newsletter vol 4

16
4 เชิญพระราชดำริเป็นหลักนำชาติ ฟื้นฟู-แก้วิกฤติน้ำท่วมตามรอยพระยุคลบาท อ่านต่อหน้า 16 อ่านต่อหน้า 16 เทศบาลทั่วประเทศร่วมใจ เพื่อนช่วยเพื่อนพึ่งพากันเอง ปิดทองหลังพระ คือการเพียรทำความดี โดยไม่มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนตน สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่ง ประเทศไทยผุดแนวคิดช่วยเหลือพึ่งพา กันเองในยามวิกฤติ สร้างความเข้มแข็ง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาค ประชาชน ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐ นายไพร พัฒโน นายกสมาคม สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยและ กรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวว่า สมาคมฯ เห็นพ้องต้องกันใน แนวความคิดที่จะให้เทศบาลแต่ละแห่ง จับคู่ช่วยเหลือกันในเวลา ที่เกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เช่น กรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีภารกิจ ในการฟื้นฟูหลังน้ำลดตามมาอีกมาก ทฤษฎี การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิชัยพัฒนาสรุปว่ามีอยู่ 5 วิธี คือ 1. การก่อสร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม เช่น คันดินขนาด พอเหมาะ ขนานตามลำน้ำห่างจากระยะตลิ่งพอสมควร เพื่อป้องกัน ปัญหาน้ำล้นตลิ่ง 2. การก่อสร้างทางผันน้ำ เพื่อผันน้ำทั้งหมดหรือ บางส่วนที่ล้นตลิ่งออกไป โดยก่อสร้างทางผันน้ำหรือขุดคูคลองสายใหม่ เชื่อมต่อกับลำน้ำที่มีปัญหาน้ำท่วม โดยให้น้ำไหลตามทางผันน้ำ ลงสู่ทะเล 3. การปรับปรุงและตกแต่งสภาพลำน้ำ เพื่อให้น้ำที่ท่วม ทะลักสามารถไหลไปลงลำน้ำได้สะดวก โดยวิธีการขุดลอกลำน้ำ ตื้นเขิน ตกแต่งดินตามลาดตลิ่งให้เรียบ กำจัดวัชพืช ผักตบชวา หากลำน้ำใดคดโค้งมาก ให้หาแนวคลองขุดใหม่เป็นลำน้ำสายตรง ให้น้ำไหลสะดวก 4. การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเพื่อสามารถ เก็บกักน้ำที่ไหลท่วมล้นในฤดูน้ำหลาก และนำมาใช้ในเกษตรกรรม และผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 5. การทำ “แก้มลิง” เพื่อเป็นพื้นที่พักน้ำ ขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก ตามธรรมชาติดันน้ำออกสู่ทะเล โดยมีประตูระบายน้ำติดตั้งไว้ปลาย คลองกันน้ำไหลย้อนกลับ หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ เดือนกรกฎาคมจนถึงธันวาคม 2554 ทำให้มี ราษฎรได้รับผลกระทบมากกว่า 12.8 ล้านคน พื้นที่การเกษตรและอุตสาหกรรมได้รับผล กระทบ 150 ล้านไร่ ใน 63 จังหวัด 641 อำเภอ และถูกกล่าวขานว่าเป็น นายไพร พัฒโน

Upload: pidthong-org

Post on 24-Mar-2016

217 views

Category:

Documents


1 download

DESCRIPTION

จดหมายข่าวปิดทอง ฉบับที่ 4

TRANSCRIPT

Page 1: newsletter vol 4

4

เชิญพระราชดำริเป็นหลักนำชาติฟื้นฟู-แก้วิกฤติน้ำท่วมตามรอยพระยุคลบาท

อ่านต่อหน้า 16

อ่านต่อหน้า 16

เทศบาลทั่วประเทศร่วมใจเพื่อนช่วยเพื่อนพึ่งพากันเอง

ปิดทองหลังพระ คือการเพียรทำความดี โดยไม่มุ่ ง เน้นประโยชน์ส่ วนตน

สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่ ง

ประเทศไทยผดุแนวคดิช่วยเหลือพึ่งพา

กันเองในยามวกิฤต ิสรา้งความเขม้แขง็

ใหอ้งคก์รปกครองส่วนท้องถิ่นและภาค

ประชาชน ไมต่อ้งรอความชว่ยเหลอืจากรฐั

นายไพร พัฒโน นายกสมาคม

สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยและ

กรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ

สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวว่า สมาคมฯ เห็นพ้องต้องกันใน

แนวความคดิทีจ่ะใหเ้ทศบาลแต่ละแห่ง จับคู่ช่วยเหลือกันในเวลา

ทีเ่กดิวกิฤตการณต์า่ง ๆ เชน่ กรณอีทุกภยัทีเ่กดิขึน้ ซึง่จะมภีารกจิ

ในการฟื้นฟูหลังน้ำลดตามมาอีกมาก

ทฤษฎีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิชัยพัฒนาสรุปว่ามีอยู่ 5 วิธี

คือ 1. การก่อสร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม เช่น คันดินขนาด

พอเหมาะ ขนานตามลำน้ำห่างจากระยะตลิ่งพอสมควร เพื่อป้องกัน

ปัญหาน้ำล้นตลิ่ง 2. การก่อสร้างทางผันน้ำ เพื่อผันน้ำทั้งหมดหรือ

บางสว่นทีล่น้ตลิง่ออกไป โดยกอ่สรา้งทางผนันำ้หรอืขดุคคูลองสายใหม ่

เชื่อมต่อกับลำน้ำที่มีปัญหาน้ำท่วม โดยให้น้ำไหลตามทางผันน้ำ

ลงสู่ทะเล 3. การปรับปรุงและตกแต่งสภาพลำน้ำ เพื่อให้น้ำที่ท่วม

ทะลักสามารถไหลไปลงลำน้ำได้สะดวก โดยวิธีการขุดลอกลำน้ำ

ตื้นเขิน ตกแต่งดินตามลาดตลิ่งให้เรียบ กำจัดวัชพืช ผักตบชวา

หากลำน้ำใดคดโค้งมาก ให้หาแนวคลองขุดใหม่เป็นลำน้ำสายตรง

ให้น้ำไหลสะดวก 4. การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเพื่อสามารถ

เก็บกักน้ำที่ไหลท่วมล้นในฤดูน้ำหลาก และนำมาใช้ในเกษตรกรรม

และผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 5. การทำ “แก้มลิง” เพื่อเป็นพื้นที่พักน้ำ

ขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล โดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก

ตามธรรมชาติดันน้ำออกสู่ทะเล โดยมีประตูระบายน้ำติดตั้งไว้ปลาย

คลองกันน้ำไหลย้อนกลับ

หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่

เดือนกรกฎาคมจนถึงธันวาคม 2554 ทำให้มี

ราษฎรได้รับผลกระทบมากกว่า 12.8 ล้านคน

พื้นที่การเกษตรและอุตสาหกรรมได้รับผล

กระทบ 150 ล้านไร่ ใน 63 จังหวัด 641 อำเภอ

และถูกกล่าวขานว่าเป็น

นายไพร พัฒโน

Page 2: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ก้าวต่อไปของปิดทองหลังพระฯ ในปี 2555 ที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรม

ปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2554

รบัทราบความกา้วหนา้การปฏบิตังิานในพืน้ทีข่ยายผลปดิทองหลงัพระฯ

ว่า 9 หมู่บ้าน ในจังหวัดเชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก และสิงห์บุรี อยู่ใน

ขัน้ตอนการจดัทำแผนพฒันาชนบทเชงิพืน้ทีป่ระยกุตต์ามพระราชดำร ิ

และในภาพรวม คณะทำงานระดับอำเภอให้ความสำคัญกับการ

สำรวจและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าของงานใน

พื้นที่ทุกขั้นตอน นายอำเภอและปลัดอำเภอ ลงมากำกับดูแลงานใน

พื้นที่ด้วยตัวเอง ทำให้แผนงานที่จัดทำตรงกับปัญหาและความ

ตอ้งการของชาวบา้น รวมทัง้มกีารนำองคค์วามรูต้ามแนวพระราชดำร ิ

เรื่องน้ำมาช่วยแก้ปัญหา และมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ

ด้วยดี ส่วนอีก 9 หมู่บ้าน ในจังหวัดเชียงราย ประจวบคีรีขันธ์

เพชรบุรี ตราด เลย และยะลา อยู่ในขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล ค้นหา

ปัญหาและความต้องการของชุมชน

สำหรับพื้นที่ต้นแบบ โครงการปิดทองหลังพระฯ จังหวัดน่าน

สถาบันฯ มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานและงบประมาณประจำปี

2555 รวม 7 โครงการ เพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่าง

ยัง่ยนื ดว้ยการสรา้งฝายเพิม่ ซอ่มแซม บำรงุรกัษาฝาย ระบบการสง่นำ้

ดว้ยทอ่และบอ่พวงสนัเขา สง่เสรมิการเรยีนรูก้ารจดัการนำ้อยา่งยัง่ยนื

ปรับปรุงบำรุงดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก ส่งเสริมการปลูกพืช

ตระกูลถั่ว เพื่อลดการใช้สารเคมี ปรับปรุงคันนาขั้นบันไดขุดใหม่

เพื่อรักษาความแข็งแรงด้วยการปลูกตะไคร้และดอกไม้จีน ส่งเสริม

การปลูกพืชเศรษฐกิจและพืชหลังนาแบบพอเพียง ส่งเสริมการ

ปลูกพืชที่ชาวบ้านต้องการ ได้แก่ บร็อคโคลี่ พริกซุปเปอร์ฮอท

ฟักเขียว ถั่วลันเตา หน่อไม้ฝรั่ง เผือก ว่านหางจระเข้ และตะไคร้

ในรูปแบบการยืมปัจจัยการผลิต ส่งเสริมการแปรรูปและเพิ่มมูลค่า

ผลผลิตทางการเกษตร โดยการแปรรูปมะแขว่น กล้วยเหลืองนวล

ต๋าว มะนาวและพริกกะเหรี่ยง จัดตั้งกองทุนและส่งเสริมการรวมกลุ่ม

เช่น กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ กองทุนปศุสัตว์ กองทุนเมล็ดพืช กองทุน

การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มความรู้และทักษะ

ให้กับเจ้าหน้าที่ปิดทองหลังพระฯ จังหวัดน่าน และชาวบ้านในพื้นที ่

ด้านการเกษตร ปศุสัตว ์ คอมพิวเตอร ์ รวมทั้งศึกษาดูงานจากครู

ภูมิปัญญา หรือแหล่งเรียนรู้ที่นำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติจนประสบ

ความสำเร็จ และจัดสร้างศูนย์เรียนรู้ตามปรัชญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง ใน 3 อำเภอ

สำหรับความก้าวหน้าของโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายฯ จ.อุดรธานี หลังจากพัฒนาระบบน้ำเสร็จ

จากการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบ ปรากฏว่าสามารถเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าว

จากเดิม 800 ไร่ ได้เป็น 1,788 ไร่ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเลี้ยงสุกร

เหมยซาน 91 ตัว ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในพื้นที่ เพื่อลดต้นทุน

เช่น กล้วย ใบมันสำปะหลัง รำ เป็นอาหารเลี้ยงสุกร ส่งเสริมการปลูก

กล้วยเหลืองนวล การเลี้ยงเป็ดสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการเลี้ยงแบบ

พื้นบ้าน และความต้องการของตลาด รวมทั้งสำรวจความต้องการ

ของชาวบ้านในการปลูกพืชหลังนา ขนาดพื้นที่ ชนิดของพืชที่ปลูก

ราคาตลาด ราคาต้นทุน และส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี

โดยใช้วัตถุดิบในพื้นที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติกรอบงบประมาณของสถาบันฯ

ในการสนับสนุนกิจกรรมตามแผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์

ตามพระราชดำริ ที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของหมู่บ้าน เพื่อสร้างความ

เชื่อมั่น ศรัทธาให้กับทีมปฏิบัติการพื้นที่ระดับอำเภอและจังหวัด

โดยมอบหมายให้ผู้อำนวยการสถาบันฯ หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด

พิจารณารายละเอียดกิจกรรม ที่จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณ

รวมทั้งอนุมัติแนวทางการคัดเลือกพื้นที่ตามแผนพัฒนาชนบทเชิง

พื้นที่ประยุกต์ตามพระราชดำริ โดยให้จังหวัดสำรวจข้อมูลการใช้

ประโยชน์จากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ขนาดเล็ก 137 โครงการ ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อ

ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ส่งข้อมูล

กายภาพเบื้องต้นมาให้ และมอบหมายปลัดกระทรวงมหาดไทย

แต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองข้อมูลเพื่อคัดเลือกพื้นที่อีกครั้ง โดย

กำหนดเป้าหมายการทำงานปี 2556-2558 ไว้ที่ปีละ 35 หมู่บ้าน

2

ข่าว

เจ้าของ : มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ สำนกังานปลดัสำนกันายกรฐัมนตร ีทำเนยีบรฐับาล เลขที ่1 ถนนนครปฐม เขตดสุติ กรงุเทพมหานคร 10300 : สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ อาคารสยามทาวเวอร์ ชั้น 26 เลขที่ 989 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 0-2611-5000 โทรสาร 0-2658-1413 ที่ปรึกษา : หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ นายพิพัฒน์ เลิศกิตติสุข บรรณาธิการ : นายธนัยนันท์ ธนันท์ปพัฒน์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ : นายสุชาติ ถนอม ผู้จัดทำ : บริษัท แอร์บอร์น พรินต์ จำกัด 1519/21 ซอยลาดพร้าว 41/1 ถนนลาดพร้าว แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 โทรศัพท์ 0-2939-9700 โทรสาร 0-2512-2208 E-mail : [email protected]

www.pidthong.org www.twitter.com/pidthong

www.facebook.com/pidthong

www.youtube.com/pidthongchannel

Page 3: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ปิดทองหลังพระ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัดเชียงใหม่

และชาวบ้านบ้านปาง ตำบลหนองบัว อำเภอไชยปราการ

จังหวัดเชียงใหม ่ ร่วมประชุมจัดทำแผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที ่

ประยุกต์ตามพระราชดำร ิ พื้นที่ขยายผลปิดทองหลังพระ

ระหวา่งวนัที ่30 พ.ย.-1 ธ.ค. 2554 ทีว่ดัปา่ไมแ้ดง อ.ไชยปราการ

การประชุมวันแรก เป็นการซักซ้อมความเข้าใจระหว่างปิดทองฯ

และหน่วยราชการกับชาวบ้าน ซึ่งได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จังหวัด

เชียงใหม่ จะใช้แนวทางของปิดทองฯ คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

เน้นการมีส่วนร่วมและความต้องการของชุมชนเป็นหลัก เพื่อให้การ

พัฒนาเห็นผลและเกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ

ได้ทั่วถึง 2) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด

ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ด้วยการปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น

และปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง 3) สำนักงานเกษตร

และสหกรณ์จังหวัด จัดอบรมเกษตรผสมผสานและจัดตั้งฟาร์มสาธิต

4) สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด จะส่งเสริมอาชีพและการเรียนรู้

เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 5) ปศุสัตว์อำเภอ

เสนอแผนส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรและไก่ 6) สำนักเกษตรอำเภอ

ส่งเสริมการทำนาขั้นบันได 7) เทศบาลตำบลหนองบัว จะส่งเสริม

การเลี้ยงเป็ดเทศ เพื่อบริโภคไข่ 8) สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัด

ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จะปรับปรุงดิน ส่งเสริมการปลูกพืช

ทางเลือกและการทำเกษตรผสมผสาน เป็นต้น

ในช่วงเย็นวันเดียวกัน มีการเปิดตัวครอบครัวอาสาพัฒนาพื้นที่

ปิดทองหลังพระฯ 4 ครอบครัว และแต่ละครอบครัวมีการนำเสนอ

หลักการและวิธีคิดการทำเกษตรผสมผสาน ตามแนวทางปิดทอง

หลังพระฯ เช่น นายทองสุก ศรีบุญเรือง หนึ่งในครอบครัวอาสา

พัฒนาปิดทองฯ บอกว่า หลังจากเห็นผลที่จังหวัดน่าน ทำให้อยากทำ

เกษตรผสมผสานบ้าง เพราะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืช

หลากหลาย เช่น มะม่วง กระท้อน ขนุน ลำไย และเลี้ยงไก่ดำ กบ

ปลานิล หมูเหมยซาน ฯลฯ จากนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้าน

ที่มาร่วมรับฟังนำกลับไปคิด เพื่อหาข้อสรุปในวันรุ่งขึ้น

การประชุมในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 ชาวบ้านบ้านปางร่วมกัน

แสดงความคิดเห็นและสรุปความต้องการของชุมชนทั้งการปลูกพืช

และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งหน่วยราชการที่มาร่วมรับฟังจะนำความต้องการ

ของชุมชนไปศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำเป็นแผนส่งเสริมต่อไป

โดยคาดว่าเริ่มดำเนินการได้ในต้นปี 2555

พัฒนาไชยปราการสู่ความยั่งยืน

อำนวยการปฏิบัติงานระดับจังหวัดและคณะทำงานระดับอำเภอ

ขึน้แลว้ 2 คณะ พรอ้มกบัสัง่การหนว่ยงานใหค้วามรว่มมอือยา่งเตม็ที่

ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมและพัฒนา

กิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวว่า บ้านปางมีแหล่งน้ำและดินอุดม

สมบรูณ ์แตย่งัใชไ้ดไ้มเ่ตม็ศกัยภาพ การดำเนนิการของปดิทองหลงัพระฯ

จะเน้นให้ชาวบ้านรู้จักวิเคราะห์ปัญหาของตนเอง สร้างความมั่นใจ

ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นการปลูกพืช

แบบผสมผสาน รวมทั้งชักชวนหน่วยราชการมาร่วมกันพัฒนาตาม

ความต้องการของชาวบ้าน ซึ่งจากการสำรวจพบว่า มีอยู่ 5 ประการ

คือ 1. พัฒนาแหล่งน้ำซึมงูเหลือมรูบนและล่าง และพัฒนาระบบน้ำ

ให้ใช้บนพื้นที่สูงได้ 2. ส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสาน เช่น

เลี้ยงปลา หมู ไก่ กบ ปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่และมีตลาดรองรับ

3. ปรับปรุงคุณภาพดินให้อุดมสมบูรณ์ 4. อนุรักษ์ป่าต้นน้ำบน

น้ำรูงูเหลือม 5. การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคในครัวเรือน

เพื่อลดรายจ่ายและปลดหนี้

หน่วยราชการที่ร่วมประชุมเสนอแนวทางสนับสนุนต่าง ๆ ได้แก่

1) โครงการชลประทานจังหวัดเชียงใหม่ จะสร้างอาคารบังคับน้ำ

ปรับปรุงและขุดสระเก็บน้ำ จัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำ

ราษฎร์-รัฐร่วมปิดทองฯ

3

รายงานพิเศษ

Page 4: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการบริหารจัดการน้ำ

อย่างยั่งยืน อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี คือ องค์ความรู้ด้านการเกษตรและปศุสัตว์

ของโครงการฟาร์มตัวอย่างตามแนวพระราชดำริ ในสมเด็จ

พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งปิดทองหลังพระฯ นำมาถ่ายทอด

สู่การปฏิบัติเป็นต้นแบบในพื้นที่แปลงเกษตรสาธิต บ้านโคกล่าม

และบ้านแสงอร่าม

นายอนันตสิทธิ์ ซามาตย์ หัวหน้าผู้ดูแลพระตำหนักภูพาน

ราชนิเวศน์ ผู้ประสานโครงการฟาร์มตัวอย่างฯ กล่าวว่า หลักการ

ของฟาร์มตัวอย่าง คือ การทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกพืชผัก

เพื่อบริโภคและจำหน่าย ลดค่าใช้จ่ายและสร้างรายได้ให้กับตัวเอง

มีการวางแผนปลูกพืชให้ได้ผลผลิตต่อเนื่องตลอดทั้งปี ด้วยการ

ปลูกพืช 3 ชั้น คือ พืชชั้นสูง พืชชั้นกลางและพืชกินหัว ซึ่งทุกชั้น

กินได้ขายได้ และการปศุสัตว์ เช่น เลี้ยงหมูจินหัว เป็ดอี้เหลียง

ปลากินพืชในบ่อ เป็นต้น

ภายใต้หลักการดังกล่าว รูปแบบของฟาร์มตัวอย่าง สามารถ

ปรบัเปลีย่น ประยกุตใ์ชไ้ดใ้นทกุพืน้ทีแ่ละชว่งเวลา ตามความเหมาะสม

ของพื้นที่ ความพร้อมและความต้องการของชาวบ้าน

ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่นาหลังฤดูทำนา สามารถใช้พื้นที่นาปลูก

ฟักหอมสลับกับข้าวโพดได้ บนคันนาปลูกพืชชั้นกลางและพืชค้าง

ที่มีช่วงเก็บเกี่ยวระยะสั้น เช่น กล้วย มะเขือ ชะอม พริก มะละกอ

ต้นหอม ข่า ตะไคร้ เป็นต้น ส่วนระหว่างฤดูทำนา บนที่ดอน สามารถ

ปลูกพืชชั้นสูงที่มีอายุยืน เช่น แค ขี้เหล็ก ฯลฯ ชั้นกลาง และพืชกินหัว

ปลูกแซมด้วยพืชอายุสั้น เช่น พริก มะเขือ ข่า ตะไคร้

สำหรับไร่และสวน จะปลูกพืช 3 ระดับเพื่อเป็นแหล่งอาหาร

ระยะสั้นและระยะยาว คือ พืชชั้นสูง ปลูกกล้วย แค มะรุม มะพร้าว

พืชชั้นกลางปลูกตะไคร้ ข่า มะเขือ พริก พืชค้างหรือพืชล่าง ปลูกถั่ว

แตงกวา ผักบุ้ง ฟักทอง

บริเวณรอบบ้าน ปลูกพืชอายุสั้นเพื่อเป็นแหล่งอาหาร ส่วน

พืชชั้นสูง นอกจากเป็นอาหารแล้ว ยังอาจเป็นแนวรั้วบ้านไปด้วย

ในตัว เช่น มะม่วง ชะอม เป็นต้น

การทำเกษตรตามแบบฟาร์มตัวอย่างนั้น ยังสามารถกำหนด

การใช้ประโยชน์พื้นที่ได้ตามความเหมาะสมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น

ปลูกพืชผักอย่างเดียว โดยไม่เลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะมีพื้นที่ปลูกพืชได้

มากขึ้น หรือจะปลูกพืชผักร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ก็ได้ เช่น ปลูกพืชผัก

ร่วมกับการเลี้ยงไก่หรือวัว ปลูกพืชผักร่วมกับการเลี้ยงทั้งวัวและไก่

ฟาร์มตัวอย่าง รูปธรรมของการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน

รูปแบบปลูกพืชหลังนาและบนคันนา

รูปแบบปลูกพืชบนที่ดอนในช่วงการทำนา

4

รายงานพิเศษ

Page 5: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ปลูกพืชผักร่วมกับไก่-เป็ด-ปลา ปลูกพืชผักร่วมกับไก่-เป็ด ปลูกพืช

ผกัรว่มกบัหม ูปลกูพชืผกัรว่มกบัไก-่หม ูหรอืปลกูพชืผกัรว่มกบักระบอื

พันธุ์สัตว์ที่เลี้ยง จะเป็นพันธุ์พื้นเมืองหรือลูกผสมพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งจะ

ต้านทานโรคและเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมนั้น

ฟาร์มตัวอย่าง ยังสามารถปรับให้เหมาะสมกับแต่ละ

ท้องถิ่น เช่น

• ภาคเหนือ ไม่นิยมปลูกพืช 3 ระดับ เนื่องจากแสงน้อย

มีอากาศหนาวเย็น แต่จะปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ลิ้นจี่ มะม่วง ลำไย

เบบี้แครอท บีทรูท บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี อโวคาโด

• ภาคกลาง การปลกูพชื 3 ระดบั จะเนน้พชืทีเ่หมาะกบัอากาศรอ้น

เช่น พืชชั้นสูง จะเป็นมะม่วง แค พืชชั้นกลาง จะเป็นพริก

มะเขือ ส่วนพืชค้าง จะเป็นถั่วพู ถั่วฝักยาว พืชชั้นล่างเป็นคะน้า

ผักบุ้ง ผักกาด ที่สำคัญ ภาคนี้มีความอุดมสมบูรณ์ และอยู่ใกล้ตลาด

30 : 30 : 30 : 10 และปลูกไว้กินก่อน เมื่อมีเหลือกิน

ก็จำหน่าย และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มกัน และบริหารจัดการ

แบบบูรณาการ เช่น การตั้งกองทุนเมล็ดพันธุ์พืช กองทุนพันธุ์สัตว์

การรวมกลุ่มจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร ฯลฯ อีกด้วย

ฟาร์มตัวอย่างในพื้นที่ 1 ไร่ ทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ประมาณ

การต้นทุนอยู่ที่ 23,261 บาทต่อไร่ ในระยะเวลา 1 ปี จะให้ผลผลิต

คิดเป็น 106,000 บาท หรือ 4.5 เท่าของทุน โดยชาวบ้านจะมีรายได้

ในแต่ละช่วงตลอดทั้งปี ดังนี้

• มกราคม-เมษายน ปลูกพืชก่อนนาเพื่อบำรุงดินและเป็นปุ๋ย

จะมีรายได้จากการปลูกพืช เช่น ผักบุ้ง ที่จะให้ผลผลิตภายใน 20 วัน

ฟักทอง 45 วัน เก็บยอดจำหน่ายได้ 60 วันจะให้ยอดชุดที่ 2 อายุ 75

วันได้ผลอ่อน อายุ 90-120 วัน จะได้ผลแก่ ข้าวโพดจะให้ผลผลิต

ภายใน 80-90 วัน และเป็นช่วงเวลาเริ่มเลี้ยงสัตว์

รูปแบบปลูกผักบริเวณรอบบ้าน รูปแบบฟาร์มตัวอย่าง พื้นที่ 1 ไร่

ต้นทุนต่อไร่ 23,261 บาท ผลที่จะได้ = 106,000 บาท

ค้าส่งขนาดใหญ่ จึงเน้นการปลูกพืชผักเศรษฐกิจเพื่อจำหน่าย

• ภาคอีสาน จะปลูกพืช 3 ระดับสำหรับเป็นแหล่งอาหาร

ในครัวเรือน ส่วนใหญ่จึงเป็นการปลูกพืชผักสวนครัว พืชระดับสูง

ปลูกมะม่วง สะเดา แค พืชชั้นกลาง กะเพรา โหระพา และพืชค้าง

และพืชชั้นล่าง เป็น บวบ ฟักทอง ชะพลู เป็นต้น

• ภาคใต้ ปลูกพืช 3 ระดับที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น

โดยพืชชั้นสูง ได้แก่ ยาง สะตอ พืชชั้นกลาง คือ ลองกอง พืชค้าง

คือ แตง ถั่วฟักยาว พริก ดีปลี พืชชั้นล่าง เป็น ขิง ข่า ดาหลา

ย่านลิเภา และปลูกสับปะรดในสวนยางพารา (เฉพาะ 3 ปีแรก)

บ่อน้ำ หากมีการเลี้ยงสัตว์น้ำ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับบ่อน้ำ

อาจสร้างคอกสัตว์ เพื่อนำมูลสัตว์มาเป็นอาหารปลาได้ แต่ไม่ควร

สร้างคอกสัตว์บนบ่อน้ำ เนื่องจากอาจทำให้น้ำเสียได้

ฟาร์มตัวอย่าง ยังเป็นระบบการเกษตรแบบผสมผสาน คือ

สามารถใช้เศษผักล้มลุกเป็นอาหารเสริมให้กับสัตว์ มูลสัตว์เป็น

อาหารเสริมให้กับพืชผักหรือเป็นอาหารปลา เศษพืชผักและเศษ

ที่เหลือจากปลา-สัตว์ สามารถทำเป็นน้ำสกัดชีวภาพอีกด้วย

องคค์วามรูข้องฟารม์ตวัอยา่ง ยงัประยกุตเ์ขา้กบัเกษตรทฤษฎใีหม ่

และหลักเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วนในสัดส่วน

• พฤษภาคม-ตุลาคม ช่วงฤดูฝน นอกจากเตรียมไถแปลงนา

หว่านกล้า และปักดำ จะเริ่มปลูกพืชบนที่ดอนและข้างบ้าน เพื่อให้มี

รายได้ช่วงว่างจากการทำนา เช่น บวบ มะเขือ กะเพรา โหระพา

พริก ถั่วฟักยาว ถั่วพู แมงลัก ตำลึง มะระขี้นก ฟักแฟง ชะพลู ผักบุ้ง

ฟักทอง

ในช่วงเวลานี้ จะได้อาหารจากธรรมชาติ เช่น กบ เขียด กุ้ง หอย

ปลา เห็ดจากป่า ผักในลำห้วยธรรมชาติ เช่น ผักหนาม ผักแว่น ฯลฯ

และสามารถใช้เวลาว่างทำอาชีพเสริม เช่น ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม

ทอเสื่อกก จักสาน ทำปลาร้า และการเลี้ยงสัตว์จะเริ่มให้ผลผลิต

ในช่วงเวลานี้เช่นกัน

• พฤศจิกายน-ธันวาคม เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว และเตรียม

ปลูกพืชหลังนา เช่น ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วลิสง มันเทศ ผักบุ้ง

มะเขือเทศ ฯลฯ

องค์ความรู้จากฟาร์มตัวอย่างตามแนวพระราชดำริ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ช่วยให้คน

จำนวนมาก มีชีวิตความเป็นอยู่และฐานะดีขึ้นอย่างเห็น

เป็นรูปธรรม ที่สำคัญ คือ ทำให้คนเหล่านั้นสามารถพึ่งพา

ตนเองได้อย่างยั่งยืน

ต้นทุนต่อไร่ (บาท)

พืชชั้นสูง 2,100

พืชชั้นกลาง 2,750

พืชค้าง 150

พืชผักเศรษฐกิจ 4,331

ปุ๋ย 3,680

ปศุสัตว์ 5,300

ประมง 800

บ่อตอกน้ำตื้น 4,000

พันธุ์ปลูกข้าว 150

รวมต้นทุน 23,261

(ต่อไร่)

5

รายงานพิเศษ

Page 6: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

เพราะอะไร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) จึงเข้าร่วมกับปิดทองหลังพระฯ

ภารกิจของ พอช. คือ สนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งองค์กรขึ้น

เพื่อรวมกลุ่มให้เกิดพลัง ขณะที่ปิดทองหลังพระฯ คือ การพัฒนาที่

ชุมชนต้องระเบิดจากข้างใน ชุมชนต้องเป็นผู้ดำเนินการเองอย่าง

แท้จริง พอช.กับปิดทองหลังพระฯ จึงเป็นฝ่ายทำงานอยู่เบื้องหลัง

เหมือนกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการสร้างให้ชุมชน

เขม้แขง็ ยืนบนขาตัวเองได้ พอช. กับปิดทองหลังพระฯ จึงสนับสนุน

กันและกันได้อย่างเต็มที่ เช่น บางพื้นที่ที่ปิดทองหลังพระฯ เข้าไป

ดำเนินการ ทำให้เกิดองค์กรชุมชนขึ้นมา พอช.ก็สนับสนุนองค์กรนั้น

ใหแ้ขง็แรงขึน้

วิธีการทำงานก็เหมือนกัน คือ ไม่ได้ทำเอง แต่แนะนำ ให้ความรู้

ให้วิธีการ แล้วจุดประกายให้ชาวบ้านทำ

สัมภาษณ์พิเศษพลเอกสุรินทร์ พิกุลทองประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

ปิดทองฯ - พอช. สองแรงแข็งขัน ร่วมกันสร้างชุมชนเข้มแข็ง

การเสนอพื้นที่ขยายผลให้ปิดทองหลังพระฯ พอช.มีหลักเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร

พิจารณาจากชุมชนที่มีความเข้มแข็ง มีสภาองค์กรชุมชนแล้ว

จะได้รวมคนได้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่มีแผนชุมชนที่เข้มแข็ง เรื่องความ

ยากจน ผมไม่คิด คิดแค่ความพร้อมของชุมชน เพราะคุณชาย

(ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและ

พฒันากจิกรรมปดิทองหลงัพระฯ) พดูไวป้ระโยคแรกวา่ ถา้คณุไมพ่รอ้ม

ผมไม่ไป เชิญเราก็ไม่เอา ถ้าคุณไม่เอา ผมพิจารณา 2 ปัจจัยนี้

เป็นหลัก ที่เชียงใหม่ ชาวบ้านเขาเลือกกันเอง ให้ทำโครงการที่บ้าน

อมแรด ที่ประจวบคีรีขันธ ์ แม้จะอยู่รอดแล้ว แต่ต้องพอเพียงและ

ยั่งยืนด้วย เขายังยั่งยืนไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องน้ำ ไม่สามารถ

ทำนาได ้ขณะเดยีวกนั แมจ้ะมอีงคก์รมาก แตก่ม็คีวามแตกแยกกนัอยู ่

ถ้าปิดทองหลังพระฯ เข้าไป แล้วเอาปัญหาขึ้นมาพูดกันก่อน จะทำให้

เกิดความสามัคคีกัน

6

สัมภาษณ์พิเศษ

Page 7: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ความร่วมมือระหว่างปิดทองฯ กับ พอช.ในอนาคต จะพัฒนาไปในทิศทางใด

ผมบอกกับกรรมการและเจ้าหน้าที่ พอช.ไว้ว่า ไม่ว่าจะมีองค์กร

ใดกต็าม เขา้มาทำงานในพืน้ทีท่ีม่อีงคก์รชมุชนอยู ่พอช.จะเปน็กระดง้

ที่อยู่ล่างสุดที่ต้องสนับสนุน เป็นฐานให้กับองค์กรชุมชน ต้องรองรับ

ทุกเรื่องที่ชุมชนจะทำ ปิดทองฯ ก็เป็นงานที่ พอช.จะต้องร่วมมือด้วย

เนื่องจาก พอช.มีการแบ่งภาคใหม่ จาก 5 ภาค เป็น 11 ภาค

จึงต้องมีการประชุมซักซ้อมความเข้าใจกับผู้บริหารทั้งหมด เพื่อให้

เข้าใจตรงกันและเห็นประโยชน์ของความร่วมมือ ทั้งนี้ พระราช

กฤษฎีกาจัดตั้ง พอช.ก็มีกำหนดไว้แล้วว่า พอช.มีหน้าที่ประสานงาน

กับทุกองค์กร เมื่อปิดทองฯ เข้ามา เราก็มีหน้าที่ต้องประสานงานกัน

อยู่แล้ว โดยมีจุดหมายอยู่ที่ชุมชน อย่างที่ตำบลยอด ทุกวันนี้อยู่ได้

เพราะมีปิดทองฯ อยู่ มีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นคนนี้

สัมภาษณ์พิเศษพลเอกสุรินทร์ พิกุลทองประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

ปิดทองฯ - พอช. สองแรงแข็งขัน ร่วมกันสร้างชุมชนเข้มแข็ง

ถ้าไม่มีองค์กรเป็นฐาน ถามว่าต่อไปข้างหน้า อีก 6 ปี เมื่อปิดทอง

หลังพระฯ ถอยไป นายก อบต. เปลี่ยนไป จะแน่ใจได้ไหมว่า จะยัง

เข้มแข็งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นหน้าที่ พอช. คือ ต้องสนับสนุน

ให้ชุมชนนั้นเป็นชุมชนปิดทองฯ ด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องลุกขึ้นมา

ทำเอง งานของปิดทองหลังพระฯ ทั้ง 6 มิตินั้น ถ้ามีองค์กรชุมชน

เป็นฐาน งานนั้นก็จะเข้มแข็งและอยู่ยาวด้วยตัวเองได้

พอช.และปิดทองฯ จะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน พื้นที่ไหน

ที่ปิดทองฯ เข้าไป ถ้ายังไม่มีองค์กรชุมชนอยู่ พอช.จะตามหลังเข้าไป

ทำให้เกิดองค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง ถ้ามีองค์กรชุมชนอยู่แล้ว ปิดทองฯ

จะเข้าไป พอช.ก็พร้อม แต่ไม่ใช่ว่า พอช.จะกวักมือให้ปิดทองฯ

เข้ามา แต่จะต้องเป็นความต้องการของชาวบ้าน หรือเห็นสมควร

ว่าจะขยายเพิ่มในพื้นที่ใดเท่าที่กำลังปิดทองฯ จะทำได้ก็จะเสนอ

ขึ้นไป ถ้าจะมองภาพความร่วมมือในอนาคต จริง ๆ ไม่ต้องพูด

ก็ร่วมมืออยู่แล้ว

ท่านมองวิธีการทำงานของปิดทองฯ อย่างไร โดยหลกัการของปดิทองฯ ดมีาก ผมอยากใหเ้ปน็อยา่งนัน้ตลอดไป

ปิดทองฯ ไม่ใช่แหล่งงบประมาณที่หน่วยงานจะเสนอกิจกรรม

มาเพื่อขอเงิน แต่ปิดทองฯ เป็นแหล่งองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวทาง

พระราชดำริ ต้องทำให้เขาเข้าใจแล้วทำเอง ปิดทองฯ สนับสนุนบ้าง

บางส่วน ต่อยอดบางส่วนเพื่อให้เขาอยู่รอด ตรงไหนอยู่รอดแล้ว

เอาความรู้ เอาวิธีการ วิชาการไปอย่างเดียว ไม่ต้องใช้เงิน

ทีผ่มชอบมาก คอื แบบสำรวจ เพราะของปดิทองฯ จะลกึ ละเอยีด

และครบถ้วน เพราะข้อมูลต้องลึก ต้องครบถ้วน และต้องถูกต้องด้วย

จึงจะแก้ปัญหาได้

ปิดทองฯ จะทำให้ พอช.เดินหน้าได้เร็วขึ้น และ พอช.จะทำให้

ปิดทองฯ ขยายได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินมาก เพราะฉะนั้นความ

สัมพันธ์ระหว่างปิดทองหลังพระฯ กับ พอช. จึงแยกกันไม่ออก เพราะ

ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เกื้อกูลกัน และมีเป้าหมาย

เดียวกัน คือ สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เพื่อให้ประเทศเข้มแข็งและยั่งยืน

ผมว่า ที่จริงแล้ว งานของปิดทองฯ ไม่ใช่แค่ 6 เรื่อง ยังมี

เรื่องอื่นอีกมาก แต่ที่สำคัญที่สุด คือ แนวทางของปิดทองฯ ที่ให้

ชาวบ้านมีส่วนร่วม ปลุกให้ชาวบ้านรู้สึกมีความเป็นเจ้าของ เพราะถ้า

หมู่บ้านหนึ่ง มี 100 หลังคาเรือน มีคนมาประชุม 90 กว่าหลังคาเรือน

ถามว่า ผู้ใหญ่บ้านจะกล้าเบี้ยว กล้าโกงไหม ในตำบล มี 10 หมู่บ้าน

1,000 หลังคาเรือน มาประชุม 900 คน นายก อบต. จะกล้าเบี้ยว

กล้าโกงไหม ถ้าทุกคนรับรู้แผนหมด นี่คือแนวทางของปิดทอง

หลังพระฯ ที่ตรงใจผม

7

สัมภาษณ์พิเศษ

Page 8: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

บ้านโป่งโก หมู่ 2 และบ้านห้วยเกรียบ หมู่ 4 ทั้งสอง

หมู่บ้านมีพื้นที่ติดต่อกันในตำบลทองมงคล อำเภอบางสะพาน

จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่ขยายผลปิดทอง

หลังพระฯ ก็ด้วยเหตุผลว่า แม้ชาวบ้านเกือบทั้งหมดจะมีที่ดินทำกิน

ครอบครัวละกว่า 20 ไร่ สำหรับทำสวนยาง สวนมะพร้าว และไร่

สับปะรด ซึ่งให้ผลผลิตหมุนเวียนตลอดทั้งปี แต่อาชีพหลักเหล่านี ้

กลับไม่ได้สร้างรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ

ข้อมูลจากการสำรวจพื้นที่ ปรากฏว่า บ้านโป่งโก มีพื้นที่

ประมาณ 6,000 ไร่ เป็นพื้นที่ราบและราบลุ่มในบางส่วน มีประชากร

251 ครัวเรือน จำนวน 938 คน เป็นชาย 487 คน หญิง 451 คน

มีคนในวัยทำงาน อายุ 18-60 ปี เป็นส่วนใหญ่ถึง 595 คน ประกอบ

อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก พืชที่ปลูกมากที่สุด คือ สับปะรด

มะพร้าว ยางพารา ข้าว ตามลำดับ สัตว์ที่เลี้ยงมากที่สุด คือ โคเนื้อ

มีโคนม เป็ด ไก่ หมู อยู่ไม่มากนัก

รายไดเ้ฉลีย่ของชาวบา้นโปง่โก อยูท่ี ่ 57,238.81 บาทตอ่คนตอ่ป ี

มีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน มีประปาใช้ 122 ครัวเรือน มีประปาหมู่บ้าน

4 แห่ง โทรศัพท์สาธารณะ 3 แห่ง โทรศัพท์เคลื่อนที่ครบทุกครัวเรือน

สำหรับบ้านห้วยเกรียบ มีพื้นที่ 14,790 ไร่ เป็นพื้นที่ราบ มีภูเขา

เล็กน้อย มีแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการทำเกษตร คือ คลองยางขวาง

สาดแสงแห่งความหวังที่ตำบลทองมงคล

คลองลำจริง ห้วยสองแกลลอน ฝายน้ำล้นเนินทอง ฝายประชาอาสา

และสระน้ำ 5 ไร่ ประชากร 196 ครัวเรือน จำนวน 873 คน ร้อยละ

87.78 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชที่ปลูกมากที่สุด คือ ยางพารา

ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว สับปะรด สวนผลไม้ ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และมี

อาชีพเสริม จักสานหวาย เพาะเห็ดฟาง เลี้ยงไก่และปลา

รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 82,579.80 บาทต่อคนต่อปี มีไฟฟ้าใช้

ทุกครัวเรือน แต่มีประปาเพียง 48 ครัวเรือน มีประปาหมู่บ้าน 2 แห่ง

และมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกครัวเรือน

รายได้จากไร่จากสวนทั้งสองหมู่บ้าน เมื่อหักต้นทุนการผลิตที่มี

แต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหลือเพียงเดือนละ 4,000-6,000 บาท ทำให้

หลายครอบครัวเป็นหนี้ อย่างน้อย 4 กองทุน เนื่องจากปัญหาสำคัญ

คือ คุณภาพของดินเริ่มเสื่อมโทรมจากการใช้ปุ๋ยเคมีเกินความจำเป็น

ในอดีต หน้าดินถูกชะล้างทำลาย ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรใน

ฤดูแล้ง ปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์มีราคาสูง

พันธุ์พืชไม่ได้มาตรฐาน ผลผลิตจึงไม่ได้คุณภาพและราคาตกต่ำ

รวมทั้งไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน โดยเฉพาะที่บ้านห้วยเกรียบ

พื้นที่ 14,790 ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนทั้งหมด ทุกครัวเรือนจึงไม่มี

เอกสารสิทธิ บ้านโป่งโกก็ไม่ต่างกัน เพราะ 200 จาก 251 ครัวเรือน

ก็ไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินเช่นกัน

8

บทความ

Page 9: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

“น้ำ” และ “ดิน” จึงเป็นความต้องการมากที่สุดของชาวบ้าน

ผู้ใหญ่สมนึก ทองลอย แห่งบ้านโป่งโก บอกว่า หมู่บ้านนี้

มีรายได้ลดลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพราะต้นทุนการผลิตราคาสูงขึ้น

แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากความฟุ้งเฟ้อ ชาวบ้านกว่าร้อยละ 70

เป็นหนี้ จากการกู้ยืมกองทุนต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ตั้งแต ่ 30,000-

200,000 บาท

“ยังมีปัญหาแหล่งน้ำ ทั้งที่บ้านโป่งโก เป็นแหล่งปลูกข้าวเพียง

แห่งเดียวของตำบลทองมงคล แต่เพราะน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ปลูก

ข้าวได้แค่ 200 ไร่ ถ้ามีน้ำ ก็จะเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวได้มากขึ้น ทำให้

บ้านโป่งโกเป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญต่อไป และถ้าปิดทองฯ มาช่วย

ให้องค์ความรู้อื่น ๆ อีก เช่น ปัญหาโรคในสับปะรด หนอนหัวดำ

และแมลงดำหนามในต้นมะพร้าว ที่สร้างความเสียหายมาตลอด

ก็จะทำให้บ้านโป่งโกอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

นายคัมภีร์ ทองเล็ก ชาวบ้านโป่งโก ก็บอกเช่นเดียวกันว่า

“ที่นี่อาศัยเพียงน้ำจากห้วยแมงแซงและน้ำฝนเท่านั้น ได้ข้าวก็

ไม่เกิน 3 ปี ชาวบ้านจะลืมตาอ้าปากและปลดหนี้สินได้ เพราะคนที่นี่

มีความพร้อมและความเข้มแข็งที่จะร่วมมือกันพัฒนาบ้านเกิด”

นางววิรรณดา พลธรตัน ์ ชาวบา้นหว้ยเกรยีบ บอกวา่ หนีส้นิ

ของชาวบ้านส่วนหนึ่งมาจากต้องการความสะดวกสบาย โดยไม่

คิดถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา เช่น การพึ่งปุ๋ยเคมี แม้จะให้ผลผลิตเร็ว

แต่ก็ต้องใส่เพิ่มขึ้นทุกปี อีกส่วนหนึ่งมาจากความฟุ้งเฟ้อทาง

วัตถุนิยม เช่น ทุกบ้านจะต้องมีรถยนต์ มีมือถือรุ่นใหม่ ทั้งที่ไม่จำเป็น

อาหารแทบทุกมื้อซื้อหาจากภายนอก มื้อละ 100-300 บาท จึงอยาก

ให้ปิดทองฯ สนับสนุนเรื่องการทำไร่นาสวนผสมแทนเกษตรเชิงเดี่ยว

และช่วยให้ชาวบ้านมีแหล่งอาหารในบ้าน ทั้งยังมั่นใจว่าถ้าปิดทองฯ

ช่วยพัฒนาแหล่งน้ำ จะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 50

นางอัจฉรา สกนธนาวัฒน์ ชาวบ้านห้วยเกรียบ อีกคน

บอกว่า เชื่อมั่นในแนวทางพัฒนาของปิดทองฯ จากที่เคยไปดูงาน

ที่น่าน ได้เห็นว่า นอกจากการพัฒนาจะเป็นไปตามความต้องการของ

ชาวบ้านแล้ว ยังมาจากการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และมีองค์ความรู้ที่

ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่

“องค์ความรู้ที่อยากได้มากที่สุด คือ การเพาะเลี้ยงเห็ดต่าง ๆ

และการทำหัวเชื้อเห็ดก้อน เพราะการผลิตเห็ดฟางและเห็ดหูหนู

ที่ชาวบ้านรวมตัวกันจัดตั้งเมื่อ 8 ปีก่อน แม้ตลาดจะดี มีพ่อค้ารับซื้อ

ถึงบ้าน ขายได้ถึงเดือนละ 60,000 บาท แต่หักค่าใช้จ่ายแล้ว

เหลือเพียง 10,000 บาทเท่านั้น รวมทั้งอยากได้เทคนิคการทำ

สวนยางและปาล์ม ที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ถ้าปิดทองฯ เข้ามา คงช่วยให้มี

รายได้เพิ่มขึ้นและปลดหนี้ที่มีกว่า 200,000 บาทได้โดยเร็ว”

นายโสเพียร โบศรี เหรัญญิกโรงสีชุมชนบ้านห้วยเกรียบ

อยากได้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการโรงสี เช่น การทำบัญชี การ

บริหารจัดการสต็อก เพราะที่ผ่านมาเป็นการบริหารจัดการกันเอง

จึงอยากพัฒนาให้โรงสีมีการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐาน และโรงสี

ก็มีกำไรดี เพราะรับซื้อข้าวเปลือกมาตันละ 12,000 บาท ขายเป็น

ข้าวสารได้ตันละ 18,000 บาท หรือ กก.ละ 30 บาท ขณะที่ความ

ต้องการมีมาก แต่ไม่สามารถผลิตได้พอ เพราะบ้านโป่งโกปลูกข้าว

ได้น้อย ถ้ามีข้าวมากขึ้น จะได้ส่งไปขายตำบลใกล้เคียงได้ด้วย

ชาวบ้านโป่งโกและบ้านห้วยเกรียบ จะเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่

ชาวบ้านลุกขึ้นมาพัฒนาตนเองตามแนวทางปิดทองหลังพระฯ

เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

เพียงไร่ละ 35-40 ถัง แค่พอกิน ถ้ามีน้ำพอ จะได้ทำนาหลายครั้ง

และขยายพื้นที่ปลูกข้าวได้มากขึ้น ที่สำคัญ มีน้ำพอก็จะช่วยให้ได้

ข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 50 ถัง”

ผูใ้หญว่ชัรนิทร ์จนัทรเ์ดช บา้นหว้ยเกรยีบ บอกวา่ ทีช่าวบา้น

มีรายได้เหลือน้อย ก็เพราะเป็นต้นทุนการผลิตไปกว่าร้อยละ 80 ทั้ง

ค่าแรงงาน ค่าปุ๋ยกระสอบละ 1,000 บาท ซึ่งสวนยางจะใส่ปุ๋ยถึง

ไร่ละ 1 กระสอบ ปีละครั้ง แต่ถ้าเป็นปาล์มจะต้องใส่ถึงปีละ 4 ครั้ง

ผลผลิตยังลดลงเรื่อย ๆ เพราะแหล่งน้ำสำคัญ คือ อ่างเก็บน้ำ

โป่งสามสิบ ความจุ 850,000 ลบ.ม. และอ่างเก็บน้ำเนินทอง ความจุ

31,000 ลบ.ม. ไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ ต้องอาศัยน้ำฝน

เพียงอย่างเดียว เมื่อขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านก็หันไปปลูกสับปะรด

ที่ใช้น้ำน้อย แต่ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมาก เกิดปัญหาดินเสื่อม

ตามมา แถมยงัถกูกดราคารบัซือ้ ทำใหช้าวไรส่บัปะรดขาดทนุมาตลอด

เมื่อรายได้ไม่เพียงพอ ชาวบ้านห้วยเกรียบก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน

เป็นหนี้มากกว่า 4 กองทุน ตั้งแต่ครอบครัวละ 30,000-500,000

บาท ไม่รวมหนี้นอกระบบ

“ถ้าปิดทองหลังพระฯ มาช่วยพัฒนาอ่างเก็บน้ำทั้งสองแห่ง ให้มี

น้ำทำเกษตรได้ตลอดทั้งปี เหมือนที่น่านและอุดรธานี ผมมั่นใจว่า

วิวรรณดา พลธรัตน์ อัจฉรา สกนธนาวัฒน์ โสเพียร โบศรี

สมนึก ทองลอย คัมภีร์ ทองเล็ก วัชรินทร์ จันทร์เดช

9

บทความ

Page 10: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ตัวอยางชุมชนตัวอยาง

ชุมชน

ความสำเร็จของโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.หนองวัวซอ

จ.อุดรธานี ซึ่งปิดทองหลังพระฯ เข้าไปดำเนินการ เมื่อต้นปี 2554

ด้วยการประสานให้เกิดการบูรณาการองค์ความรู้ด้านการเกษตร

และปศุสัตว์ ของโครงการฟาร์มตัวอย่างตามแนวพระราชดำริใน

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับองค์ความรู้ด้านการ

บริหารจัดการระบบน้ำของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ รวมทั้งหน่วยงาน

สืบสานแนวพระราชดำริ ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ

ภาคประชาชน ไม่เพียงแต่ทำให้เกษตรกรเจ้าของพื้นที่ต้นแบบ

เปลี่ยนจากที่เคยต้องซื้อผักมาบริโภค กลายเป็นเจ้าของผลผลิตมาก

พอสำหรับการบริโภคและจำหน่าย ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน

ความสำเร็จที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านในพื้นที ่

ใกล้เคียงนำองค์ความรู้จากพื้นที่ต้นแบบไปปฏิบัติตามด้วยตนเอง

จากพื้นที่ต้นแบบ 2 แปลง จึงขยายผลเป็นพื้นที่รวม 31 แปลง

ในปัจจุบัน

เมื่อมีผู้ปลูกมากขึ้น การที่ต่างคนต่างซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก

ในที่ของตน ทำให้ต้องซื้อปลีกในราคาสูง ชาวบ้านโคกล่ามโดยการ

สนบัสนนุของปดิทองฯ จงึมกีารรวมตวักนัจดัตัง้ “กองทนุเมลด็พนัธุผ์กั

บ้านโคกล่าม” ขึ้น

จากจุดเริ่มต้น ด้วยสมาชิก 12 คน เมล็ดพันธุ์ที่รวมกันซื้อ

และแบ่งให้สมาชิกนำไปปลูกในแต่ละครัวเรือน มีทั้งพืชก่อนและ

หลังนา เช่น ถั่วฝักยาว ผักชี ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว มะเขือ ผักบุ้ง คะน้า

ผักสลัด พริก แมงลัก โหระพา ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดรายจ่าย

ในครัวเรือนแล้ว ยังทำให้ได้ผลผลิตที่ปลอดจากสารพิษอีกด้วย

กองทุนเมล็ดพันธุ์ บริหารโดยคณะกรรมการ มีนางเก่ง จันเทศ

เปน็ประธานกองทนุ และนางสกุญัญา ฉมิพล ี เปน็เหรญัญกิ ดำเนนิงาน

โดยการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์จำนวนมาก มาแบ่งจำหน่ายให้กับสมาชิก

และชาวบ้านทั่วไปในราคาถูกกว่าท้องตลาด สำหรับสมาชิกจะซื้อ

เมล็ดพันธุ์ไปปลูก เมื่อได้ผลผลิตแล้วจะนำผลผลิตมาขาย

ให้กับกองทุน หรือจะยืมเมล็ดพันธุ์ไปปลูกก่อน แล้วนำมาคืนกองทุน

กองทุนเมล็ดพันธุ์ผักและการตลาด บ้านโคกล่าม

พลังแห่งความเข้มแข็งของชุมชน

10

บทความ

Page 11: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ในอัตราส่วน 2 เท่าของที่ยืมไปก็ได้

ผลผลิตอันงอกเงยงดงามที่เกิดขึ้นที่บ้านโคกล่าม จากความรู้

ด้านการเกษตร การมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์ และการมี

กองทุนเมล็ดพันธุ์ ทำให้มีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อถึงแปลงผัก

แต่การที่ต่างคนต่างขายที่แปลงของตน ทำให้ไม่ได้ราคาเท่าที่ควร

ชาวบ้านจึงมีแนวความคิดต่อยอด เพื่อนำผลผลิตออกสู่ตลาด

ปิดทองหลังพระฯ ให้การสนับสนุนอีกครั้ง ด้วยการจัดหาตลาด

ให้สมาชิกกองทุนรวบรวมและนำผลผลิตออกไปจำหน่ายยังตลาด

โพศรี ในอำเภอเมือง ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ของจังหวัดอุดรธานี

สัปดาห์ละ 2 วัน ทุกวันอังคารและวันศุกร์

กองทุนเมล็ดพันธุ์ผัก จึงแปรรูปเป็น “กองทุนเมล็ดพันธุ์ผัก

และการตลาด” ที่จะรับซื้อผลผลิตจากสมาชิกเป็นกิโลกรัม แล้วนำ

มาทำความสะอาด แบ่งเป็นกำ ๆ สำหรับขายในตลาด ซึ่งสามารถ

สร้างกำไรได้ 3-4 เท่า เช่น รับซื้อผักก้านจอง จากสมาชิกราคา

กิโลกรัมละ 8 บาท แบ่งเป็น 6 กำ ขายได้กำละ 5 บาท แต่ละครั้ง

จะมีการซื้อผักต่าง ๆ มากมายหลายชนิด ประมาณ 40-50 กิโลกรัม

รายได้จากการจำหน่ายผลผลิตทั้งหมด หักค่าใช้จ่ายแล้ว จะนำเข้า

กองทุน แล้วปันผลให้กับสมาชิกเท่า ๆ กัน แต่ผู้ที่ทำหน้าที่ขายซึ่งจะ

ต้องทำหน้าที่ดูแลร้านและทำบัญชีด้วย จะได้รับส่วนแบ่งเป็น 2 เท่า

นางเก่ง จันเทศ ประธานกองทุน กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า

“ผักของเราขายดี ขายได้หมดทุกครั้ง เพราะเป็นผักปลอดสารพิษ

ที่คนชอบ สะอาดและมีราคาถูก ที่สำคัญ เป็นผลผลิตที่มาจาก

การพัฒนาของปิดทองฯ ทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในคุณภาพมากกว่า

ผักท้องตลาดทั่วไป กลุ่มจัดตั้งมาได้เพียง 4 เดือน แต่ก็มีรายได้

หลังหักค่าใช้จ่ายเข้ากองทุนมากกว่าเดือนละ 14,000 บาทแล้ว”

แม้ในวันนี้ ความสำเร็จของกองทุนเมล็ดพันธุ์ผักและการตลาด

จะยังเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่นางเก่งมั่นใจว่า อนาคตของกองทุน

จะต้องเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ด้วยการเพิ่มชนิดของผักที่

จะนำมาจำหน่ายให้มากมายหลากหลายขึ้น พร้อมกับการพัฒนา

บรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยน่าสนใจยิ่งขึ้น รวมทั้งการชักชวนให้มีสมาชิก

เพิ่มมากขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ตลาดโพศรี ก็ให้การสนับสนุนการดำเนินงาน

ของกองทุนเมล็ดพันธุ์ผักและการตลาด บ้านโคกล่ามอย่างเต็มที่

ซึ่งนายปิยะ ส่งศรี ผู้จัดการตลาดโพศรี กล่าวว่า กองทุนเมล็ดพันธุ์ผัก

และการตลาด บ้านโคกล่าม เป็นกลุ่มที่ตลาดให้ความสนใจ เพราะ

จัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน ทั้งที่ยังไม่มีความ

เข้าใจเรื่องการค้าขายมากนัก แต่ก็สามารถจัดตั้งกลุ่มเป็นรูปเป็นร่าง

และมีการดำเนินการได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ในขณะนี้ ตลาด

สนับสนุนด้วยการให้แผงขายฟรี 2 แผง ส่วนในอนาคต จะยังให้

การสนับสนุนทั้งในด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการพัฒนา

พื้นที่ค้าให้เป็นร้านค้าแทนแผงค้าเช่นปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้ซื้อ

ได้มากขึ้น

การทำงานอย่างขันแข็งของกองทุนเมล็ดพันธุ์ผักและการตลาด

ที่เกิดจาก “การระเบิดจากข้างใน” ของสมาชิก ทำให้กองทุนมี

ความเข้มแข็งและสามารถสร้างรายได้เสริมอย่างงามให้กับสมาชิก

ทั้งยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้าอีกด้วย

11

บทความ

Page 12: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ในสภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยตลอด กลับไม่ใช่

ปัญหากังวลใจของชาวตำบลท่ามะนาว อำเภอชัยบาดาล จังหวัด

ลพบุรี เพราะที่นี่สามารถผลิตพลังงานทดแทนราคาย่อมเยาได้

เรียกว่า “ไบโอดีเซลเขย่ามือ”

ไบโอดีเซลเขย่ามือ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนให้กับ

ชาวท่ามะนาวลงได้มาก เพราะต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล เฉลี่ย

อยู่ที่ลิตรละ 16 บาท ในขณะที่น้ำมันดีเซล มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่

ลิตรละ 30 บาท

นายเปร่ง น้อยสวัสดิ์ คนต้นแบบ ผู้ผลักดันให้เกิดการ

เรียนรู้และพัฒนาพลังงานทางเลือกในตำบลท่ามะนาวมาตลอด

เล่าถึงขั้นตอนการทำไบโอดีเซลเขย่ามือตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการหา

ปิดฝาให้แน่น เขย่าอย่างแรง

ประมาณ 5-10 นาที ทิ้งไว้ 8

ชั่วโมง ให้กลีเซอรีนตกตะกอน

แล้วแยกเอากลี เซอรีนออกไป

เหลือแต่น้ำมันสีเหลืองใส ๆ ไว้

เอาน้ำอุ่นปริมาณครึ่งหนึ่งของ

น้ำมัน ค่อย ๆ เทใส่น้ำมันในขวด

เพื่อล้างทำความสะอาดน้ำมัน

ครั้งแรกให้เขย่าเบา ๆ ประมาณ

5 นาที รอ 15 นาที ให้น้ำกับ

น้ำมันแยกชั้นกันดี ถ่ายน้ำขาวขุ่น

ด้านล่างออกไป ทำซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง แต่ละครั้งเพิ่มแรงเขย่าขึ้น

เรื่อย ๆ จนครั้งสุดท้ายเขย่าให้แรงสุด ๆ จนน้ำล้างใสสะอาด

เพราะเคล็ดลับคือ ยิ่งผ่านน้ำมาก น้ำมันจะยิ่งสะอาดและยิ่งดีต่อ

เครื่องยนต์

ขั้นตอนสุดท้าย นำน้ำมันที่ได้ไปต้มไล่น้ำออกให้หมด จนไม่มี

ไอน้ำเหลืออยู่กับน้ำมัน หรือจะใช้วิธีตากแดดก็ได้ ส่วนกลีเซอรีน

สามารถนำไปใช้ฆ่าลูกน้ำยุงลายในวงยางได้

ไบโอดีเซลที่ผลิตได้ นอกจากจะเป็นการนำน้ำมันพืชเหลือใช้

มาเปลี่ยนเป็นน้ำมันดีเซลใช้กับเครื่องจักรการเกษตรหรือเครื่องยนต์

ดเีซลไดแ้ลว้ ยงัทำเองไดโ้ดยไมต่อ้งใชอ้ปุกรณร์าคาแพง และใชไ้ดจ้รงิ

ที่สำคัญ ไบโอดีเซลที่ผลิตได้เองนี้ ยังช่วยลดมลพิษในอากาศจาก

การเผาไหม้ได้ถึงร้อยละ 70-80 เลยทีเดียว

ลองทำดูเองที่บ้านก็ได้ ไม่ยากเลย

คูพัฒนาคูพัฒนาเรียนรูเรียนรู

วัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ น้ำมันที่ใช้แล้วในครัวเรือน ผ้ามุ้งหรือผ้าขาวบาง

สำหรับดักกากน้ำมัน กรวยสำหรับเทส่วนผสม ถ้วยตวง เมทิล

แอลกอฮอล ์98-99% โซเดยีมไฮดรอกไซด ์หรอืโซดาไฟแบบเปน็เกลด็

เทอร์โมมิเตอร์ หรือปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิ น้ำสะอาด ขวดแก้ว

ขวดพลาสตกิ หมอ้สำหรบัตม้และเตา ทีส่ำคญั คอื ตอ้งใชผ้า้ปดิจมกูดว้ย

เพื่อป้องกันไอระเหยจากโซดาไฟ

จากนั้นเริ่มขั้นตอนการผลิตไบโอดีเซล โดยการนำน้ำมันใช้แล้ว

มากรองใส่ถัง ปิดฝาแล้วนำไปตากแดด เพื่อให้น้ำมันใสขึ้น จากนั้น

นำมาใส่หม้อตั้งไฟไล่ความชื้น เมื่อได้อุณหภูมิ 55-60 องศาเซลเซียส

ก็ยกลงมาวางทิ้งไว้ให้เย็น ตวงน้ำมันที่เย็นแล้ว ประมาณ 2 ลิตร

ใส่ขวด 5 ลิตร พักไว้

นำโซดาไฟ 2 ช้อนชา ผสมกับเมทิลแอลกอฮอล์ 400 มิลลิลิตร

คนให้เข้ากันจนไม่เหลือเกล็ดโซดาไฟ แล้วเทผสมลงในขวดน้ำมัน

12

บทความ

Page 13: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

มลูนธิแิมฟ่า้หลวงฯ และผูใ้หก้ารสนบัสนนุโครงการ “กลา้...ด ี

ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ประสบอุทกภัยอย่างยั่งยืน” เช่น ธนาคาร

ไทยพาณชิย ์โดยนายอานนัท ์ปนัยารชนุ นายกกรรมการ กรรมการ

อสิระ และกรรมการกจิกรรมเพือ่สงัคม คณุหญงิชฎา วฒันศริธิรรม

กรรมการอิสระ และกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม นางกรรณิการ ์

ชลิตอาภรณ ์กรรมการผู้จัดการใหญ ่ดร.เสนาะ อูนากูล ประธาน

คณะกรรมการบริจาค และกรรมการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด

(มหาชน) ดร.จิราย ุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงาน

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย ์ และนายสมพล เกียรติไพบูลย ์

ประธานกรรมการตลาดหลกัทรพัยแ์หง่ประเทศไทย รว่มกนัมอบชดุ

3 พรอ้ม ซึง่ประกอบดว้ย ชดุพรอ้มกนิ คอื เครือ่งปรงุของแหง้ เชน่

พรกิแหง้ หอม กระเทยีมและเกลอื ชดุพรอ้มปลกู คอื ตน้กลา้พรกิ

ขีห้น ูมะเขอืเปราะ มะเขอืยาว กะเพรา โหระพา และชดุพรอ้มเพาะ

คือ เมล็ดพันธุ ์ ถั่วฝักยาว ฟักทอง ผักบุ้ง ชะอม และกล้วยน้ำว้า

ให้กับตัวแทนเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยรอบแรก 1,500 คน

ลงแขกเกี่ยวข้าว ชาวอุดรร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน

กลา้ดฟีืน้ฟคูณุภาพชวีติผูป้ระสบอทุกภยัอยา่งยัง่ยนื

จังหวัดอุดรธานี หน่วยราชการต่าง ๆ และองค์การบริหาร

ส่วนจังหวัดอุดรธานี ร่วมกันจัดงาน “ลงแขกเกีย่วขา้ว ชาวอดุร

ร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน” เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554

ณ บริเวณแปลงนาสาธิต โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านแสงอร่าม

ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

งานลงแขกเกี่ยวข้าวนี้ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาส่งเสริม

และฟื้นฟูประเพณีไทย คณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม

จริยธรรม ศิลปวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้คัดเลือกจังหวัดอุดรธานี

นำร่องในการส่งเสริมและฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม

อีกทั้งการจัดงานในพื้นที่แปลงสาธิตปิดทองฯ ยังแสดงให้เห็น

ผลสำเร็จของการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ที่เกิดจากความ

สามัคคี ร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในการทำงานปิดทองฯ ใน

ท้องถิ่นชุมชนของตน

จาก 8 จังหวัด คือ อ่างทอง สิงห์บุร ี ลพบุร ี ชัยนาท นครสวรรค ์

อทุยัธาน ีพจิติร พษิณโุลก เมือ่วนัที ่15 ธนัวาคม 2554

การมอบชุด 3 พร้อม เป็นมาตรการหนึ่งของโครงการ

“กล้า...ดี” เพือ่ลดรายจา่ยใหก้บัผูป้ระสบอทุกภยั ซึง่ตัง้เปา้หมาย

ไวท้ี ่ 1 ลา้นคน คาดวา่ภายใน 120 วนั สามารถลดรายจา่ยใหก้บั

ผู้ประสบอุทกภัยได ้ 600 ล้านบาท หรือ 600 บาทต่อคน

ส่วนมาตรการที่สอง จะเป็นการเพิ่มรายได ้ ด้วยการสนับสนุน

เมลด็พนัธุพ์ชืระยะสัน้ทีเ่ปน็ทีต่อ้งการของตลาด เชน่ พรกิซปุเปอร์

ฮอท ซึ่งตั้งเป้าหมายจะแจกจ่ายให้กับเกษตรกร 30,000 ราย

ที่มีการรวมกลุ่มและมีการบริหารจัดการตั้งแต่การปลูกจนถึง

การจัดจำหน่าย ซึ่งภายใน 120 วัน จะสามารถสร้างรายได้

ใหก้บัเกษตรกรได ้160 ลา้นบาท เพือ่ใหเ้กษตรกรผูป้ระสบอทุกภยั

ฟืน้ฟคูณุภาพชวีติไดอ้ยา่งเขม้แขง็ ยัง่ยนื มศีกัดิศ์ร ีดว้ยการพึง่พา

ตนเอง และปลูกจิตสำนึกให้สังคมไทยตระหนักถึงการช่วยเหลือ

ผูป้ระสบภยัตามแนวพระราชดำร ิ“ชว่ยเขาใหช้ว่ยตวัเองได”้

13

บทความ

Page 14: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ภาคีภาครีวมใจรวมใจ

ความสำเร็จของโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

อ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.อุดรธานี

ภายในเวลาเพยีง 5 เดอืน เปน็ผลมาจากความรว่มมอืของหลวง

ราษฎร์ รัฐ และท้องถิ่น

นายหาญชัย ฑีฆธนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

อดุรธาน ีกลา่ววา่ การที ่อบจ.อดุรธาน ี เขา้มารว่มสนบัสนนุโครงการนี ้

อย่างเต็มที่ ทั้งด้านเครื่องจักรกลหนักสำหรับการขุดลอก สร้างฝาย

และขุดสระน้ำ ร่วมกับชาวบ้านที่ลงมือถางรกถางพง ขุดวางท่อส่งน้ำ

อย่างขยันขันแข็ง รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณศึกษาดูงานของ

อำเภอต่าง ๆ ก็เพราะแนวทางของปิดทองหลังพระฯ ที่ เน้นให้

ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ตามความต้องการของ

ชาวบ้านอย่างแท้จริง ตามหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัว คือ “ระเบิดจากข้างใน” และยังเพื่อให้ จ.อุดรธานี

เ ป็ น พื้ น ที่ ต้ น แ บ บ ก า ร

พัฒนาของภาคตะวันออก

เฉียงเหนือ

“ทุกวันนี้ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านโคกล่ามและบ้านแสงอร่าม

ดีขึ้นมาก มีน้ำทำการเกษตร มีพื้นที่ปลูกข้าวได้มากขึ้น เพราะ

สามารถผันน้ำลงนาข้าวได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แถมยังมีน้ำ

เพาะปลูกตลอดปี ทำให้ได้ข้าวมากขึ้นจนเหลือไปจำหน่ายได้ มี

แหล่งอาหารรอบบ้านที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ที่สำคัญคือ

ทำให้ครอบครัวที่เคยแตกกระสานซ่านเซ็นไปทำงานต่างถิ่นได้กลับ

บ้านเกิด มาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง”

นายหาญชัย ยังกล่าวอีกว่า ก้าวต่อไปของ อบจ.อุดรธานี ในการ

ร่วมกับปิดทองหลังพระฯ คือ จะสนับสนุนให้ชาวบ้านดำเนินกิจกรรม

ทุกอย่างด้วยตนเอง โดย อบจ.อุดรธานี จะเพียงส่งเสริมหรือเป็น

พี่เลี้ยงให้เท่านั้น และจะขยายผลปิดทองหลังพระฯ ไปยังหมู่บ้านใน

อำเภออื่น ๆ ทั้ง 20 อำเภอ ซึ่งคาดว่า จะมีประชาชนได้รับประโยชน์

ประมาณ 8,000-9,000 ครอบครัว และภายใน 4 ปี จะเพิ่มขึ้น

เป็น 80,000-90,000 ครอบครัว ทั้งยังจะนำองค์ความรู้ของปิดทองฯ

ไปเผยแพร่สู่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรท้องถิ่นทุกแห่งในจังหวัดให้ได้

รับทราบและนำไปประยุกต์ใช้ในแต่ละพื้นที่ต่อไป

“ในอนาคต จังหวัดอุดรธานีจะเป็น

ห้องสมุดมีชีวิต ที่ทุกคนสามารถมา

เรียนรู้การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ

ทีม่กีารปฏบิตัจิรงิใหเ้กดิประโยชนไ์ดจ้รงิ

ที่จะขยายผลไปทุกพื้นที่ เพื่อแก้ไข

ปัญหาความยากจน และสร้างหลัก

ประกันความมั่นคงในอาชีพเกษตรกร

ตลอดไป”

องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีจากศรัทธาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

14

สารคดี

Page 15: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

ในปี 2532 ชุมพรเคยประสบกับมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรง

จากพายุเกย์ที่คร่าทำลายชีวิตผู้คนและทรัพย์สินราบเป็นหน้ากลอง

แทบไม่แตกต่างไปจากที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานครและหลาย

จังหวัดในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางคราวนี้

ชุมพร ประสบกับภัยพิบัติรุนแรงอีกครั้งในปี 2540 ด้วยอิทธิพล

จากพายโุซนรอ้น “ซตีา้” เมือ่วนัที ่20-24 สงิหาคม ปลายปเีดยีวกนันัน้

ชาวชุมพรต้องระทึกกันอีกครั้ง จากพายุไต้ฝุ่นลินดา

แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ที่พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 18 ล้านบาท ให้ขุดคลอง

หัววัง-พนังตักจนแล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน แทนที่จะเป็นหนึ่งปี

คลองนั้นแล้วเสร็จในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2540 ก่อนพายุลินดา

เขา้ถลม่ชมุพรเพยีงวนัเดยีว ทำใหท้ัง้จงัหวดัรอดพน้จากภยัพบิตัมิาได้

จากนัน้ พืน้ทีค่ลองหวัวงั-พนงัตกั ไดข้ยายเปน็ “โครงการพฒันา

พื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ” ที่แก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่าง

ถาวร ด้วยการทำแก้มลิงหนองใหญ่เพื่อเก็บกักน้ำ ขุดคลองละมุเชื่อม

คลองทา่แซะ ตดิตัง้ประตรูะบายนำ้ราชประชานเุคราะห ์และตดิตัง้ระบบ

เตือนภัยที่คลองท่าแซะ ทำให้น้ำไม่ท่วมชุมพรอีกเลยมา 14 ปีแล้ว

การพึ่งตนเองในนิเวศปลายน้ำ อำเภอท่าแซะ นำเสนอพลังงาน

ทางเลือกจากปาล์ม และพลังงานสายลมแสงแดด และอำเภอปะทิว

คนชุมพรกับข้าวเหลืองปะทิวและปฏิปทาของศูนย์เพลินสู่เศรษฐกิจ

พอเพียง

เพียงไม่ถึงปี คนกว่า 30,000 คน ได้เข้ามาเรียนรู้แนวทางการใช้

ชีวิตตามแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่หนองใหญ่ ได้เห็นการพึ่งตนเอง

แบบพออยู่พอกินอย่างแท้จริง จากคนที่เข้าไปอาศัยพื้นที่ใช้ชีวิต

อยู่กันเป็นครอบครัว ทำการเกษตร ปลูกข้าว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่

เลี้ยงปลา ฯลฯ

หนองใหญ่ จึงเป็นหนึ่งใน “คำตอบ” ให้คนส่วนใหญ่ของ

สังคมที่มักตั้งคำถามว่า เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร และการ

เดินตามรอยเท้าพ่อนั้น ต้องทำอย่างไร

ชวนมาเรียนรู้

ที่หนองใหญ่ “ศาสตร์พระราชา”

โครงการหนองใหญ่ฯ จึงเป็นโครงการที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพ

และเป็นต้นแบบความสำเร็จของ “ศาสตร์พระราชา” เพื่อต้านภัย

ธรรมชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และยังทำให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร

เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการประปาอีกด้วย

เมื่อนายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร

ในเวลานั้น สนับสนุนให้มีการจัดตั้งมูลนิธิแก้มลิงหนองใหญ่ขึ้น

เพื่อบริหารจัดการโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ฯ ภาคประชาชน

ร่วมกับหน่วยราชการและภาคเอกชน ความสำเร็จของการทำงาน

ภาคประชาชนไดเ้ปลีย่นพืน้ทีโ่ครงการฯ หนองใหญ ่ใหเ้ปน็ “นทิรรศการ

มีชีวิต” เป็นสถานที่ซึ่งผู้สนใจจะเข้ามาเรียนรู้ความสำเร็จของ

โครงการแก้มลิงหนองใหญ่และต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงจาก

“เครือข่ายจากภูผาสู่มหานที” เครือข่ายชาวชุมพรที่น้อมนำศาสตร์

พระราชามาปฏิบัติจนประสบความสำเร็จและขยายผลร่วมกัน

พื้นที่กว่า 30,000 ไร่ของโครงการ แบ่งเป็นเขตอำเภอต่าง ๆ

คือ อำเภอละแม ต้นแบบธนาคารต้นไม้ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์

4 อย่าง วิถีเรือโบราณ และกล้วยหอมอินทรีย์ อำเภอพะโต๊ะ ต้นแบบ

เศรษฐกิจพอเพียง ป่าต้นน้ำ และคนอยู่ป่ายัง อำเภอหลังสวน

ต้นแบบการจัดการพื้นที่โดยอาศัยหลักธรรมชาติ ลดต้นทุนร้อยละ

90 และโฮมสเตย์เกาะพิทักษ์ อำเภอทุ่งตะโก จำลองสวนคอนโด

9 ชั้นมาจัดแสดง อำเภอสวี ต้นแบบโรงเรียนจุลินทรีย์และบ้านน้ำยา

จากวัสดุธรรมชาติ อำเภอเมือง ชุมชนตลาดและชายขอบเมืองกับ

15

ข่าว

Page 16: newsletter vol 4

สาระ...เพื่อการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ

เทศบาลทั่วประเทศร่วมใจเพื่อนช่วยเพื่อนพึ่งพากันเอง ต่อจากหน้า 1

ต่อจากหน้า 1 เชิญพระราชดำริเป็นหลักนำชาติ

เช่น ขยะ การทำความสะอาด ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยให้

เทศบาลที่มีความเข้มแข็งจับคู่ช่วยเหลือเทศบาลที่ประสบปัญหา

ในลักษณะ “เพื่อนช่วยเพื่อน” เช่น เทศบาลนครหาดใหญ่อาจ

จับคู่กับเทศบาลนครนครสวรรค ์ เทศบาลเมืองพัทยากับเทศบาล

พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น หรือเทศบาลที่ไม่สะดวกในการลงมือ

ช่วยเหลือโดยตรง ก็อาจบริจาคเป็นเงิน สิ่งของหรืออาหารก็ได้

โดยสมาคมฯ จะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับเทศบาล

ทั้งหมด และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือค่าขนส่งบ้าง

“เช่น เทศบาลหาดใหญ่ เริ่มไปช่วยเหลือตั้งแต่น้ำยังไม่ลด

โดยนำเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น รถเครน รถตัก รถสิบล้อ

พร้อมด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วม

หาดใหญ่มาแล้ว มาให้คำแนะนำในการเก็บกวาดทำความ

สะอาดหลังน้ำลด โดยตั้งงบประมาณไว้ 1 ล้านบาท”

นายไพร กล่าวด้วยว่า งานฟื้นฟูจะเป็นงานที่หนักมาก

เพราะมีพื้นที่ประสบภัยมากมาย ในขณะที่หน่วยงานที่จะเข้า

มาช่วยเหลือได้มีไม่มากนัก เพราะต้องมีเครื่องจักรเครื่องมือ

พร้อม เช่น ทหาร และกรมทางหลวงชนบท สมาคมฯ จึงจะไม่

ช่วยเหลือเฉพาะเทศบาลเท่านั้น อบต.ที่มีปัญหาหนัก เทศบาล

ก็จะช่วยเหลือด้วย

“ผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้น คือ การสร้างความเข้มแข็งให้

กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาชน ที่จะลุกขึ้นมา

ช่วยเหลือกันเอง โดยไม่พึ่งแต่ภาครัฐเท่านั้น”

“อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุด ทั้งในแง่ปริมาณน้ำและจำนวนผู้ได้รับ

ผลกระทบ” ขณะที่ธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายสูงถึง

1.44 ล้านล้านบาท และจัดให้เป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมาก

ที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก

ความเสียหายที่รุนแรงมหาศาล ทำให้รัฐบาลน้อมนำแนว

พระราชดำริในการแก้ปัญหาน้ำท่วมมาเป็นหลักในการกำหนด

ยทุธศาสตรแ์กว้กิฤตแิละฟืน้ฟสูถานการณ ์ตามขอ้เสนอของ ดร.สเุมธ

ตนัตเิวชกลุ เลขาธกิารมลูนธิชิยัพฒันา กรรมการมลูนธิปิดิทองหลังพระ

สืบสานแนวพระราชดำริ และที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์

เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยกำหนด

ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ 1. ฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ ทั้งในการปลูกป่าและ

การทำฝายชะลอน้ำในพื้นที่สูงและภูเขา 2. จัดทำแหล่งเก็บกักน้ำ

ตามธรรมชาติ โดยการขุดลอกหนองบึงธรรมชาติ ในลักษณะแก้มลิง

เพื่อชะลอและเก็บกักน้ำ 3. ทบทวนและฟื้นฟูโครงการตามแนว

พระราชดำริต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำร ิ

และเร่งรัดโครงการระบายน้ำตามคลองชายทะเล รวมทั้งการสร้าง

ทางระบายน้ำ (Flood Way) และ 4. ทบทวนระบบการจัดเก็บและ

การวิเคราะห์ข้อมูลด้านน้ำให้มีความเป็นเอกภาพ

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าวว่า เชื่อว่าเหตุผลที่นายกรัฐมนตรี

ต้องการให้ตนมาเป็นที่ปรึกษา เพราะต้องการองค์ความรู้ในการ

แก้ไขปัญหาและพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำ

เอาไว้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เนื่องจากตนเป็นผู้ปฏิบัติงาน

ถวายมานาน จึงพอจะถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ถึงรัฐบาลได้

ดร.สุเมธ กล่าวว่า 30 ปีที่ปฏิบัติงานถวายมา พระบาทสมเด็จ

พระเจา้อยูห่วัพระราชทานคำแนะนำมาตลอด พอสรปุไดว้า่ ธรรมชาต ิ

ของน้ำไหลลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มบริหารตั้งแต่

ที่สูง คือ ฟื้นฟูป่าอนุรักษ์และภูเขาหัวโล้นอย่างจริงจัง กระจาย

อำนาจองค์กรท้องถิ่น เพราะถ้าประชาชนเจ้าของพื้นที่ไม่เอาด้วย

การรักษาป่าก็เป็นไปได้ยาก หนองคลองบึงที่มีอยู่ในธรรมชาติ

ต้องบูรณะฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพรองรับน้ำได้ อะไรที่เสื่อมโทรมไปต้อง

ฟื้นฟู ส่วนธรรมชาติที่มีอยู่แล้วห้ามรุกล้ำ

กรณีลำน้ำ ทรงมีรับสั่งมานานแล้วว่า ต้องมีแก้มลิง ส่วนเขื่อน

ขนาดใหญ่ ตอนนี้มีเกือบครบทุกร่องน้ำแล้ว แต่ปัญหา คือ ลุ่มน้ำที่

ยังไม่ได้บริหารจัดการ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต้องดูตามความเหมาะสม

ประกอบกับความต้องการของประชาชน ตรงไหนสมควรสร้าง

ก็ต้องสร้าง และที่ทรงเตือนไว้ คือ การก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ทางรถไฟ

ถนน มักจะไม่มีการศึกษาทางน้ำก่อน ทำให้กีดขวางทางน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังเคยมีพระราชดำรัสแนะนำ

เรื่องการสร้างฟลัดเวย์ เป็นทางให้น้ำไป ซึ่งแนวฟลัดเวย์นี้ถูกกำหนด

มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ถูกหมู่บ้านจัดสรรสร้างขวางทางหมด

บทบาทฟลัดเวย์จึงหมดไป จึงควรที่รัฐบาลจะพิจารณาดำเนินการ

แก้ไขโดยเร็ว

ล่าสุด เพื่อให้ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาน้ำท่วมเป็นไปตามแนว

พระราชดำริ คือ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ รัฐบาลจึงเห็นชอบให้มี

การแต่งตั้งอนุกรรมการฟื้นฟูป่าไม้และต้นน้ำขึ้นตามข้อเสนอ

ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล โดยมี ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการ

มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เป็นประธาน

อนุกรรมการฯ และ ดร.สุเมธ เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ

16

ข่าว