Discount rate (r)
โครงการที่ดี: IRR > r โครงการที่ไม่ดี: IRR < r
ตอบไม่ได้: IRR1 < r < IRR2
rr
r
Cost-Benefit Analysis: การใช้ B/C ratio
B/C ratio =
ถ้า B/C > 1 เป็นโครงการที่ดี
ถ้า B/C < 1 ปฏิเสธโครงการ
โครงการ Benefit Cost B/C NPV
โครงการ A 100 50 2 50
โครงการ B 200 120 1.67 80
• ถ้าใช้ B/C ratio เลือกโครงการ A แต่โครงการ B ให้ NPV มากกว่า
• ควรจะเลือกโครงการที่ให้ประโยชน์กบัสงัคมสงูกว่า คือ โครงการ B
• ถ้าใช้ B/C ratio เลือกโครงการ A แต่โครงการ B ให้ NPV มากกว่า
• ควรจะเลือกโครงการที่ให้ประโยชน์กบัสงัคมสงูกว่า คือ โครงการ B
ขั้นที่ 9วิเคราะหความออนไหว (Sensitivity analysis)
หลกัการ
• เพื่อทดสอบความอ่อนไหวของผลการศึกษาเมื่อค่าของตวัแปรที่ใช้ในการวิเคราะหเ์ปลี่ยนไป
• ใช้เมื่อกรณีเราไม่แน่ใจว่าข้อมลูที่มีอยู่มีความแม่นยาํเพียงใด
• เช่น ทดสอบด้วยการแทนค่ากรณีดีที่สดุ (Best case scenario) หรือกรณีเลวร้ายสดุ (Worst case scenario)
ขัน้ที่ 9 วิเคราะหค์วามอ่อนไหว
ตวัอย่างโครงการสร้างถนนเลียบเมือง
• ต้องคาดการณ์ปริมาณรถยนตท์ี่จะใช้ถนนเส้นนี้ ต้องมีข้อสมมติว่าจะมีปริมาณรถยนตเ์ท่าใด และเพิ่มเท่าใดในแต่ละปี เช่น ปีแรกเพิ่ม 10% ปีที่ 2 เพิ่ม 15% เป็นต้น
• ต้องคาดการณ์ประโยชน์จากการที่มีจาํนวนอบุตัิเหตลุดลง เพราะสามารถบรรเทาความหนาแน่นของถนนสายหลกั ว่าจะลดจาํนวนอบุตัิเหตไุด้เท่าใดในแต่ละปี
• เราสามารถเปลี่ยนข้อสมมตินี้เพื่อทดสอบว่าผลของ CBA มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
ข ัน้ที่ 9 วิเคราะหค์วามอ่อนไหว
การเลือกใช้อตัราคิดลด (Discount rate)
ขัน้ที่ 9 วิเคราะหค์วามอ่อนไหว
• การใช้อตัราคิดลดที่แตกต่างกนัมีผลต่อมลูค่าในปัจจบุนั (Present values)
อตัราคิดลด
(r)
ปี (ล้านบาท)
0 1 2 3 4
3% 100.0 97.1 94.3 91.5 88.8
5% 100.0 95.2 90.7 86.4 82.3
8% 100.0 92.6 85.7 79.4 73.5
10% 100.0 90.9 82.6 75.1 68.3
ขั้นที่ 10เสนอแนะทางเลอืกจากผลของ CBA
ส่วนแรก
• นําเสนอผลการวิเคราะหว์่าโครงการดงักล่าวดี (NPV > 0) หรือไม่ดี(NPV < 0)
ขัน้ที่ 10 เสนอแนะทางเลือกจากผลของ CBA
ส่วนที่ 2
• อภิปรายถึงประเดน็ที่อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอน (uncertainty) ของผลการศึกษา ซึ่งอาจมาจากการขาดข้อมลูบางส่วน
• อภิปรายว่าการวิเคราะหท์างเศรษฐศาสตรไ์ม่ได้ครอบคลมุผลกระทบทกุด้าน แต่ในการตดัสินใจเชิงนโยบายต้องนําผลกระทบเหล่านัน้มาพิจารณาด้วย
• ประเดน็ความเป็นธรรม: ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์
การวเิคราะหตนทุนต่าํสดุ(Cost-Effectiveness Analysis: CEA)
• การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ (CEA) เป็นทางเลือกในการวิเคราะหก์รณีที่
ทาํ CBA ไม่ได้
• ข้อจาํกดัที่ทาํให้ใช้ CBA ไม่ได้ ได้แก่
• 1. ประโยชน์ของโครงการที่สาํคญับางอย่างไม่สามารถตีออกมาเป็น
มลูค่าได้ เช่น โครงการด้านสขุภาพที่สามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่
นักวิจยัไม่อยากจะตีค่าชีวิตคน เป็นต้น
2. การใช้ตวัชี้วดัประสิทธิภาพ (Effectiveness indicator) สามารถเป็น
ตวัแทนประโยชน์ต่อสงัคมที่เกิดขึน้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีค่า
ประโยชน์บางอย่างที่ทาํได้ยาก
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
• CEA เป็นการวดัต้นทนุของทางเลือกต่อประสิทธิภาพ (Effectiveness)
ของทางเลือกนัน้ที่อยู่ในรปูตวัชี้วดัที่เป็นกายภาพ (Physical indicator)
• ต้นทนุวคัซีนโรคอีโบลาต่อคนที่ได้รบัวคัซีน 1 คน
ต้นทนุอนุรกัษ์แหล่งที่อยู่อาศยัของสตัวต์่อการอยู่รอดของช้างป่า 1 ตวั
ต้นทนุในการกาํจดักา๊ซเรือนกระจกต่อ CO2 ที่ลดลง 1 ตนัคารบ์อน
เมื่อ = Cost-effectiveness ratio
= ต้นทนุของทางเลือก i
= ตวัชี้วดัประสิทธิภาพของทางเลือก i
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
• CE ratio คือต้นทนุเฉลี่ยต่อหน่วยประสิทธิภาพของทางเลือกนัน้
• ทางเลือกที่เหมาะสมที่สดุ คือ ทางเลือกที่มีต้นทุนต่อหน่วย
ประสิทธิภาพตํา่สดุ
• ข้อเสนอแนะในการดาํเนินโครงการกค็วรจะเรียงจากโครงการที่มี
CE ratio ตํา่สดุไปหาโครงการที่มี CE ratio สงูสดุ
• ส่วนใหญ่ต้นทนุและตวัชี้วดัประสิทธิภาพจะมีค่าเป็นบวก
• ในบางกรณีที่ทางเลือกใหม่ก่อให้เกิดการประหยดัต้นทุนทาํให้ต้นทุน
ของสถานการณ์ปัจจบุนั (status quo) ลดลง
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
• เช่น การออกกฎให้ใส่หมวกกนัน๊อคทาํให้ต้นทุนอบุตัิเหตลุดลง (ทาํให้คนเสียชีวิตลดลง) ต้นทนุของรฐัลดลง (ประหยดังบประมาณที่ใช้อดุหนุนโรงพยาบาล) สถานการณ์เช่นนี้ CE ratio กจ็ะติดลบ
• สถานการณ์ที่ CE ratio มีค่าเป็นลบกค็วรเรียบลาํดบัโครงการจากที่ติดลบน้อยที่สดุไปหาโครงการที่ติดลบมากที่สดุ
• การคาํนวณต้นทนุควรจะคาํนวณต้นทุนของสงัคม
• เช่น การวิเคราะหท์างเลือกในการรกัษาโรค ต้นทนุจะประกอบด้วย ต้นทนุค่ารกัษาพยาบาล (ค่ายา ค่าบคุลากรทางการแพทย ์ค่าเครื่องมืออปุกรณ์ทางการแพทย ์ฯลฯ)
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
• เช่น ทางเลือกในการรกัษาที่ 1 อาจมีต้นทนุค่ายาแพงกว่าแต่ลดเวลาที่แพทยจ์ะไปดแูล
• ทางเลือกในการรกัษาที่ 2 เวลาที่แพทยจ์ะไปดแูลมากกว่าทางเลือกที่ 1 แต่ค่ายาถกูกว่า
• ทางเลือกที่ 1 มีต้นทนุค่ายาสงูกว่าทางเลือกที่ 2 แต่ทางเลือกที่ 2 มีต้นทนุค่าเสียโอกาสของแพทยส์งูกว่าทางเลือกที่ 1
• ลกัษณะเหล่านี้มีผลต่อการคาํนวณต้นทุนในแต่ละทางเลือก
• แม้ว่าเราควรรวมต้นทนุทางสงัคมทัง้หมด (รวมต้นทนุค่าเสียโอกาส) แต่ถ้ามีต้นทนุบางอย่างที่มีค่าเท่ากนัในทุกทางเลือก เราไม่จาํเป็นต้องรวมต้นทนุดงักล่าว เพราะไม่มีผลต่อการจดัอนัดบัทางเลือกต่างๆ
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
• สมมติว่าแหล่งนํ้าที่ผลิตนํ้าประปาเกิดปนเปื้อนสารเคมี และต้องเปลี่ยนไปหาแหล่งนํ้าใหม่ มีทางเลือกคือ
1) ขดุหานํ้าบาดาลแหล่งใหม่
2) หาทางเชื่อมต่อแหล่งนํ้าจากจงัหวดัใกล้เคียง
3) ขดุอ่างเกบ็นํ้าแหล่งใหม่
• ใช้ CEA ในการตอบคาํถามว่า “ทางเลือกใดมีต้นทนุตํา่สดุ” หรืออาจพดูว่าเราจะคาํนวณหา “ต้นทนุการหาแหล่งนํ้า ต่อนํ้า 1 ลิตร”
การวิเคราะหต์้นทนุตํา่สดุ
ตนทุนและตัวชี้วัดประสิทธภิาพ
ทางเลือกA B C
ตนทุน (ลานบาท) 10 10 10ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (จํานวนผูรอดชีวิต: คน)
5 10 15
CE ratio (ตนทุนตอราย) 2 ลานบาท 1 ลานบาท 0.67 ลานบาท
กรณีมีงบประมาณจาํกดั (ตนทนุแตละทางเลอืกเทากนั)
กรณีมีผลลพัธทีไ่ดของแตละทางเลอืกเทากนัหมด (ตัวชี้วดัประสิทธภิาพเทากนัทุกทางเลอืก)
ตนทุนและตัวชี้วัดประสิทธภิาพ
ทางเลือกA B C
ตนทุน (ลานบาท) 5 10 15ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (จํานวนผูรอดชีวิต: คน)
10 10 10
CE ratio (ตนทุนตอราย) 0.5 ลานบาท 1 ลานบาท 1.5 ลานบาท
บทส่งท้าย
• การวิเคราะหท์างเศรษฐศาสตรไ์ม่สามารถตอบคาํถามทัง้หมดได้
• ผลของ CBA เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการตดัสินใจในเชิงนโยบาย
• นักเศรษฐศาสตรท์าํหน้าที่ให้ข้อมลูกบัผูต้ดัสินใจในเชิงนโยบาย
© 2007 Your company name